ตอนที่ 112 ใช้หัวใจ

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 112 ใช้หัวใจ

อันหลิงเกอมิเคยคบหากับจางหว่านหยีมาก่อน รู้เพียงว่าอีกฝ่ายรักสันโดษและมีนิสัยเย็นชามิชอบคบหาผู้ใด เมื่อโดนอีกฝ่ายชวนคุยจึงรู้สึกสับสนชั่วครู่

หลังจากนั้นมินานอันหลิงเกอก็ได้สติคืนมา นางจึงยกยิ้มที่มิถือว่าจริงใจแต่ก็มิเสียมารยาทต่ออีกฝ่าย “ข้ามิได้ตั้งใจฟังหรอก เพียงแค่คิดว่าเรื่องราวน่าสนใจก็ลองฟังเพียงเท่านั้น”

จางหว่านหยีได้ยินอันหลิงเกอกล่าวเยี่ยงนี้ก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ

นางโดนปลูกฝังให้เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่มีกิริยามารยาทของสตรีสูงส่งมาโดยตลอดและยังได้รับความรักจากทุกคนในครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก เมื่ออันหลิงเกอต้องการบอกเพียงเท่านี้ นางจักเสียมารยาทถามต่อได้เยี่ยงไร ?

ด้วยความที่จางหว่านหยีเกิดความสงสัยในตัวอันหลิงเกอขึ้นมาจึงเป็นเหตุให้นางหลงลืมท่าทีเย็นชาและการมิชอบคบหาผู้ใดไปก่อน เผลอเป็นฝ่ายชวนอันหลิงเกอสนทนาเสียเอง “เมื่อครู่ตอนที่เจ้ายังมามิถึง อาจารย์เติ้งให้คนมาบอกว่าพรุ่งนี้สำนักศึกษาจิงตูจักมีการทดสอบ แม้แต่การรับสมัครศิษย์สามัญชนก็จักจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ทั้งหมด”

อันหลิงเกอเพิ่งได้รับรู้ข่าวนี้จากจางหว่านหยี พลันรู้สึกว่าอีกฝ่ายหวังดีต่อตน เพื่อให้ตนได้มีเวลาเตรียมตัวจักได้มิกระวนกระวายจนเกิดปัญหาในวันพรุ่งนี้

อันหลิงเกอจึงกล่าวขอบคุณจางหว่านหยีจากใจจริง หลังจากนั้นพวกนางก็สนทนาพร้อมเดินออกไปด้านนอกห้องเรียนเพื่อกลับจวน

เมื่อทั้งสองเดินมาถึงประตูหน้าสำนักศึกษาจิงตูก็เห็นรถม้าของจวนช่างชูและจวนโหวรออยู่ก่อนแล้ว อันหลิงเกอกล่าวอำลาจางหว่านหยีโดยมิรออันหลิงเฉว่หรือผู้ใดอีก นางก็นั่งรถม้ากลับจวนโหวทันที

อันหลิงอีเดินตามอันหลิงเกออยู่ห่าง ๆ เห็นเครื่องประดับจี้คริสตัลบนหน้าผากอันหลิงเกอก็รู้ทันทีว่าใช้ปกปิดบาดแผลบนหน้าผาก

แต่ก็ปิดได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปรอยแผลเป็นจักชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

จนทำลายโฉมหน้าของอันหลิงเกอโดนสมบูรณ์ !

เมื่อคิดได้เยี่ยงนี้ อันหลิงอีก็รู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษแล้วเหลือบมองไปทางอันหลิงเฉว่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พาอันหลิงเหมิงขึ้นรถม้าคันเดียวกันเพื่อกลับจวนโหว

ความขัดแย้งในจวนของเหล่าคุณหนูราวกับปลาที่ซ่อนอยู่ใต้ทะเลลึก แม้มองมิเห็น แต่ก็มีอยู่จริง

….

มิรู้ว่าอันหลิงจุนทราบข่าวที่อันหลิงเกอโดนทำร้ายมาจากที่ใด พอเลิกเรียนเขาก็ตรงมาที่เรือนฉีอู๋ทันที

“พี่หญิงใหญ่ ข้าได้ยินพวกบ่าวบอกว่าท่านย่าทำร้ายท่านเมื่อวาน จริงหรือขอรับ ? ”

เมื่อวานอันหลิงจุนเพิ่งออกมาจากวังและกลับมาอยู่ที่เรือนหลังเดิมของตน แต่เพราะยุ่งกับการเก็บกวาดเรือนจนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงวันนี้จึงเพิ่งทราบเรื่อง

พอได้ยินว่าอันหลิงเกอบาดเจ็บ เขาก็รีบวิ่งมาหานางทันที อันหลิงจุนจับจ้องไปที่รอยแผลบนหน้าผากของพี่สาวด้วยสายตาเคียดแค้นฮูหยินผู้เฒ่า

“ท่านย่าแค่โมโห ท่านมิได้ตั้งใจทำร้ายพี่หรอก มิใช่เรื่องใหญ่อันใด และเจ้าอย่ากังวลไปเลย” อันหลิงเกอมิได้เก็บเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าทำร้ายตนมาใส่ใจ แต่ตอนนี้นางสนใจน้องชายที่มิได้พบกันนานมากกว่า อันหลิงเกอมองอันหลิงจุนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วกล่าวด้วยแววตามีความสุข “การที่เจ้าออกจากวังได้ถือเป็นเรื่องมงคลกว่าสิ่งใด เจ้าควรไปคำนับท่านย่าและท่านพ่อก่อนถึงจักถูก”

เมื่อวานอันหลิงจุนเดินทางไปที่สำนักศึกษาจิงตูพร้อมองค์ชายเก้าและตอนกลับมาก็ตรงไปที่เรือนหลังเดิมทันที เขาจึงมิได้ไปคำนับฮูหยินผู้เฒ่าหรือท่านโหว

ใบหน้าของอันหลิงจุนแสดงความเบื่อหน่ายขึ้นมาเล็กน้อย “ท่านพ่อมิเคยห่วงความเป็นความตายของข้าอยู่แล้ว เหตุใดข้าต้องไปให้ท่านเห็นหน้าด้วยขอรับ ? ส่วนท่านย่าคือคนแปลกหน้าสำหรับข้า และท่านคงจำมิได้ด้วยซ้ำว่าข้ามีหน้าตาเยี่ยงไร”

เมื่อนึกย้อนกลับไปตอนที่อันหลิงจุนถูกส่งเข้าวังตั้งแต่ยังเด็กมาก เขาหมดหนทางและรู้สึกหวาดกลัวมากจึงไปร้องห่มร้องไห้ขอร้องบิดาว่าอย่าส่งตนเข้าวัง

ทว่าบิดามิฟังเพราะฟังแต่หลี่อี๋เหนียงและส่งตนเข้าวังโดยมิลังเลแม้แต่น้อย ปล่อยให้ตนโดนองค์ชายเก้ารังแกโดยมิเคยไปเยี่ยมเลยสักครั้ง

วันนี้เขากลับมาแล้วจักไปคำนับบิดาที่เย็นชาและไร้เยื่อใยเพื่ออันใด ?

อันหลิงเกอรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก การที่อันหลิงจุนกล่าวอย่างมิพอใจในตัวท่านย่าและท่านพ่อ มิใช่เพราะเขาต้องทนทุกข์อยู่ในวังและรู้สึกว่าตนโดนครอบครัวทอดทิ้งหรืออย่างไร ?

อันหลิงเกอจ้องมองอันหลิงจุนด้วยความสงสารจับใจ นางเอื้อมมือไปลูบศีรษะของอีกฝ่ายแล้วเอ่ยสั่งสอนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มิว่าเยี่ยงไรท่านพ่อและท่านย่าก็เป็นผู้อาวุโสของพวกเรา เจ้ากลับมาก็ควรไปคำนับพวกท่าน เจ้าจักเสียมารยาทเยี่ยงนี้มิได้ อีกอย่างในจวนโหวแห่งนี้ยังมีหลี่อี๋เหนียงคอยจับตามองพวกเราอยู่ นางทนรอมิไหวที่จักเห็นเจ้ากระทำไร้มารยาทเพื่อว่าร้ายเจ้าต่อหน้าท่านพ่อ หรือเจ้าก็อยากให้หลี่อี๋เหนียงวางแผนใส่เยี่ยงนี้ ? ”

แน่นอนว่าไม่

อันหลิงจุนได้ฟังอันหลิงเกอกล่าวสั่งสอนก็ใจเย็นขึ้น เขาอยู่ในวังหลวงมานานเพียงนี้ สติปัญญาย่อมเติบโตกว่าเด็กวัยเดียวกัน ย่อมมองออกว่าเพื่อเอาใจหลี่กุ้ยเฟย ด้านอี๋เฟยจึงแอบสั่งองค์ชายเก้ามารังแกตนและเบื้องหลังของเรื่องทั้งหมดก็หนี้มิพ้นความคิดของหลี่อี๋เหนียงนั่นเอง

“แต่แผลของท่าน…” ถ้าทิ้งรอยแผลเป็นไว้จักทำเยี่ยงไร?

อันหลิงจุนมิได้กล่าวประโยคหลังออกมา ดวงตาที่สดใสในตอนนี้เต็มไปด้วยความมืดมน เขาแทบอยากถือถ้วยชาไปโยนใส่ศีรษะอันหลิงเฉว่และฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อให้พวกนางได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่พี่หญิงต้องเผชิญบ้าง

อันหลิงเกอเลิกคิ้วขึ้น เมื่อเห็นอันหลิงจุนเงียบไปและแสดงท่าทีโมโหออกมา นางก็ฉีกยิ้มกว้าง “เจ้ามิต้องกังวลหรอก หลี่อี๋เหนียงนำครีมบำรุงมาให้พี่แล้ว นี่เป็นของที่มีแต่ในวังเท่านั้น มีสรรพคุณทางยาที่ดีและมิทิ้งรอยแผลเป็นไว้อย่างแน่นอน”

“หลี่อี๋เหนียงต้องมีเจตนาแอบแฝงเป็นแน่ ! ” อันหลิงจุนกระโดดขึ้นราวกับโดนผู้อื่นเหยียบหาง เขาทั้งโมโหและตกใจจนดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้าง “พี่หญิง ท่านได้ใช้ของที่นางให้แล้วหรือยัง ? ท่านรีบนำครีมไปทิ้งเสีย ข้ามียาดีกว่านั้นจักให้ท่านขอรับ”

หลังกล่าวจบอันหลิงจุนก็หยิบกล่องขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าแขนเสื้อ ด้านบนถูกห่อด้วยผ้าไหมชั้นดีและยังมีผนึกขี้ผึ้งปิดอย่างแน่นหนา ท่าทางลึกลับยิ่งนัก

“เจ้าไปได้ของสิ่งนี่มาจากที่ใด ? ” หลังจากอันหลิงเกอเห็นกล่องใบนั้น ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที

ความทรงจำเมื่อชาติก่อนปรากฏขึ้นมา ในตอนที่นางไปเข้าเฝ้าองค์ไทเฮาก็เห็นกล่องชนิดนี้อยู่ในที่ประทับ เนื่องจากกล่องใบนี้งดงามมากจึงเป็นเหตุให้นางจำได้มิลืม

ต่อมานางได้ยินคนในวังกล่าวว่าเพราะฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้พบหมอยาที่เก่งกาจ จึงให้หมอยาผู้นั้นคิดค้นยาชนิดหนึ่งขึ้นมา ใช้เวลาถึงสามเดือนกว่าจักได้ยาตัวนี้เพราะวัตถุดิบหายากมาก แม้แต่ไทเฮาก็มีไว้ในครอบครองแค่สามในสิบส่วน

แม้กล่าวมิได้ว่ายาตัวนั้นคือยาอายุวัฒนะ แต่ก็ทำให้คนทาบนใบหน้ามิแก่ชราตามสังขารได้

มิว่าครีมบำรุงในกล่องใบนี้วิเศษมากแค่ไหน เพียงได้ยินเรื่องเล่านี้ก็รู้แล้วว่ามันได้มาอย่างยากลำบากเหลือเกิน

แล้วเหตุใดครีมบำรุงที่ได้มายากลำบากจึงมาอยู่ในมือจุนเกอร์เอ๋อ ?

อันหลิงจุนเห็นใบหน้าของอันหลิงเกอแสดงออกมิค่อยดี เป็นเหตุให้เขาใจเต้นแรงและเกิดความกลัวว่าจักเกิดเรื่องมิดีขึ้น เขาจึงรีบบอกความจริงออกไป “นี่เป็นของที่ผู้อื่นให้ข้ามา บอกว่าเป็นยาที่รักษาบาดแผลได้ดีและให้ข้ามอบให้พี่หญิงขอรับ”

แม้อันหลิงจุนมิได้มีนิสัยหวาดระแวง แต่เขามิมีทางรับของจากผู้อื่นส่งเดชแน่นอนแล้วเขากล้ารับของจากผู้อื่นมาให้พี่สาวได้เยี่ยงไร ?

อันหลิงเกอขมวดคิ้วมุ่น นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ผู้ใดให้เจ้านำของสิ่งนี้มาให้พี่ ? ”

อันหลิงจุนเงียบไปพักใหญ่แล้วก้มหน้าก้มตาเพราะมิอยากบอกความจริง

“ถ้าเจ้ามิพูดก็ออกไปจากเรือนของข้าและมิต้องมาหาข้าอีก” อันหลิงเกอกล่าวพร้อมเฉิดหน้าขึ้น แสร้งทำใบหน้าจริงจัง

อันหลิงจุนตื่นตกใจ ดวงตาสดใสเปื้อนไปด้วยความรู้สึกผิดจึงรีบบอกความจริง “เป็นว่าที่พี่เขยขอรับ ข้าคิดว่าเขาคงมิทำร้ายพี่หญิงจึงรับเอาไว้”

ในความเป็นจริงแล้วอันหลิงจุนนับถือมู่จวินฮานมากเป็นพิเศษ พอมู่จวินฮานให้เอาของสิ่งหนึ่งมอบให้พี่หญิง อันหลิงจุนจึงตอบตกลงโดยมิคิดอันใดเลย