ตอนที่191 ปาร์ตี้ของสาวๆ

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่191 ปาร์ตี้ของสาวๆ

เหอจือเหลือบมองมู่เซียวหยานอยู่แวบหนึ่ง พลางคิดไปว่าถ้าปล่อยให้อาจารย์ฉีอยู่กับหญิงสาววัยกลางคนผู้หิวกระหายคนนี้ มีหวังเขาต้องไม่รอดถึงพรุ่งนี้เช้าอย่างแน่นอน ทางที่ดีที่สุดคือต้องพาเขาออกไปด้วยกัน?

เหอจือพยักหน้าและตอบกลับไปทันที

“ได้เลย งั้นเราไปกันเถอะ”

จากนั้นเธอก็หันกลับไปพูดกับฉีเล่ยว่า

“อาจารย์คะ ถ้ามันไม่อร่อยก็ไม่ต้องฝืนกินหรอกค่ะ ออกไปเที่ยวกันดีกว่า”

ฉีเล่ยฝืนหยิบช้อนตักซุปขึ้นกินอีกคำ พูดได้ว่ามันเกือบทำเอาเขาแทบอาเจียนออกมาเลยทีเดียว

ซุปที่มู่เซียวหยานปรุงเองกับมือนี่มันยาพิษชัดๆ!

มู่เซียวหยานร้องตะโกนไล่หลังขึ้นทันทีว่า

“อย่าเพิ่งไปกันสิ ยังไม่ได้ตัดเค้กเลยนะ!”

เหอจื่อหันมาหัวเราะร่วนใส่คนเป็นแม่ พร้อมกับร้องบอกไปว่า

“พวกเราอิ่มแล้ว ขอตัวออกไปเดินเล่นก่อนละกัน เชิญตัดเองกินเองไปเลยจ้า”

…………

“นายชื่ออะไรเหรอ?”

“ฉีเล่ย”

“ระหว่างนายกับน้องเหอจือ…”

“ผมเป็นอาจารย์ของเธอครับ”

หูหนิ่วเบิกตาโตจ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าตกอกตกใจ

“อาจารย์งั้นเหรอ? หรือนี่จะเป็นความรักระหว่างศิษย์กับอาจารย์อะไรแบบนั้น? น่าสนใจดีแฮะ น่าสนใจๆ”

“ผมเป็นแค่อาจารย์ของเธอเท่านั้นจริงๆครับ”

“เอาน่า เอาน่า ฉันเชื่อ ฉันเชื่อ แต่ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอจะเป็นยังไง มีสิ่งหนึ่งที่ฉันสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ นายกับเหอจื่อดูสนิทสนมกันมาก”

เหอจือที่กำลังขับรถอยู่ถึงกับสะดุ้ง เธอมองผ่านกระจกหลังพร้อมกับพูดสวนขึ้นทันที

“หูหนิ่ว หยุดพูดไปเลยนะ!”

จะไปพูดแบบนั้นกับอาจารย์ฉีได้ยังไง? อีกฝ่ายยังไม่เตรียมตัวเตรียมใจเลยนะ

หูหนิ่วตอบกลับอย่างรู้ทัน

“นี่น้องเหอจื่อ ฉันพูดไม่ถูกหรือยังไง? ถ้าไม่สนิทกันจริง คนอย่างน้องเหอจื่อไม่มีทางพาเข้ามาที่บ้านแน่!”

เหอจือยิ้มเก้อเขินพยายามพูดแก้ต่างไปว่า

“เรา…เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเท่านั้นเอง…”

อันที่จริง เธอกับหูหนิ่วก็รู้จักกันมานานหลายปีแล้ว และที่ผ่านมาเหอจื่อก็ไม่เคยพาคนแปลกหน้ามาที่บ้านเลยสักคน แม้แต่เด็กผู้ชายที่เคยเล่นด้วยกันในสมัยเด็ก ก็ยังไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเหยียบเข้ามาหลังประตูรั้วด้วยซ้ำไป

หูหนิ่วค่อยๆลืมตาขึ้นและหันไปสำรวจฉีเล่ยอีกสักพัก ทันใดนั้นเธอก็พูดขึ้นว่า

“แต่ขอโทษทีนะ นายไม่ดีพอสำหรับน้องเหอจื่อ”

เหอจื่อได้ยินถึงกับตวาดสวนกลับไปทันที

“หูหนิ่ว!”

ผู้หญิงคนนี้มักจะเป็นพวกที่คิดอะไรได้ก็จะพูดออกมาเลย ไม่เคยผ่านสมองไตร่ตรองหรือประมวลผลใดๆก่อน บางเรื่องถึงแม้จะเป็นความจริง แต่มันก็ไม่ควรพูดออกมา ถึงอย่างนั้น เรื่องแบบนี้หูหนิ่วก็ถนัดนักล่ะ

ฉีเล่ยได้แต่ตอบกลับไปยิ้มๆ

“รูปลักษณ์ภายนอกของผมก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไรไม่ใช่เหรอครับ แถมภายในของผมก็ยังสมบูรณ์ไร้ที่ติอีกด้วย ถึงจะไม่เข้าขั้นยอดเยี่ยม แต่มันก็ไม่ได้ดูแย่จนเกินไปจริงไหมครับ?”

หูหนิ่วและฉีเล่ยนั่งข้างกันอยู่เบาะหลัง ดูแล้วก็คล้ายค่อนข้างสนิทสนมกันดี

“ฮ่าฮ่าๆ…นายนี่มันพวกหน้าด้านจริงๆแฮะ แต่ฉันก็ชอบนะ! อย่างน้อยนายก็ดีกว่าพวกผู้ชายปลิ้นปล้อนขี้โกหก เปลือกนอกดูดีแต่ภายในเน่าเฟะ คนพวกนั้นวิ่งหนีฉัน แต่กลับวิ่งเข้าหาเหอจื่อ ต่อหน้าฉันทำเป็นรังเกียจเบะปากใส่ แต่พออยู่ต่อหน้าเหอจื่อกลับทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ ฉันเห็นแล้วอยากจะอ้วก คนพวกนั้นมันน่ารังเกียจสิ้นดี”

เธอยกมือขึ้นกุมไหล่ทั้งสองข้างของตัวเอง ทำท่าทางราวกับหวาดกลัวและขยะแขยงอย่างมาก แต่เนื่องจากร่างของเธอค่อนข้างอวบอ้วนจึงทำให้ฉีเล่ยที่นั่งข้างๆดูตัวเล็กเป็นนกน้อยไปเลย

นี่ยิ่งทำให้ฉีเล่ยถูกใจผู้หญิงคนนี้เข้าไปใหญ่ ฉีเล่ยเห็นด้วยอย่างมากกับคำพูดของหูหนิ่ว จึงได้พูดเสริมไปว่า

“แล้วคิดว่านิยามของสุภาพบุรุษคืออะไรล่ะ? เหอะ เหอะ…มันก็เหมือนพระเอกในการ์ตูนนั่นแหละ รุมตัวร้ายเรียกสามัคคี พอตัวร้ายรุมเรียกหมาหมู่ ชีวิตจริงก็ไม่ต่างกันเลยครับ พวกคนชั่วในคราบสุภาพบุรุษมันมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ…”

หูหนิ่วรีบพูดแทรกขึ้นอย่างเห็นด้วยทันที

“นั่นแหละ นั่นแหละ สิ่งที่ฉันต้องการจะสื่อก็คือ นายไม่ใช่พวกสุภาพบุรุษแบบนั้น แต่นายเป็นพวกตัวร้ายที่น่ายกย่องต่างหาก อย่างน้อยนายก็กล้าที่จะยอมรับตรงๆว่าตัวเองเป็นอะไร”

เหอจือและหูหนิ่วระเบิดหัวเราะดังลั่นอย่างสนุกสนาน แม้ว่าฉีเล่ยจะไม่ใช่สุภาพบุรุษอย่างที่สังคมต้องการหรือชื่นชอบกัน แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่พวกเสแสร้ง ที่ทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายโดยไม่สนใจว่าวิธีการจะน่ารังเกียจเพียงใด

เหอจื่อเป็นผู้หญิงสวยมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าเธอจะทำอะไรหรือไร้มารยาทแค่ไหน แต่กลับดูดีไปหมด

ในขณะที่หูหนิ่วนั้น เป็นผู้หญิงที่ไม่มีใครมองว่าเป็นผู้หญิงเลย ซึ่งเธอเองก็ค่อนข้างมีศักดิ์ศรีในตัวเองสูงมากคนหนึ่ง เธอเชิดหน้าใส่ทุกคนโดยไม่สนใจคนรอบตัว กินเยอะ พูดจาขวานผ่าซาก หน้าด้านในระดับหนึ่ง แต่ถึงแบบนั้นเธอก็เป็นคนที่มีความจริงใจมากคนหนึ่ง

เพราะความกดดันและคำพูดอันแสนเจ็บปวดที่ถาโถมในแต่ละวัน ทำให้มีหลายครั้งที่เธอมักจะปกปิดชื่อจริงของตัวเอง และใช้นามแฝงในโลกโซเชียลเพื่อพูดคุยกับคนอื่นๆ และมีน้อยครั้งมากถึงมากที่สุดที่เธอจะกล้าบอกความจริงต่อหน้าคนเหล่านั้น เพราะเกรงว่าหากพูดไปแล้วเธอจะถูกทอดทิ้ง

นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมวิธีพูดของฉีเล่ยที่มักจะดูเย็นชาและออกแนวทำร้ายจิตใจถึงใช้ไม่ค่อยได้ผลกับเธอ ในทางกลับกัน ทั้งคู่กลับเป็นพวกที่พูดจาตรงไปตรงมาเหมือนกัน และนั่นยิ่งทำให้ทั้งสองคนเข้ากันง่ายขึ้น

คนอื่นไม่กล้าเพราะเกรงใจ แต่นี่ไม่ใช่กับพวกเขาสองคน

ระหว่างทางที่ขับรถไปนั้น ทั้งสามคนต่างก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จนในที่สุดก็มาถึงที่จอดรถทางเข้าอาคารเป่าเฉิน

ฉีเล่ยเงยหน้าขึ้นเฝ้ามองอาคารสูงระฟ้าที่ประดับประดาไปด้วยแสงไฟสว่างสดใส พร้อมกับร้องถามขึ้นว่า

“ที่นี่เหรอครับ?”

“ที่นี่แหละ ชั้นบนสุดของตึกนี้ก็คือคลับของผู้หญิงโดยเฉพาะ”

หูหนิ่วหันไปบอกฉีเล่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ชั้น50ของตึกนี้ ผนังโดยรอบเป็นกระจกใส นายสามารถมองเห็นวิวในเมืองปักกิ่งได้แบบ360องศาเลยล่ะ แถมยังมีพื้นที่บางส่วนซึ่งพื้นเป็นกระจกใสยื่นออกไปจากตัวตึกด้วยนะ มันให้ความรู้สึกคล้ายๆกับว่า…เรากำลังยืนอยู่กลางอากาศอะไรแบบนั้น ว่าแต่..นี่นายกลัวความสูงรึเปล่า?”

“ไม่ครับ”

ฉีเล่ยเอ่ยตอบทันที

“งั้นก็ดี เพราะถ้านายกลัวความสูง ฉันก็ไม่แนะนำให้นายขึ้นไปเหมือนกัน โรคกลัวความสูงไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ สำหรับคนที่กลัวก็คือกลัวจริงๆ”

หูหนิ่วยื่นมือขึ้นมาตบไหล่ฉีเล่ยสองสามทีราวกับพี่สาวที่เป็นห่วงเป็นใยน้องชาย

“แหมมม…แล้วใครกันที่ถูกลากออกไปตรงหน้าต่าง แต่กลับร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดนะ”

เหอจื่อเหลือบมองหูหนิ่วผ่านกระจกมองหลังขณะพูด

“แหมม น้องเหอ นั่นพี่หูเองแหละ”

หูหนิ่วกระแอมเล็กน้อยแก้เขิน

“เราไปกันเถอะ ขึ้นไปข้างบนกัน”

เหอจื่อกวาดสายตามองไปทางรถหรูที่จอดเรียงรายอยู่มากมาย พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ดูท่าวันนี้คนจะเยอะเป็นพิเศษเลยแฮะ ใครเป็นเจ้าภาพจัดงานคืนนี้กันเหรอ? ถึงได้สามารถชวนเพื่อนฝูงมาได้เยอะแยะมากมายขนาดนี้”

“ก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกนั้นชวนมาฉันก็มา ไม่ได้สนใจเรื่องอื่นอยู่แล้ว”

หูหนิ่วยักไหล่ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

เหอจื่อจ้องมองอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปพูดกับฉีเล่ยอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“อาจารย์ฉี เข้าไปดูข้างในกันหน่อยดีไหมค่ะ? อยู่เป็นเพื่อนหูหนิ่วสักพักแล้วค่อยกลับกัน?”

“ครับ ผมว่างอยู่พอดี”

ฉีเล่ยยักไหล่ตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย

หูหนิ่วมองไปที่ชุดสูทสีน้ำเงินตัวแพงของฉีเล่ย ก่อนหัวเราะคิกคักพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ฉีเล่ย นายเหมาะกับชุดนี้มากจริงๆ ฉันว่าพอเข้าไปในงาน นายจะต้องกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนในนั้นแน่นอน!”

จากนั้น ทั้งสามคนก็เดินตรงเข้าไปในตัวอาคาร และใช้ลิฟต์พิเศษขึ้นไปยังชั้นสูงสุดทันที หลังจากตรวจบัตรสมาชิกของเหอจื่อและหูหนิ่วเรียบร้อยแล้ว พนักงานก็เดินนำคนทั้งสามเข้าไปยังสถานที่จัดปาร์ตี้ด้านใน

เมื่อเปิดประตูกระจกบานหรูเข้าไป พวกเขาก็ได้กลิ่นหอมจากแชมเปญและดอกกุหลาบโชยมาทันที ภายในงานปาร์ตี้เต็มไปด้วยแสงสีแพรวพราว นี่คืองานสุดหรูระดับไฮโซที่ทั้งชีวิตของคนบางคน ก็ไม่แม้แต่จะมีโอกาสได้เข้าร่วม

ชั้นบนสุดของตัวอาคารถูกสร้างขึ้นด้วยกระจกใสแผ่นหนาเกือบทั้งหมด ตรงใจกลางมีขั้นบันไดทรงกลมยาวไล่ขึ้นไป แต่ละขั้นล้วนทำจากหยกสีเขียวบริสุทธิ์ล้ำค่ำ ด้านบนปรากฏเป็นชายหนุ่มผมสีบลอนด์ดวงตาสีฟ้ากำลังเล่นเปียโนอยู่ ขับกล่อมบทเพลงที่ฉีเล่ยเองก็ไม่รู้จัก

ดูแล้วคล้ายกับเวทีซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมความสนใจของทุกคนภายในงาน อุปกรณ์ไมโครโฟนและเครื่องดนตรีพร้อม ถ้าใครอยากขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์ก็สามารถขึ้นไปพูดได้ในทันที

รอบข้างเป็นกำแพงที่ทำมาจากแผ่นกระจกใส สามารถมรับชมทิวทัศน์ในยามรัตติกาลของเมืองปักกิ่งได้แบบ360องศาเลยทีเดียว…