ตอนที่192 โลกมันกลมสังคมมันเหลี่ยม
หลังจากที่พวกหูหนิ่วเข้ามา ทั้งสามก็เหมือนกับปลาน้อยในหนองน้ำ เธอหันมากล่าวว่า
“พวกเธอทั้งคู่ตามสบายเลยนะ เดี๋ยวฉันไปหาพวกนั้นก่อน”
หลังจากพูดจบ เธอก็เดินหายไปพร้อมกับฝูงชนทันที
“คนรวยนี่มันรวยจริงๆ”
ฉีเล่ยกล่าว
เหอจือพยักหน้าและตอบกลับไปว่า
“สถานที่แห่งนี้คถือเป็นตัวเลือกแรกของเหล่าคนดังและมหาเศรษฐทั่วปักกิ่งมานัดรวมตัวกัน ผู้หญิงเกือบทั้งหมดในนี้ล้วนแต่เป็นบุคคลมากความสามารถและมีภูมิหลังระดับประเทศทั้งนั้น เห็นว่าบางคนไม่เคยแม้แต่ปรากฏตัวข้างนอกด้วยซ้ำ เพราะอาจจะถูกหมายหัวได้”
“ในเมื่อเป็นคลับของผู้หญิงโดยเฉพาะ แต่ทำไมถึงมีผู้ชายในนี้ด้วยล่ะ”
“ก็อย่างที่บอกไป สมาชิกโดยส่วนใหญ่ของคลับแห่งนี้ล้วนประกอบไปด้วยหญิงสาวมากอิทธิพลในสายงานต่างๆ การจะนำเพื่อนชายเข้ามาบ้างสักคนสองคน มีเหรอที่บอดี้การ์ดหน้าประตูจะกล้าขัด? ก็เลยพากันเข้ามาจนชินกันแล้ว”
ฉีเล่ยพยักหน้า เพราะภายในความคิดของเขาคือ ผู้ชายควรอยู่ในวงของผู้ชาย ส่วนผู้หญิงก็ควรอยู่ในวงของผู้หญิง ยิ่งไปกว่านั้นเอง ทุกวันนี้มีผู้หญิงหลายคนที่ประสบความสำเร็จและก้าวขึ้นมาเป็นช้างเท้าหน้าระดับประเทศมากมาย และคงเป็นเรื่องที่โง่มาก ถ้ามีใครบางคนกล้าประเมินผู้หญิงว่าเป็นเพศที่อ่อนแอกว่า
เหอจือกวาดสายตามองไปโดยรอบ พยักหน้าทักทายบรรดาเพื่อนสาวและเพื่อนชายหนุ่มทั้งหลายที่คุ้นเคยกัน แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันกลับมาเอ่ยถามฉีเล่ยว่า
“อาจารย์ฉี อยากดื่มอะไรค่ะ?”
ฉีเล่ยตอบ
“อะไรก็ได้ครับ”
เหอจือได้ยินแบบนั้นก็พูดติดตลกสวนกลับไปทันที
“งั้นน้ำแร่ดีกว่าเนอะ หนูไม่กล้าให้อาจารย์ดื่มแล้ว เดี๋ยวเมาแบบวันนั้นอีก”
ฉีเล่ยยกมือขั้นลูบหน้าตัวเองเล็กน้อยด้วยความอับอาย
คราวที่แล้วเพราะความไม่รู้แท้ๆ ทำให้เขาดื่มมากเกินขนาดในKTV สภาพของเขาในคืนนี้กลายเป็นเรื่องตลกของบรรดานักศึกษากลุ่มนั้นไปแล้ว และกลายมาเป็นความอัปยศในชีวิตของเขาเรียบร้อย
เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยเซื่องซึมไป เหอจือก็รีบเกลี้ยกลอมโอ๋เอ๋ทันที
“โอ๋ โอ๋นะคะ ดื่มแต่แอลกอฮอล์ก็ไม่ดี หนูเองยังเคยห้ามไม่ให้พ่อดื่มตั้งหลายรอบ”
ฉีเล่ยพยักหน้ายิ้มตอบกลับไป แต่แท้ที่จริงแล้วสาเหตุที่เขาเซื่องซึมแบบนี้ไม่ใช่เพราะเขาเป็นพวกคออ่อน แต่เป็นเพราะเส้นลมปราณตะวันฟ้าในร่างกายเขาต่างหาก…
ราวกับหลุดเข้ามาในอีกโลกใบหนึ่ง ไม่เพียงมีแต่อาหารอร่อยมากมาย และทิวทัศน์เมืองปักกิ่งยามค่ำคืนที่สวยงาม แต่ยังสาวหญิงที่แสนจะงดงามมากมายเต็มไปหมด
เฉพาะผู้ที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ได้ดื่มด่ำกับความบันเทิงเหล่านี้
ในจุดนี้เอง ฉีเล่ยรู้สึกขอบคุณเฒ่าแก่เฉินตลอดมาที่ช่วยชีวิตเขาไว้
แต่นั้นกลับยังไม่พอ ยังไม่เพียงพอเลยจริงๆ แม้ว่าพ่อตาจะใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อต่อชีวิตนี้ แต่ดูเหมือนว่าโรคประหลาดจากเส้นลมปราณตะวันฟ้ากำลังจะกำเริบกลับมาอีกครั้ง…
ไม่มีทาง ฉันจะตายลงทั้งที่ยังไม่ทำอะไรไม่ได้….
ตราบใดที่สามารถฟื้นฟูศาสตร์แพทน์แผนจีนกลับมาได้ ชีวิตนี้ก็ไม่นับว่าสูญเปล่าแล้ว
เหอจือยิ้มและกล่าวว่า
“อาจารย์ฉีงั้นรอแปปนึงนะคะ เดี๋ยวหนูไปหยิบเครื่องดื่มมาให้”
พูดจบเธอก็วิ่งไปที่โซนเครื่องดื่มทันที
หากฉีเล่ยยังคงยึดมั่นกับความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์และอาจารย์อย่างสม่ำเสมอ เหอจือคงไม่ทำตัวสนิทจนพูดอะไรแบบนี้ออกมาแน่นอน แต่จะอย่างไร ปัจจุบันฉีเล่ยเดินทางไปร่วมรับประทานอาหารเย็นกับแม่ของเธอถึงในบ้าน ภายในใจของเหอจือ เธอไม่ได้เห็นฉีเล่ยเป็นแค่อาจารย์อีกต่อไปแล้ว และในแง่ของความสัมพันธ์มันไม่ใช่เรื่องเรียบง่ายอีกต่อไปเช่นกัน ฟังจากบทสนทนาแล้ว มันเปรียบเสมือนเพื่อนที่แอบรักอีกฝ่ายไปแล้ว
ฉีเล่ยพยักหน้าและยืนรออยู่หน้าประตูอยู่แบบนั้น พลางชื่นชมสถาปัตยกรรมที่ตกแต่งทั่วบริเวณชั้นดังกล่าว
สิ่งหนึ่งที่ควรจำไว้ใส่ใจเลยก็คือ โลกนี้ไม่มีคำว่าผู้หญิงขี้เหร่ มีแต่คำว่าผู้หญิงขี้เกียจ ถ้าคุณความมุ่งมานะพอ หากรู้ตัวว่าอ้วนก็สามารถฟิตหุ่นกลับมาให้ดูดีได้ ถ้ารู้ตัวว่าความสวยด้อยกว่าคนอื่น คุณก็ต้องรู้จักเลือกเสื้อผ้าและแต่งหน้าแต่งตัวให้สวยขึ้น
และผู้หญิงที่เข้าร่วมงานปาร์ตี้ในวันนี้มีแต่คนสวยเต็มไปหมด พวกเธอบางคนในชุดกระโปรงสั้น บ้างก็เสื้อคลุมเปิดไหล่สวย แววตาสาดสะท้อนสีใสบริสุทธิ์ ดูแล้วเพลิดเพลินสายตาอย่างยิ่ง
แก้วในมือของพวกเธอเต็มไปด้วยความเหลวหลายสีทั้งแดง ส้ม หรือน้ำเงินก็ยังมี มันทั้งหมดแกว่งไปมาท่ามกลางแสงสีที่เจิดจ้าตกกระทบเข้าใส่จะก่อเกิดสีสันวิจิตรตา
ทันใดนั้นเอง ประตูทางเข้ากระจกบานหรูก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง และมีคนกลุ่มหนึ่งที่ตรงเข้าร่วมงานเลี้ยงอย่างเร่งรีบ
สาวน้อยในชุดสีแดงพร้อมกับรองเท้าส่นสูงสีเงินอ่อน ซินซินเดินตรงเข้ามา เคียงข้างกับหนิงเสี่ยวเซียวในชุดสีขาวกระโปรงยาวราวกับเจ้าหญิงตัวน้อย
นอกจากนี้ยังมีเพื่อนสาวอีกกลุ่มหนึ่งเดินตามหลังพวกเธอมา พร้อมปิดท้ายด้วยคังฟาน, เหวินเจียนและหลู่หยานในชุดสูทสีดำและรองเท้าหนัง กำลังเดินพูดคุยกันอย่างสนุกสนานกันสาวๆกลุ่มนั้น
ซินซินหันศีรษะเหลือบมองเพื่อนสาวกลุ่มนั้นของเธอ และหันมากล่าวกับหนิงเสี่ยวเซียวที่แต่งหน้าสวยว่า
“พวกชะนีชัดๆ”
หนิงเสี่ยวเซียวยิ้มและตอบกลีบไปว่า
“เอาน่า ก็ตามภาษาผู้หญิงนั่นแหละ”
“หืม? เธอยังไม่เห็นกระดี๊กระด๊ากับผู้ชายแบบนั้นเลย แต่ดูพวกเธอสิ วิ่งเข้าหาคังฟานจุดประสงค์ชัดเจนมาก! น่ารังเกียจจริงๆ! ถ้ามีโอกาสฉันจะพาคังฟานชิ่งหนีออกไปคอยดู”
“คุณซินซินครับ เจ้าคังฟานมันเป็นนักเต้นเท้าไฟตั้งแต่สมัยอยู่ที่หยานจิ้งแล้ว ก็เป็นเรื่องปกติเปล่าที่ใครๆก็ชอบเขา? อีกอย่างนะ แกเองก็ไม่ได้แต่งงานกับเขาสักหน่อย มีสิทธิ์หึงด้วยเหรอ?”
เหวินเจียนผู้พี่บังเอิญไปได้ยินเข้าเลยอดกล่าวแซะน้องสาวตัวเองไม่ได้
“หึ! แล้วมาคอยดูกันว่าฉันจะจัดการกับชะนีพวกนั้นยังไง!”
ซินซินคั้นเสียงเย็นหัวเราะหึหึออกมาสองสามคำ ก่อนจะสังเกตเห็นอะไรเข้าจึงกล่าวต่อว่า
“นี่ คนๆนั้นดูคุ้นมาก”
จากนั้นซินซินก็ชี้ไปที่แผ่นหลังของฉีเล่ย และเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจขึ้นว่า
“นั่นมันไอ้เวรที่เจอกันล่าสุดไม่ใช่เหรอ?”
อันที่จริง เธอจำฉีเล่ยได้ตั้งแต่ลักษณ์ชุดที่ใส่แล้ว
ก็แหม…เห็นใส่เป็นแค่ชุดเดียว!
หนิงเสี่ยวเซียวพยักหน้า
“ดูเหมือนจะเป็นเขาจริงๆ”
ซินซินรีบเดินจ้ำตรงไปหาทันที พอเห็นอีกฝ่ายกำลังเงยหน้ามองโน้นนี่อยู่ ก็กล่าวเยาะเย้ยขึ้นทีนทีว่า
“ทำไมคนอย่างแกถึงอยู่ที่แบบนี้ได้? มาเป็นเด็กเสิร์ฟเหรอ?”
ฉีเล่ยกำลังยืนชื่นชมกับสิ่งสวยงามและทิวทัศน์บรรยากาศรอบเมืองปักกิ่งตรงหน้าอยู่เฉยๆเพียงลำพัง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า จู่ๆจะมีใครก็ไม่รู้ตรงเข้ามากหาเรื่องสร้างปัญหาให้เองแบบนี้
นอกจากนี้ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ดูท่าจะเป็นคนคุ้นเคยอีกด้วย
พอหันมามองฉีเล่ยก็จำผู้หญิงตรงหน้าได้ในทันใด
ครั้งล่าสุดที่เจอกัน เธอสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นในสไตล์เซ็กซี่ ผมพาดบ่าข้างหนึ่ง ทำให้ใครก็ตามที่ได้พบเห็นรู้สึกน่าหลงใหล
แต่จู่ๆวันนี้ก็เปลี่ยนมาเป็นแนวชุราตรีสีแดง ทรงผมม้วนถูกเก็บอย่างเรียบร้อย และดูเป็นลูกคุณหนูผู้ดีในงานเลี้ยงต่างๆอะไรแบบนั้น
เมื่อทั้งสองพบกัน ภาพจำก่อนหนและหลังเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ จนแวบแรกฉีเล่ยเองก็จำไม่ได้เช่นกัน
ฉีเล่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คุณเองเหรอ?”
ถึงผู้หญิงคนนี้จะสวยแค่ไหน แต่มักจะมีแต่คำพูดแย่ๆออกมาจากปากของเธอ
พูดกันตามงตรง ก็ดูมาจากครอบครัวฐานะดีนะ แต่ทำไมสันดานถึงต่ำตมได้ขนาดนี้?
ซินซินที่เห็นฉีเล่ยมองอยู่นานกว่าจะนึกออก ก็จับจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแสนดูถูกและกล่าวตอบไปว่า
“เออไง กว่าจะจำฉันได้ แล้วแกมาทำอะไรที่นี่?”
ฉีเล่ยเหลือบดูใบหน้าสวยของเธอด้วยสายตารังเกียจเช่นกัน
“ผมมีหน้าที่ต้องอธิบายให้คุณฟังด้วยเหรอครับ? ไม่ทราบว่าเป็นใครมีสิทธิ์อะไร?”
ซินซินหัวเราะเยาะเย้ยฉีเล่ยสวนกลับไปทันที
“ก็ฉันคิดว่า น้ำหน้าอย่างแกน่าจะแอบลักลอบเข้ามา ที่แห่งนี้มันแหล่งรวมตัวของมหาเศรษฐีคนดังในปักกิ่ง แล้วฉันก็มั่นใจว่า คนอย่างแกไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้ามาเหยียบที่นี่! ดูเหมือนว่า ฉันต้องรีบไปเรียกบอดี้การ์ดมาลากขยะอย่างแกออกไปให้พ้นหูพ้นตาสักหน่อย…”
แต่ยังพูดไม่ทันจบ ซินซินเกือบสำลักน้ำลายตาย เพราะจู่ๆเธอก็ถูกมือฉีเล่ยพุ่งเข้ามาตะปบคออย่างแรง
ฉีเล่ยกระชากคอเธอเข้ามาพร้อมกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงสุดแสนจะเยือกเย็นราวกับเปล่งดังออกจากก้นบึ้งขุมนรก
“หุบปากได้รึยัง?”
“แก…”
ซินซินยังไม่สิ้นฤทธิ์พยายามจะขัดขืน
แต่ทันใดนั้น พอเธอสัมผัสเห็นถึงแววตาประดุจเพรชฆาตของฉีเล่ย สัญชาตญาณของซินซินก็สัมผัสได้ถึงอันตรายอยู่เต็มหัวใจ