ตอนที่193 ความขัดแย้ง
ชั่วขณะนั้นกลายเป็นความเงียบสงัด เธอไม่สามารถปริปากเถียงใดๆได้อีกต่อไป ยามเผชิญหน้ากับฉีเล่ย เธอถูกปราบปรามด้วยกำลังของอีกฝ่ายจนอ่อนแอถึงขีดสุด ได้แต่รู้สึกกล้ำกลืนฝืนทนอยู่ภายในใจ
ใครจะไปคิดล่ะว่าผู้ชายคนนี้จะกล้าใช้กำลังบีบคอเธอแบบนี้?
หนิงเสี่ยวเซียวเดินตรงเข้ามาหาฉีเล่ยพร้อมรอยยิ้มทักทายขึ้นว่า
“สุภาพบุรุษจังนะ ปล่อยเพื่อนฉันก่อนดีไหม? ทำไมพวกเธอสองคนชอบทะเลาะกันทุกทีที่เจอ?”
ฉีเล่ยคลายมืออกจากคอของซินซินในรที่สุด นั่นไม่ใช่เพราะคำพูดของหนิงเสี่ยวเซียว แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่สามารถฆ่าใครในที่แบบนี้ได้
ในอีกด้านหนึ่ง คังฟานที่กำลังก้มหน้าก้มตาพูดคุยตีสนิทกับผู้คนอยู่อย่างสนุกสนาน ก็พลันตระหนักได้ว่า มีบางอย่างไม่ถูกตรง ซินซินกำลังมีเรื่องขัดแย้งกับบุคคลที่สามอยู่ แต่หลังจากหันศีรษะควับและพบว่าเป็นชายหนุ่มที่แสนคุ้นเคยในชุดสูทสีน้ำเงินสะดุดตา ท่าทางการแสดงออกของเขาถึงกับแข็งทื่อไปชั่วขณะเช่นกัน
จะว่าไปแล้วเมืองปักกิ่งก็ไม่ใช่ว่าเล็กๆเลยนะ แต่ทำไมพวกเขาทั้งคู่ถึงพบกันตั้งสามครั้งภายในเวลาแค่ไม่กี่วันเอง?
เหวินเจียนที่เห็นว่าน้องสาวตัวเองกำลังมีเรื่องกับคนอื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลานี้ใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นสีเย็น อดขึ้นภายในใจพลางยิ้มขื่นไม่ได้จริงๆ
น้องสาวตัวดีคนนี้ ถูกเลี้ยงดูตามใจจนเสียคนแล้วจริงๆ
“ซินซิน เกิดอะไรขึ้น?”
“หมอนี่รังแกเหรอ?”
เมื่อเห็นสีหน้าการแสดงออกของซินซินที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก เพื่อนสาวกลุ่มนั้นที่มากับเธอด้วยก็เข้ามาทักถามทันที ก่อนจะหันไปด่าฉีเล่ยที่บังอาจกลั่นแกล้งเพื่อนของพวกเธอ โดยไม่ไต่ถามอะไรเลยสักนิดว่าแท้ที่จริงเกิดอะไรขึ้น
คังฟานเดินตรงเข้ามาจับจ้องฉีเล่ยพร้อมรอยยิ้ม ก่อนกล่าวขึ้นว่า
“เจอกันอีกแล้วนะครับ”
ฉีเล่ยไม่แม้แต่สนใจคังฟานหรือกลุ่มเพื่อนสาวเลยสักนิด แต่หันมากล่าวถากถางกับซินซินแทนว่า
“หวังว่าเราจะไม่ได้พบกันอีกนะครับ”
เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยไม่สนใจตัวเอง คังฟานจึงเอ่ยปากถามขึ้นต่อว่า
“พวกคุณสองคนมีเรื่องขัดแย้งกันเหรอครับ?”
อันที่จริงแล้ว คังฟานค่อนข้างมีทัศนคติต่อฉีเล่ยดีมากเลยทีเดียว
ยิ่งคังฟานรู้สึกตื่นต้นร้อนใจเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเผยให้ฉีเล่ยเห็นและเข้าใจว่า จิตใจของคู่ต่อสู้คนนี้ยังไม่สงบและโตพอที่จะแข่งกับเขาได้
แสดงอารมรณ์ผ่านท่าทางการกระทำ มันดูง่ายมาก และคังฟานก็เป็นแบบนั้น
ฉีเล่ยหันศีรษะเหลือบมองคังฟานและกล่าวตอบโดยไม่แยแสไปว่า
“เรื่องขัดแย้งเหรอครับ? ผมว่าคุณเข้าใจผิดแล้ว เธอต่างหากที่จู่ๆก็ตรงเข้ามาหาเรื่องผม ไม่รู้หรอกนะครับว่าเธอเป็นบ้าอะไร แต่ช่วยพาเธอออกไปให้พ้นหูพ้นตาผมหน่อยได้ไหมครับ? เพราะถ้ามีครั้งหน้าผมอาจพลั้งมือใช้ความรุนแรงกับเธอได้ และควรรู้ไว้นะครับ ผมไม่ใช่‘สุภาพบุรุษ’ ถ้ายังกล้ามาหาเรื่องอีก…ผมจะซัดหน้าเธอจนเสียโฉมแน่”
ซินซินแผดเสียงด่าสวนกลับไปทันทีว่า
“นี่แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร! ยังมีความเป็นผู้ชายอยู่รึเปล่า? ไอ้นากตัวเมีย!”
คังฟานรีบยื่นมือออกไปห้ามซินซิน และออกหน้าเข้าเผชิญกับฉีเล่ยโดยตรงและกล่าวอธิบายว่า
“ต้องขอโทษจริงๆนะครับ พวกเธอยังเด็กเลยค่อนข้างใจร้อน พูดอะไรออกไปไม่คิดกันเท่าไหร่ ผมเข้าใจหัวอกผู้ชายด้วยกันดีครับ เจอแบบนี้ก็ลำบากใจจริงๆ แล้วอีกอย่างคุณเป็นเพื่อนของถงซี และถงซีก็เป็นเพื่อนของผม ดังนั้นแล้วคุณเองก็ถือเป็นเพื่อนของผมเช่นกัน หวังว่าพวกเราจะมีโอกาสร่วมมือกันในอนาคตนะครับ”
คังฟานได้อ่านข้อมูลทั้งหมดของผู้ชายตรงหน้าจากหลู่หยานหมดแล้ว
ฉีเล่ยเป็นลูกเขยของแพทย์แผนจีนชื่อดังสกุลเฉิน ปัจจุบันเป็นอาจารย์อยู่ในมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง แถมยังมีข่าวลือหึ่งมาว่า ยังอาจจะเป็นแฟนหนุ่มที่แอบคบหากับหลี่ถงซี
แน่นอน สิ่งที่สำคัญนอกเหนือข้อมูลใดๆก็คือ เขายังเป็นทายาทผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์
การจะหาข้อมูลพวกนี้ไม่ใช่เรื่องยาก บนหน้าหนังสือพิมพ์และหน้านิตยสารที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์แผนจีน ณ ปัจจุบันกำลังนำเสนอประเด็นของเขาร้อนแรงฉุดไม่อยู่
ประจวบเหมาะอย่างยิ่ง ตอนนี้คังฟานกำลังเริ่มต้นธุรกิจในอุตสาหกรรมการแพทย์แผนจีน ถ้าได้ผู้ได้ชื่อว่าทายาทวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ที่หายสาปสูญไปนับหลายร้อยปีมาเป็นตัวชูโรง บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสทองในการพัฒนาธุรกิจของเขาอย่างก้าวกระโดด
ดังนั้นคังฟานจึงพยายามคิดหกาทุกวิถีทางเพื่อที่จะสร้างสัมพันธ์อันดีกับฉีเล่ย แม้ว่าเรื่องส่วนตัวระหว่างพวกเขาอาจจะทำให้ดูมีระยะห่างกันบ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเลย
ฉีเล่ยไม่แม้แต่ที่จะยื่นมืออกไปจับด้วย แถมกรนเสียงสุดแสนจะเย็นชากล่าวตอบไปว่า
“ถงซีเคยเล่าเรื่องของคุณให้ฟังแล้ว แล้เท่าที่ฟังว่า ผมไม่คิดเช่นกันว่าจะเป็นเพื่อนกับคุณได้ คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องความร่วมมือกันหรอกนะครับ”
ประการแรกเลยคือ ทำไมเขาต้องร่วมมือกับชายคนนี้ด้วย?
ตัวฉีเล่ยเองก็ไม่ได้มีเงินขาดมือสักหน่อย
ก็ยอมรับแหละว่า อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่ดูมีเสน่ห์มาก แต่มันเกี่ยวข้องอะไรกับเขาด้วยล่ะ?
มีเสน่ห์งั้นเหรอ? ฉันเองก็มี
การที่คุณเรียนสูงและมีประสบการณ์การบริหารธุรกิจที่ยอดเยี่ยม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนบนโลกจะอยากทำธุรกิจร่วมกับคุณจริงไหม?
มือที่ยื่นออกไปของคังฟานค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ แววความไม่พอใจฉายวาบออกมาจากสายตาคู่รนั้น ก่อนจะยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้และถอนมือออกมา เขายิ้มกล่าวกับฉีเล่ยทิ้งท้ายวส่า
“ดูเหมือนว่าเราจะมีความข้ดแย้งอะไรบางอย่างกันแล้วนะครับ”
คังฟานแสร้งทำเป็นไม่สนใจและละเลยการกระทำของฉีเล่ยไปโดยสมบูรณ์ แต่ทว่ากลุ่มเพื่อนสาวที่แอบปลื้มเขากลับทนไม่ได้กับพฤติกรรมการดูถูกของฉีเล่ย
ใช่แล้ว ท่าทางการแสดงออกของฉีเล่ยตรงหน้ามันถือเป็นการดูถูกดูแคลนคังฟานอย่างมากในสายตาของพวกเธอ
ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับพวกเธอเองมันก็ยังพอทนได้ แต่ในเมื่อเกิดขึ้นกับคังฟานที่พวกเธอแอบชอบ แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถทนได้
โดยเฉพาะกับซินซิน เธอทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคังฟานตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก กล่าวได้ว่า เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่เธอรักที่สุดในชีวิต
“สวะก็คือสวะ อันที่จริงคนแบบนายไม่มีคุณสมบัติเข้ามาที่นี่ได้เลยด้วยซ้ำ อ่อก็เข้าใจแหละว่า ชีวิตนี้ไม่เคยมีใครอยากคบหาด้วย พอพี่คังฟานยื่นมือไปจับ ก็เลยไม่รู้ว่าควรจะว่างตัวยังไง ตอนนี้คงรู้สึกอายมากสินะ? เอาสิ วิ่งร้องไห้กลับบ้านไปสิ! ฮ่าฮ่า…”
สาวอีกคนกลอกตาใส่ฉีเล่ยด้วยสีหน้าเชิงรังเกียจ ดูท่าจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนคังฟานเช่นกัน
“จะว่าไปนะพี่คังฟาน ทำไมพี่ถึงอยากจับมือกับคนแบบนี้ด้วย? ไม่กลัวมือสกปรกเหรอค่ะ?”
หญิงสาวหน้ากลมอีกคนรีบยกมือขึ้นมาปิดจมูกราวกับว่าตัวฉีเล่ยส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมา
“อี๊~ สงสัยจะเป็นพวกแสร้งทำเป็นรวย สวมสูทราคาแพงก็เท่านั้นแหละ แต่สุดท้ายฉันก็ยังได้กลิ่นดเหม็นเปรี้ยวไปทั้งตัว ไม่มีใครสอนรึไงว่า ก่อนออกจากบ้านทุกคนให้ฉีดน้ำหอม? รู้จักไหมมารยาททางสังคมน่ะ? ไม่ใช่เที่ยวเดินออกมาส่งกลิ่นโสโครกแบบนี้ ฉันจะอ้วก!”
หนิงเสี่ยวเซียวก้าวออกมาหยุดทุกคนทันทีและกล่าวว่า
“ใจเย็นก่อนน่า ไม่เห็นต้องทะเลาะกันเลย”
ในเวลานั้นเองหลู่หลายก็ตรงเข้ามากระซิบข้างหูเสี่ยวเซียวเช่นกันว่า
“เสี่ยวเซียวไม่ต้องไปสนใจหรอก ปล่อยให้คังฟานจัดการแหละดีแล้ว”
ฉีเล่ยเหลือบสายตามองบรรดาผู้หญิงตรงหน้าด้วยสายตาสุดแสนจะรังเกียจ ราวกับกำลังมองขี้กองหนึ่งอยู่ตรงหน้า เขารีบยกมือบีบจมูกและกล่าวขึ้นขึ้นว่า
“ที่นี่ควรจะมีแต่สาวๆสวยๆไม่ใช่เหรอ? แล้วใครมาเบ่งอึกองใหญ่ทิ้งเอาไว้แถวนี้นะ? โคตรเหม็นเลย! รู้สึกอยากอ้วกเลยครับ…ใครมันจะไปคุยกับกองอึเน่าๆแบบพวกคุณกัน? ไม่อยากยุ่งด้วยเลยครับ ผมขยะแขยง”
ทันทีที่สุ่มเสียงของฉีเล่ยเงียบลง ผู้หญิงแต่ละคนก็ถึงกับหน้าถอดสี ท่าทางการแสดงออกดูหมองหม่นลงมาก
ซินซินชี้หน้าด่าฉีเล่ยสวนกลับไปทันทีว่า
“ยังไม่หยุดพล่ามอยู่อีก รีบขอโทษพี่คังฟานเดี๋ยวนี้…”
แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูดจบโดยดี ทันใดนั้นก็มีของเหลวสีน้ำเงินชุดใหญ่สาดเข้าใส่เธอในทันที
กรี๊ดดด….
ซินซินกรีดร้องเสียงดังลั่น เธอถูกเครื่องดื่มสีน้ำเงินสาดเข้าใส่จนตัวเปียกชุ่ม ทั้งใบหน้า ลำคอ รวมไปถึงเสื้อผ้า ทั่วทั้งร่างเปียกโชกไปด้วยน้ำ เธอรีบยกมือปิดหน้าปิดตาด้วยความอับอายอย่างมาก
เหอจือยืนอยู่เบื้องหลังของฉีเล่ยจับจ้องซินซินด้วยสายตาสุดแสนจะเย็นชา พลางเหลือบสายตาดุยิงเข้าใส่บรรกาเพื่อนสาวเหล่านั้นที่จับจ้องอย่างไม่เป็นมิตร เธอคำรามขู่ขึ้นทันใดว่า
“มองอะไร? อยากโดนสาดอีกคนรึไง? รีบคุกเข่าขอโทษอาจารย์ฉีเดี๋ยวนี้!”
เหวินเจียนที่เห็นว่าน้องสาวตัวเองโดยทำร้าย เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปโอบกอดทันทีและหันควับตะโกนใส่ทาเหอจือด้วยความโกรธว่า
“ทำไมถึงต้องสาดน้ำใส่กันด้วย?!”
ขณะที่เอ่ยกล่าวเขาก็พลางยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตาน้องสาวทันทีด้วยความเป็นห่วง
แววตาคู่นั้นของเหอจือเปล่งประกายเหยียบเย็นสาดสะท้อนออกไป กล่าวสวนกลับไปทันทีด้วยน้ำเสียงสุดแข็งกร้าวว่า
“พวกแกควรจะขอบคุณด้วยซ้ำ ถ้าในมือฉันไม่ได้ถือแก้วมา ปานนี้ฉันเดินไปหวดหน้านานแล้ว!”
เหวินเจียนใช้ความพยายามสุดขีดเพื่อข่มกลั้นความโกรธของตัวเองลง เขากรนเสียงเย็นเสียดดังออกจากซี่ฟันออกไปว่า
“อย่าบังคับให้ฉันต้องใช้ความรุนแรงกับผู้หญิง!”
เหอจือยักไหล่ไปทีหนึ่ง โยนแก้วในมือข้างหนึ่งทิ้งไปพร้อมยกนิ้วขึ้นกวักท้าทายอย่างไม่เกรงกลัว
“ก็มาสิวะ ฉันต่อให้แกมือเดียวเลย เชื่อไหมล่ะว่าแกไม่ใช่คู่มือของฉันด้วยซ้ำ!”
“….”
ถ้าไม่ใช่เพราะน้องสาวของเธอที่กำลังร้องห่มร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของเขา เหวินเจียนแทบจะวิ่งออกไปซัดหน้าผู้หญิงตรงหน้าได้อยู่แล้ว