บทที่ 172 หนักแน่นดุจหินผา

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

จู๋ซวีอู๋เอ่ยถามอย่างสงสัยยิ่ง “นางหัวเราะอะไร?”

“ไม่รู้…” เสียงไป๋เจี่ยนจู๋เบาจนแทบไม่ได้ยิน

“เพราะเหตุใดเจ้าจึงไม่ถามดู ตั้งหลายสิบปีมาแล้ว คนที่ความจำไม่ดีคงลืมไปหมดแล้ว น่าโมโหจริงๆ เจ้าท่อนไม้ทึ่ม!” จู๋ซวีอู๋พลันบันดาลโทสะ ขึ้นเสียงคำราม จากนั้นเขาก็กระโดดลงจากบัลลังก์ เดินกลับไปกลับมาภายในตำหนักใหญ่ เห็นอารมณ์เดือดดาลบนใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน

ไป๋เจี่ยนจู๋ก้มหน้า สีหน้าซีดขาว ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง ไม่ใช่เนื่องจากจู๋ซวีอู๋มีโทสะกะทันหัน ทว่าเขามีลางสังหรณ์ไม่ดี ต้องเกิดเรื่องน่ากลัวขึ้นแน่

จริงเสียด้วย จู๋ซวีอู๋เดินอยู่หลายรอบแล้วหยุดกะทันหัน เดินมาหาไป๋เจี่ยนจู๋

เขานั่งยองๆ เบื้องหน้าไป๋เจี่ยนจู๋จากนั้นเอ่ยอย่างจริงจัง “ถอดกางเกงให้ข้าดูหน่อย”

“อาจารย์! ท่านอย่าทำแบบนี้ จะขายหน้านะ” คงจู๋อู๋พุ่งปราดไปทันที กอดจู๋ซวีอู๋ไว้แล้วลากมาด้านหลัง

ส่วนคงจู๋โหย่วรีบส่งสายตาให้ไป๋เจี่ยนจู๋ ให้เขารีบถอยมาก่อน

“พวกเจ้าทำอะไร! ข้าแค่จะดูนิดเดียว ข้าสงสัยยิ่ง หรือว่าพวกเจ้าไม่คิดจะดูหน่อย ไม่สงสัยหรือ?” จู๋ซวีอู๋มองศิษย์กบฏสองคนนี้ ตะโกนลั่นอย่างไม่พอใจ

คงจู๋อู๋กอดเอวเขาไว้อย่างแน่นหนา ฉุดลากพลางเอ่ย “อาจารย์ ไป๋เจี่ยนจู๋เป็นคนที่ข้าเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เล็กจนโต ตอนเด็กๆ ข้าเป็นคนอาบน้ำให้เขา ต้องไม่มีปัญหาแน่! ไม่เชื่อท่านถามศิษย์น้องคงจู๋โหย่ว อีกทั้งศิษย์เด็กๆ อย่างพวกเขาก็อาบน้ำด้วยกันบ่อยๆ ถ้ามีตรงไหนที่น่าขำ คงบอกมานานแล้ว”

คงจู๋โหย่วเองก็ขวางไว้เบื้องหน้าไป๋เจี่ยนจู๋ เอ่ยโน้มน้าวอย่างร้อนใจ “อาจารย์ นี่เป็นความจริง ต้องไม่มีปัญหาเด็ดขาด ถ้าท่านบีบบังคับให้เจี่ยนจู๋ทำแบบนั้น ต่อไปเขายังจะมีหน้าอยู่ในสำนักได้อย่างไร นี่บีบให้เขาจนตรอกมิใช่หรือ”

“ร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือ? ข้าแค่ขอดูนิดเดียว พวกเจ้าก็เคยเห็นแล้วนี่ เพราะเหตุใดข้าจึงดูไม่ได้ ถ้าไม่ดูสักนิดข้าจะไม่สบายใจ เกรงว่าคงนอนไม่หลับไปหลายร้อยปี” ชะโงกไปมองทางซ้ายทีทางขวาทีอย่างไม่พอใจ มีท่าทีท่าทางหากไม่ดูจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้

“ซือจู่!” ไป๋เจี่ยนจู๋พลันคุกเข่าคำนับจู๋ซวีอู๋แล้วเอ่ยเสียงดัง “ถ้าซือจู่จะดูให้ได้ ก็โปรดอภัยให้การไม่เคารพของศิษย์ หลังจากซือจู่ดูแล้ว ศิษย์จะปลิดชีพตนเอง อาจารย์ อาจารย์อา ศิษย์ขอลาตรงนี้!”

เอ่ยจบ ไป๋เจี่ยนจู๋ยืนขึ้นทำท่าจะถอดกางเกงอย่างไม่ลังเล

“อาจารย์ เขานิสัยแข็งกร้าวแบบนี้ ต้องพูดจริงแน่ จะบีบคั้นให้ศิษย์ตายไม่ได้นะ” คงจู๋อู๋ร้อนใจ เขาดูแลเจ้าเด็กนี่มาจนโต เมื่อพูดได้ต้องทำได้ ต้องปลิดชีพตนเองแน่ๆ

“พอแล้ว! ทุกคนหยุด!” จู๋ซวีอู๋ตวาดลั่น บ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ “ไม่ต้องถอดแล้ว ไม่ดูก็ไม่ดู อาละวาดจะตายทำไม หมดสนุกจริงๆ”

ไป๋เจี่ยนจู๋รีบหยุดมือ ฟุบลงกับพื้น “ขอบคุณซือจู่”

เขาไม่ได้คิดจะถอดจริงๆ ไม่เช่นนั้นด้วยกางเกงแบบนี้ของเขา เพียงแก้เข็มขัดกางเกงด้านในก็พอ ทว่าเขาคลายผ้าคาดเอวของเสื้อผ้าที่ผูกบนเอว แสดงอยู่นานจึงคลี่คลาย แม้แต่กางเกงก็ไม่ได้แตะ เพียงแต่เนื่องจากปกติทุกคนถอดเสื้อผ้าล้วนเริ่มจากถอดผ้าคาดเอวก่อน บวกกับเขามีนิสัยซื่อตรงมาตลอด คิดไม่ถึงว่าจะหลอกตาเฒ่าสามคนที่มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีได้

เห็นจู๋ซวีอู๋ปล่อยเขาไป ไป๋เจี่ยนจู๋พลันพบว่าวิธีหลอกคนอันชั่วร้ายของจินเฟยเหยาใช้ได้ผลจริงๆ บางที ตอนเจอคนโรคจิตก็ไม่อาจปฏิบัติด้วยอย่างซื่อตรง

จู๋ซวีอู๋กลับไปนั่งบนบัลลังก์อย่างเบื่อหน่าย กลัดกลุ้มอยู่ตลอดเวลา คนอื่นๆ อีกสามคนก็ไม่กล้ายั่วโทสะเขา จึงเงียบอยู่เช่นนี้ไม่มีใครส่งเสียงสักแอะ

ผ่านไปครู่หนึ่ง จู๋ซวีอู๋พลันเอ่ยถาม “จู๋อู๋ ตอนนี้ในหมู่ศิษย์เจี๋ยตันกี่คนแล้ว?”

“อาจารย์ ในศิษย์ขั้นสร้างฐานยี่สิบเจ็ดคน มีเพียงสามคนที่เจี๋ยตัน” คงจู๋อู๋ตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด

“เหตุใดจึงน้อยขนาดนี้? คุณสมบัติของพวกเขาล้วนเป็นลำดับต้นๆ เหตุใดคนที่เจี๋ยตันจึงมีเพียงสามคน?” จู๋ซวีอู๋ไม่พอใจคำตอบนี้อย่างยิ่ง ปกติเขาใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญตลอด ไม่ค่อยได้สอนศิษย์รุ่นล่างๆ เท่าไร คิดไม่ถึงว่าจะไม่อยากก้าวหน้าขนาดนี้

คงจู๋โหย่วหันมาตอบ “อาจารย์ สาเหตุหลักคือหลังจากมาถึงที่นี่ก็ไม่ได้ท่องเที่ยวหาประสบการณ์ อยู่ในสำนักทั้งวันและมีเรื่องต้องทำไม่จบไม่สิ้น ไหนเลยจะมีโอกาสทะลวงเจี๋ยตัน”

“ดังนั้นข้าจึงบอกว่า วิธีฝึกบำเพ็ญเหมือนเลี้ยงหมูเช่นนี้ใช้การไม่ได้ เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ไล่พวกเขาทั้งหมดออกไป การฝึกบำเพ็ญถ้าไม่พบเจออันตรายบ้างจะรุดหน้าได้อย่างไร?” จู๋ซวีอู๋มองตาเฒ่าที่เป็นศิษย์รักสองคนนี้อย่างไม่พอใจ

พวกคงจู๋อู๋สองคนจนวาจา ไม่เป็นเจ้าของบ้านก็ไม่รู้ว่าข้าวสารกับฟืนแพง[1] ไล่ศิษย์ทั้งหมดออกไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ เจ้าก็เล่นทั้งวันโดยไม่เห็นแม้เงา หรือว่าทั้งยอดเขาซวีชิงจะมีเพียงตาเฒ่าอย่างพวกเขาสองคน

ตอนอยู่เมืองลั่วเซียน ศิษย์ของพวกเขามีน้อย เรื่องของตนเองก็ทำเอง อย่างมากคือไม่กี่ปีก็ไปร่วมประชุมครั้งหนึ่ง ทั้งสองคนอยู่อย่างแสนสุขสบาย พอมาถึงสำนักตงอวี้หวง สำนักนี้ใหญ่โตเกินไป มีตำหนักย่อยสิบกว่าตำหนัก นอกจากพวกเขามีเพียงสามสิบคนแล้ว ตำหนักย่อยอื่นๆ ที่น้อยมีหลายร้อยคนที่มากมีหลายพันคน ถึงแม้เป็นคนของตำหนักย่อยอื่นๆ ทว่าเรื่องที่ต้องรบกวนพวกเขาก็มีไม่น้อยจริงๆ

งานลาดตระเวนภูเขาที่มอบหมายมาก็ต้องดึงคนไป ยังมีตำหนักนี้จัดงานแต่งงาน ตำหนักนั้นใครให้กำเนิดบุตรชายอีกแล้ว ว่างไม่มีอะไรทำก็ต้องจัดงานเลี้ยง เดี๋ยวต้องไปช่วยจัดสถานที่ เดี๋ยวต้องไปค้นหีบค้นตู้หาของขวัญแสดงความยินดี ยุ่งจนศิษย์ในสำนักวิ่งกันหัวปั่น มีเวลาว่างออกไปที่ไหน

คงจู๋อู๋และคงจู๋โหย่วเล่างานจิปาถะเหล่านี้ให้จู๋ซวีอู๋ฟังรอบหนึ่ง จู๋ซวีอู๋รับฟังจนสมองสับสนวุ่นวาย

“อาจารย์ ไม่ใช่พวกเราไม่อยากปล่อยพวกเขาออกไป ทว่าจำนวนคนทำงานมีไม่เพียงพอ ถ้าอย่างไรพวกเราก็รับศิษย์เข้ามาหน่อย ไม่เช่นนั้นมีแค่พวกเราก็ไม่มีเวลาว่างฝึกบำเพ็ญเลยสักนิด ชีวิตตามสบายที่ปิดด่านกักตนผ่านวันเวลาอย่างในอดีตไม่มีมานานแล้ว” คงจู๋อู๋ปรึกษาหารืออย่างระมัดระวัง

จู๋ซวีอู๋ล้วงหูอย่างหมดความอดทน ราวกับคิดจะล้วงงานจิปาถะที่ได้ยินเมื่อครู่ทั้งหมดออกมาโยนทิ้ง เขาถอนหายใจอย่างหาได้ยาก “รับศิษย์ไหนเลยง่ายดายปานนั้น คุณสมบัติเป็นอย่างไรยังไม่เอ่ยถึง สำนักตงอวี้หวงห้ามตำหนักย่อยรับศิษย์ตามใจชอบ ข้าสร้างตำหนักรับศิษย์ภายนอกก็ถือว่าแหกกฎ แต่ละปีทั้งสำนักจะรับศิษย์เพียงสิบคน เจ้าดูสิมีตำหนักมากมายขนาดนี้ ถึงแบ่งตำหนักละคนก็ไม่พอ ต้องรอจนถึงเมื่อใดจึงรับคนพอ อยู่อย่างอิสระในโลกหนานซานจนชิน ข้าลืมเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ ตอนนั้นข้าก็รู้สึกว่างานจิปาถะมากเกินไป โดยพื้นฐานแล้วในแต่ละวันต้องไปดื่มสุรามงคลของศิษย์พี่ศิษย์น้อง ทำให้หนีออกไปไม่กลับมาถึงหกร้อยปี”

ได้ยินคำพูดของเขา คงจู๋อู๋และคงจู๋โหย่วอยากจะกลอกตาใส่เขา ถ้ามิใช่เพราะเขาว่างเกินไป แข็งขืนจะทำให้โลกระดับดินวุ่นวาย ใช้เวลาร้อยปีไปวางแผนเรื่องนี้ ตอนนี้พวกเขายังใช้ชีวิตอย่างสบายๆ อยู่ที่เมืองลั่วเซียน ตนเองทำชั่วสุดท้ายกลับทำให้พวกเราเป็นทุกข์

“อาจารย์ เจี่ยนจู๋ยังคุกเข่าอยู่นะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ให้เขาออกไปดีหรือไม่?” คงจู๋อู๋มองไป๋เจี่ยนจู๋ที่ยังคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ในใจครุ่นคิดอาจารย์คงลืมเขาไปแล้วเสียแปดส่วน จึงเอ่ยเตือน

จู๋ซวีอู๋มองไป๋เจี่ยนจู๋แล้วเอ่ย “ไม่ได้ ถ้าข้าให้เขาออกไป เกรงว่าข่าวลือยิ่งแพร่ออกไปมากกว่านี้

“ความหมายของอาจารย์คือ… ท่านจะไล่เขาออกจากสำนัก?” คงจู๋อู๋เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

“เจ้าบ้าหรือเปล่า อายุไม่เยอะสมองกลับใช้การไม่ได้จริงๆ ข้าจะไล่เขาออกทำไม?” จู๋ซวีอู๋กลอกตาใส่เขา

จู๋ซวีอู๋หยิบกระจกสีดำสนิทชิ้นหนึ่งออกมาจากในอก โยนไปกลางตำหนักใหญ่ กระจกลอยขึ้นกลางอากาศ จากนั้นเขาก็วาดมือผ่านกระจกในความว่างเปล่า กระจกขยายใหญ่สูงเท่าสองคนกว่าๆ ตั้งอยู่กลางอากาศ

“นี่คือกระจกสี่วิตก ด้านในประกอบด้วยความรู้สึกสี่ชนิด พอใจ โกรธเคือง เศร้า ยินดี ใช้สำหรับฝึกบำเพ็ญจิตใจโดยเฉพาะ ตอนนั้นข้าก็เจี๋ยตันในนี้ ขอเพียงสามารถทนภาพมายาด้านในได้ ขณะที่จิตใจบรรลุถึงขั้นแข็งแกร่งจนไม่มีสิ่งใดสามารถทำลายได้ เจ้าก็จะไม่ถูกสิ่งใดๆ รบกวนใจอีก ถ้าจิตใจทนการล่อลวงด้านในไม่ได้ ก็จะถูกกระจกสี่วิตกขับไล่ออกมา แต่ครั้งหน้ายังสามารถเข้าไปได้อีก ข้ารู้สึกว่าตอนนี้เจ้าจำเป็นต้องเข้าไปอยู่สักร้อยกว่าปี ไป๋เจี่ยนจู๋” จู๋ซวีอู๋เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

“ขอบคุณซือจู่!” นี่เป็นโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า ไป๋เจี่ยนจู๋รีบกราบขอบคุณ ผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งเจี๋ยตัน จิตใจต้องแข็งแกร่งดุจหินผา ถ้าปล่อยให้เรื่องเล็กๆ เหล่านี้มีผลกระทบต่อสภาพจิตใจ การควบรวมจินตัน[2]ออกมาก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

เขาเพิ่งเอ่ยขอบคุณ ก็ได้ยินจู๋ซวีอู๋เอ่ยกับคงอู๋จู๋ว่า “จู๋อู๋ เจ้าจัดการหน่อย นอกจากไป๋เจี่ยนจู๋ที่ต้องอยู่ข้างในตลอดเวลาแล้ว ศิษย์คนอื่นๆ ก็ให้หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันเข้าไป อย่างไรเสียคนที่ยังไม่ได้เจี๋ยตันมีถึงยี่สิบสี่คน ผลัดเปลี่ยนกันรอบหนึ่งก็ใช้เวลาไม่นานนัก ตำหนักอื่นๆ ต่างก็มีผู้บำเพ็ญเซียนเจี๋ยตันหลายสิบคน พวกเรารวมทั้งเจ้าสองคนด้วยมีเพียงห้าคนจะใช้ได้อย่างไร”

“จริงสิ สามคนที่เจี๋ยตันมอบให้เจ้าจัดการ ให้พวกเขาทำเรื่องที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมทำหน่อย เช่นจัดการงานจิปาถะอะไรแบบนี้ จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระพวกเจ้าสองคน ถึงอย่างไรคนที่เจี๋ยตันก็เป็นศิษย์ของเจ้า เรื่องนี้มอบให้เจ้าไปจัดการ ข้ามีธุระต้องออกไปข้างนอกสักหน่อย ที่นี่มอบให้พวกเจ้า หลังข้ากลับมา ทางที่ดีก็เพิ่มจำนวนผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมให้ข้าหลายๆ คน ไม่เช่นนั้น ข้าจะดึงหนวดเคราพวกเจ้าสองคนให้เกลี้ยง” จู๋ซวีอู๋สั่งความเสร็จอย่างว่องไวก็ลุกขึ้นยืนราวกับคิดจะออกไปเดี๋ยวนี้เลย

ฟังน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนไม่ได้คิดจะไปปิดด่านกักตน ทว่าคิดจะออกเดินทางไกล คงจู๋อู๋ร้อนใจ ถ้าเขาไปยังโลกอื่นอีก อยู่คราหนึ่งหกร้อยปีจะทำอย่างไร

“อาจารย์ ท่านผู้เฒ่าคิดจะไปที่ใด?”

จู๋ซวีอู๋ลูบใบหน้า ท่าทางแบบนั้นเหมือนเด็กน้อยที่แอบกินแล้วถูกจับได้ “ข้าจะไปหาผู้บำเพ็ญเซียนที่ชื่อจินเฟยเหยาหน่อย มีเรื่องบางอย่างอยากยืนยัน”

“อาจารย์! ท่านเพิ่งบอกว่าท่านเจี๋ยตันในกระจกสี่วิตกมิใช่หรือ ทั้งยังบอกว่าจิตใจหนักแน่นดุจหินผา ไม่มีสิ่งใดสามารถสั่นคลอนจิตใจของท่านได้ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ท่านจะทิ้งพวกเราไปหาผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้น ท่านทำเพื่อถามนางว่าตอนนั้นเหตุใดจึงหัวเราะสินะ! แบบนี้จะให้พวกเราเชื่อมั่นในกระจกสี่วิตกได้อย่างไร เชื่อถือไม่ได้อย่างยิ่ง!” คงจู๋อู๋ชี้กระจกสี่วิตกที่ไร้ความผิดชิ้นนั้น แล้วด่าทออาจารย์ที่ทำให้คนสุดจะทนผู้นี้

“เจ้าก็พูดเกินจริงไปหน่อย ข้าทำเพื่อคลายปมในใจของเขา ข้าไม่ลำบากหรือ? โลกเป่ยเฉินกว้างใหญ่ออกปานนี้ ข้าต้องหาผู้บำเพ็ญเซียนตัวเล็กๆ ที่ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึง ข้าต้องเสียเวลามากเพียงใด พวกเจ้าวางใจได้ ข้าจะรีบกลับมา ถึงตอนนั้นพอปมในใจไป๋เจี่ยนจู๋คลี่คลาย เดี๋ยวก็เจี๋ยตันสำเร็จ จะดีถึงเพียงไหน” จู๋ซวีอู๋ตบใบหน้าชราของคงอู๋จู๋เบาๆ เอ่ยอย่างจริงจังและจริงใจ

ยามนี้คงจู๋โหย่วที่อยู่ด้านข้างเอ่ยว่า “อาจารย์ ความสงสัยฆ่าแมวได้[3]นะ”

“ถุย ปากอีกา[4]”

…………………………………

[1] ไม่เป็นเจ้าของบ้านก็ไม่รู้ว่าข้าวสารกับฟืนแพง หมายถึง ถ้าไม่ทำเองก็ไม่รู้ ปกติใช้คู่กับ ไม่เลี้ยงลูกก็ไม่รู้บุญคุณของบิดามารดา

[2] จินตัน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานหลอมรวมพลังวิญญาณภายในร่างเป็นแก่นพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่สุด แก่นพลังวิญญาณนั้น เรียกว่า จินตัน การควบรวมพลังวิญญาณเป็นแก่นพลังวิญญาณ เรียกว่า การเจี๋ยตัน

[3] ความสงสัยฆ่าแมวได้ หมายถึง การอยากรู้อยากเห็นบางทีทำให้ตนเองถึงแก่ชีวิตได้

[4] ปากอีกา หมายถึง พูดมาก ปากไม่ดี พูดเรื่องไม่เป็นมงคล