บทที่ 173 เผ่ามารคนที่สอง

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

“อย่างไรก็ไม่สน ข้าออกไปเดี๋ยวก็กลับมา ที่นี่มอบให้พวกเจ้า” จู๋ซวีอู่ทิ้งคำพูดนี้ไว้ แล้วหนีไปอย่างเริงร่า เหลือเพียงคงจู๋อู๋และคงจู๋โหย่วสบตากันอย่างจนปัญญา

ในยามนี้เอง ไป๋เจี่ยนจู๋ที่ลุกยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจว่า “อาจารย์ อาจารย์อา จะใช้กระจกสี่วิตกหรือไม่?”

“ต้องใช้แน่นอน สำหรับเจ้าโง่อย่างเจ้าที่จิตใจไม่สงบเพราะเรื่องเล็กน้อย ถ้าเจ้าไม่ใช้แล้วใครจะใช้! อีกทั้งซือจู่ระบุให้เจ้าเข้าไป ถ้าเจ้าไม่เข้าไป หลังเขากลับมาจะจัดการเจ้า” คงจู๋อู๋ถลึงตาใส่เขา ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า อาจารย์คงไม่หนีออกไป ถ้าเขาไปแล้วไม่กลับมา เจ้าจะมีโทษหนัก

ไป๋เจี่ยนจู๋ขมวดคิ้ว เอ่ยเบาๆ “ของสิ่งนี้ใช้ได้ผลจริงๆ?”

“ใช้…ใช้ได้ผลแน่นอน! อาจารย์เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่เชียวนะ ไม่ใช่เด็กน้อยจริงๆ เสียหน่อย จะหลอกลวงได้อย่างไร” ถึงคงอู๋จู๋จะเอ่ยเสียงดัง ที่จริงในใจรู้สึกผิดอยู่บ้าง มีบทเรียนความผิดพลาดก่อนหน้านี้ของอาจารย์ที่เกิดความรู้สึกสงสัยอย่างรุนแรง ประสิทธิภาพของกระจกสี่วิตกนี้ทำให้คนไม่ไว้วางใจจริงๆ

“ข้าจะกลับไปเก็บกวาดสักหน่อย หลังจากพูดคุยกับพวกศิษย์พี่แล้วข้าค่อยมา” ไป๋เจี่ยนจู๋มองกระจกสี่วิตกบานนั้นแล้วเอ่ยอย่างจนใจ

คงจู๋อู๋ไพล่มือเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “ถอนหายใจให้มันน้อยๆ หน่อย ปกติไม่ค่อยเข้มงวดกับพวกเจ้า เจ้าไปสั่งความธุระให้เสร็จแล้วรีบมา ข้าจะรออยู่ที่นี่”

“ขอรับ” ไป๋เจี่ยนจู๋ล่าถอยออกจากตำหนักใหญ่ ครู่หนึ่งก็กลับมาด้วยอารมณ์ชื่นมื่น เข้าไปในกระจกสี่วิตกด้วยสีหน้าไม่เลว

มองสีหน้าชืดชาของเขา คงอู๋จู๋เอ่ยกับคงอู๋โหย่วว่า “ศิษย์น้อง เจ้าเด็กนี่ยังไม่รู้จักลูกไม้ของอาจารย์ ชื่อผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ไม่ใช่ได้มาเปล่าๆ อีกเดี๋ยวก็ทนทุกข์ทรมาน”

“กระจกสี่วิตกนี้ข้าก็ไม่เคยเข้าไป ไม่รู้ว่าสภาพด้านในเป็นอย่างไร แต่สิ่งของของอาจารย์ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น” คงจู๋โหย่วก็เห็นด้วยกับคำพูดของเขา

ทั้งสองคนพูดคุยกันหลายประโยค จึงคิดจะไปจากตำหนักใหญ่ ยังมีงานจิปาถะอีกมากมายรอพวกเขาสองคนไปทำอยู่ ทว่า พวกเขาสองคนยังเดินไปไม่ถึงประตู กระจกสี่วิตกก็เปล่งแสงเจิดจ้า ไป๋เจี่ยนจู๋ถูกโยนออกมาจากกระจกสี่วิตก ร่างกระแทกพื้น

“เร็วขนาดนี้เชียว?” ทั้งสองคนสะดุ้งเฮือก นี่ยังไม่ถึงหนึ่งเค่อเลย

สายตาของไป๋เจี่ยนจู๋ทึ่มทื่อ มีสีหน้าหวาดผวา มองแวบเดียวก็ดูออกว่าจิตใจเขาไม่สงบ

“เจี่ยนจู๋ เหตุใดเจ้าจึงถูกโยนออกมาเนื่องจากจิตใจไม่สงบเร็วขนาดนี้” คงจู๋อู่เดินไปหาพลางเอ่ยแสดงความห่วงใยและคิดจะสอบถามสภาพด้านในดูสักหน่อย

ทว่าหลังไป๋เจี่ยนจู๋ได้สติคืนมา ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมากความ ทว่าทำเสียงอู้อี้ประโยคหนึ่ง “ข้าจะเข้าไปอีกเดี๋ยวนี้”

จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าในกระจกสี่วิตก ทว่ายังผ่านไปไม่นานเท่าไร ร่างของเขาก็ถูกโยนออกมาอีก ไม่รอให้คงจู๋อู๋แสดงความห่วงใย เขาก็กระโดดขึ้นพุ่งเข้าไปอีกด้วยสีหน้าดุร้าย จำนวนครั้งที่เขาเข้าไปยิ่งมาก สีหน้าก็ยิ่งมีโทสะ ทำให้พวกคงจู๋อู๋มองดูจนงุนงงไปหมด

ท่าทางกระจกสี่วิตกจะแสดงประสิทธิภาพแล้ว ก็ให้เขาทรมานตนเองอยู่ในนั้นเถอะ ทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง พยักหน้าแล้วสะบัดชายเสื้อ เดินวางมาดจากไป

ที่จริงไป๋เจี่ยนจู๋ก็ไม่เห็นอะไรด้านใน ภายในกระจกสี่วิตกมีทัศนียภาพอันงดงาม ขณะเขาเข้าไปเป็นทิวทัศน์ริมทะเลสาบที่สวยงาม ไม่รอให้เขาชมดูอย่างละเอียด ก็เห็นจินเฟยเหยากำลังกินเนื้อย่างบนพื้นหญ้าริมทะเลสาบ และบนกองไฟเบื้องหน้านาง มีกระต่ายต้าเสวี่ยเยวี่ยอวบอ้วนตัวหนึ่งกำลังถูกกิ่งไม้เสียบ กระต่ายตัวนั้นเป็นกระต่ายที่ไป๋เจี่ยนจู๋เคยเลี้ยงตอนเด็กๆ พอดี ตอนนี้ตายไปนานแล้ว แต่ทายาทของมันยังอยู่ ถูกเขาเลี้ยงให้กินจนอ้วนท้วนสมบูรณ์มาตลอด บนหูของกระต่ายตัวนี้มีรู ดังนั้นเขามองแวบเดียวก็จำได้

หลังจินเฟยเหยามองเห็นเขายังฉีกน่องกระต่ายอันหนึ่ง เอ่ยถามเขาด้วยสีหน้าวอนโดนอัด “พี่ไป๋ กินขากระต่ายสักชิ้นไหม?”

ไป๋เจี่ยนจู๋เพิ่งมีโทสะพุ่งพรวด ยังไม่ทันได้อ้าปากด่าคนก็ถูกกระจกสี่วิตกโยนออกมา ขอเพียงจิตใจของเขาปั่นป่วน อารมณ์เปลี่ยนแปลง ก็จะถูกกระจกสี่วิตกโยนออกมา ทว่าทุกครั้งที่เข้าไปในกระจกสี่วิตกอีก ก็จะเห็นจินเฟยเหยานั่งมองเขาอยู่ในนั้น จากกินกระต่ายเป็นเอาหนังกระต่ายมาเล่น แล้วก็เป็นรังแกกระต่ายที่ยังมีชีวิตของเขา ไป๋เจี่ยนจู๋เข้าใจว่านี่คือภาพมายาที่ทดสอบเขาก็สงบจิตใจ ปล่อยให้จินเฟยเหยาทรมาน ไม่ไปสนใจนาง

แต่ว่าเมื่อจินเฟยเหยา ใช้มือที่เปื้อนน้ำมันจากตัวกระต่ายมาป้ายบนเสื้อผ้าของเขา เขาก็ทนไม่ไหวบันดาลโทสะขึ้นมา จากนั้นจุดจบคือถูกโยนออกจากกระจกสี่วิตกอีกครั้ง

เขาบุกตะลุยฝึกทรมานจิตใจอยู่ที่นี่ ส่วนจินเฟยเหยาที่อยู่ห่างไกลออกไปกลับกำลังกินเนื้อย่างจริงๆ

กองไฟที่เติมกิ่งไม้จำนวนไม่น้อยกำลังลุกโชติช่วง กลิ่นหอมของเนื้อที่พุ่งเข้ามาปะทะจมูกล่องลอยอยู่ในหุบเขา

จินเฟยเหยาและปู้จื้อโหยวนั่งอยู่ข้างกองไฟ เหนือศีรษะเป็นท้องฟ้าพร่างดาว แพะย่างด้านหน้ามีน้ำมันออกมาส่งกลิ่นหอม แพะตัวนี้เป็นแพะที่ถูกจินเฟยเหยาจับกลับมา เห็นมันรูปร่างพ่วงพีจึงฆ่ามาย่างกิน

“ดื่มสุราหน่อยหรือไม่? ได้มาจากเผ่ามาร เป็นสุราน้ำดีปิศาจชั้นยอด มีราคาแพงมากที่นี่” ปู้จื้อโหยวทางด้านข้างยื่นกระบอกไม้ไผ่ที่ผ่าแล้วท่อนหนึ่งมาให้ ด้านในมีสุราสีเขียวเล็กน้อย

จินเฟยเหยารับมาดม มีกลิ่นหอมของสุราจางๆ “ปกติข้าดื่มแต่สุราดอกไม้หรือสุราผลไม้ นี่คือถุงน้ำดีของสัตว์ปิศาจสินะ ไม่รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร?”

ปู้จื้อโหยวกัดเนื้อแพะคำหนึ่ง เอ่ยเสียงอู้อี้ “ถุงน้ำดีย่อมมีรสขมนิดหน่อยเป็นธรรมดา เป้าหมายคือทำให้จิตใจแจ่มใส หลังจากขมจะมีรสหวานกรุ่นในปาก”

ได้ยินเขาบอกว่าดี จินเฟยเหยาจึงดื่มคำหนึ่ง จากนั้นก็หันหน้าไปถุยออกหมด นางถุยลงพื้นอย่างแรงไม่หยุด “เหล้าบ้าอะไรเนี่ย ฤทธิ์แรงเกินไป! นี่เรียกว่าขมนิดหน่อย ขมสุดๆ ไปเลยต่างหาก สิ่งของแบบนี้ให้คนกินได้ด้วย?”

“นี่ เจ้าจะสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว นี่เป็นของดีนะ” ปู้จื้อโหยวตะโกนอย่างเสียดาย ใช้มือแย่งกระบอกไม้ไผ่มาจากมือนาง

จินเฟยเหยาดื่มเพียงคำเดียว ด้านในยังเหลืออีกมาก จะให้สิ้นเปลืองไม่ได้ เขาแย่งกระบอกไม้ไผ่มา แล้วแหงนหน้าดื่มจนหมดอย่างไม่รังเกียจ จากนั้นยิ้มกว้างจุปาก “รสชาติดีแท้ๆ สตรีไม่รู้จักชื่นชม สุราดอกไม้สุราผลไม้อะไรพวกนั้น รสชาติจืดชืด อร่อยตรงไหนกัน”

“นี่มีสาเหตุ ดื่มสุราร้อนแรงขนาดนี้ลงไป เดี๋ยวก็เมา ถึงตอนนั้นจิตใจไม่แจ่มใส ให้บุรุษที่ไปดื่มสุราด้วยกันเอาเปรียบได้จะทำอย่างไร อีกทั้งสุราดอกไม้สุราผลไม้สามารถดื่มได้มากโดยไม่เมา ทั้งยังทำให้งดงาม” จินเฟยเหยาแทะเนื้อแพะย่างหลายคำ คิดจะสะกดรสขมในปาก กินเนื้อแพะเต็มปากพลางแก้ตัวแทนผู้บำเพ็ญเซียนสตรี

ปู้จื้อโหยวมองท่าทางการกินที่เกินจริงของนางก็อดยิ้มไม่ได้ “ด้วยท่าทางการกินของเจ้า ใครจะไปเอาเปรียบเจ้า”

“ฮึ” จินเฟยเหยากลอกตาใส่เขา กำลังคิดจะไปฉีกขาแพะอีกอัน ก็ถูกพั่งจื่อที่อยู่ด้านข้างชิงไป

“สัตว์ภูติตัวนี้ของเจ้าน่าสนใจดี ขั้นสี่แล้ว จัดการผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงต้นได้อย่างสบายๆ แต่ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นกบชนิดนี้ เจ้าไปเอามาจากที่ใด มีความสามารถอะไรที่แตกต่าง?” ปู้จื้อโหยวดื่มสุรา มองพั่งจื่อที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาตลอด นอกจากกินอาหารแล้วก็มองเขาอย่างโง่งม

จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างกระหยิ่ม “นี่เรียกว่าไท่จื่อโซ่ว เจ้าดูตลอดร่างของมันงดงามประดุจหยก บนร่างมีลวดลายเมฆ มีเรี่ยวแรงมหาศาลและหน้าตางดงาม ทั้งยังกินได้ทุกอย่าง ครั้งที่แล้วกลืนของวิเศษของผู้อื่นหมด ต่อไปถ้าเก็บอะไรแล้วจะโยนทิ้งก็เสียดาย จะวางไว้ก็เป็นขยะกินพื้นที่ สามารถโยนให้มันกินโดยตรงได้”

สิ้นเสียง ดวงตาทึ่มทื่อของพั่งจื่อพลันเปลี่ยนเป็นคมกริบ กระดูกแพะชิ้นหนึ่งลอยมากระแทกใส่ศีรษะจินเฟยเหยาทันที

“ฮ่าๆๆ…เจ้าทำให้ข้าขำแทบตาย เจ้าถึงกับหลบการโจมตีจากสัตว์ภูติของตนเองไม่พ้น เจ้าคนไร้หัวคิด สัตว์ภูติของเจ้าก็กล้าต่อต้านเจ้า เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่สุดในโลก” ปู้จื้อโหยวพ่นสุราออกมา แล้วกุมท้องหัวเราะ

“ขำอะไร!” จินเฟยเหยาด่าอย่างอารมณ์ไม่ดี

จินเฟยเหยายิ่งด่าทอเขา เขายิ่งหัวเราะอย่างเบิกบาน ในหุบเขามีสุราเลิศรส เนื้อย่างหอมหวน เสียงพูดคุย และเสียงหัวเราะ ครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง

“ปู้จื้อโหยว ที่นี่ครึกครื้นยิ่งนัก ไม่รอให้ข้ามาก็เริ่มกินแล้ว” ในยามนี้เอง มีคนเดินออกมาจากพุ่มไม้ที่ห่างไกล สูดจมูกดมกลิ่นขึ้น

จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองผู้มา ก็นิ่งอึ้งไป คนผู้นี้บนศีรษะมีเขาแหลมงอกออกมาสองข้าง เส้นผมสีแดงเพลิง เสื้อผ้าให้อารมณ์ชนต่างเผ่า นี่เป็นลักษณะพิเศษของคนเผ่ามาร นางอดถามไม่ได้ “ปู้จื้อโหยว สหายที่เจ้าบอกว่าต้องรอคือคนเผ่ามาร”

“ไม่ใช่ คนเผ่ามารจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้อย่างไร เขาคือคนสีเทาที่ข้าเอ่ยถึง อีกสักครู่จะพาพวกเราเข้าโลกเผ่ามาร” ปู้จื้อโหยวไม่ได้ลุกขึ้น ยังแทะเนื้อในมือดังเดิม

ไม่ใช่คนเผ่ามาร เหตุใดจึงมีเขางอก และยังมีเส้นผมสีแดงเพลิง จินเฟยเหยามองผู้มาอย่างไม่เข้าใจ

คนผู้นี้ก็วิ่งมาข้างกองไฟนั่งลงข้างพั่งจื่ออย่างไม่เกรงใจ มองพั่งจื่อแวบหนึ่งจึงเอ่ยว่า “เสบียงที่เตรียมมาตัวใหญ่จริงๆ ตากแดดเป็นเนื้อแห้งกินได้หลายวัน”

ครั้งนี้พั่งจื่อไม่มีปฏิกิริยา เสบียงที่เตรียมไว้คืออะไร ทว่าจินเฟยเหยากลับเหงื่อแตก คนผู้นี้คิดอะไร

หลังเขานั่งลง ก็ไม่ได้แนะนำตัว ล้วงมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาตัดเนื้อ ดูเหมือนเขารู้สึกว่าเขาสองข้างบนศีรษะเกะกะ เขาจึงใช้มือบิดเขาบนศีรษะแล้วนำลงมา หลังเก็บเขาสองข้างเขารู้สึกว่าวางไว้ข้างกองไฟอาจจะถูกเผาเป็นฟืน จึงเหลียวซ้ายแลขวา สวมไว้บนพั่งจื่อ

ไม่รู้ว่าของสิ่งนี้ใช้กลไกอะไร เขาสองข้างจึงตั้งอยู่บนหัวของพั่งจื่ออย่างมั่นคง

จากนั้นเขาก็กินเนื้อคำโตๆ แล้วเอ่ยกับจินเฟยเหยาที่ยังตะลึงงัน “คนทำอาชีพอย่างพวกเรา ต้องเรียนรู้เรื่องการปลอมตัว เมื่อครู่เจ้าต้องนึกว่าข้าเป็นคนเผ่ามารแน่ๆ? การปลอมตัวอย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้จึงสามารถไปมาในโลกเผ่ามารได้อย่างอิสระ คนสีเทาคนอื่นๆ ต่างปลอมตัวไม่ได้ดีเท่าข้า เขาคู่นี้เป็นเขาคนเผ่ามารของแท้ราคายุติธรรม ดูสิผมสีแดงของข้าก็ใช้น้ำของผลเหยียนชางย้อม โดนน้ำสีไม่ตก็ใชข้ ย้อมครั้งหนึ่งอยู่ได้สามเดือน เจ้าอย่านึกว่าเพียงแค่ใช้น้ำผลเหยียนชางย้อมก็พอ ยังต้องใช้สูตรเฉพาะอื่นๆ อีก มีคนย้อมเลียนแบบข้า คิดไม่ถึงว่าพอเจอฝนตก ก็กลายเป็นหัวหยินหยางครึ่งดำครึ่งแดง น่าขำแทบตาย”

จินเฟยเหยาไม่ได้ฟังคำพูดของเขา เพียงจ้องมองเขาสองอันบนศีรษะของพั่งจื่อตลอดเวลา ทันใดนั้นพลันตระหนักได้ถึงปัญหาหนึ่ง หรือว่าอีกสักครู่ข้าก็ต้องทำเขาสองอันบนศีรษะ?

…………………………………….