ตอนที่ 105 ตามหาฟู่เสี่ยวกวน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 105 ตามหาฟู่เสี่ยวกวน

ชั้นที่สี่ของหอซื่อฟางตกแต่งเป็นสวนชากลางแจ้งที่สวยงาม

ในสวนชานั้นมีภูเขาจำลองและสายน้ำไหลผ่าน ทั้งยังมีดอกไม้และต้นไม้นานาพันธุ์

ดอกเบญจมาศบานสะพรั่งช่างสวยงามยิ่งนัก ดึงดูดผึ้งและผีเสื้อให้โบยบิน

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งดื่มชาอยู่ที่นี่ ที่นี่ช่างเงียบสงบเป็นอย่างมาก ผู้คนเหล่านั้นต่างไปกันที่หลานถิงจี๋ คาดว่าอีกสักประเดี๋ยวหอซื่อฟางคงเต็มไปด้วยผู้คนจนล้นหลาม

“เมื่อวานข้าไปหาเสด็จแม่ จากที่ได้ฟังเสด็จแม่ตรัสมา เกรงว่าเสด็จพ่อจะให้เจ้าเป็นได้เพียงขุนนางเท่านั้น เจ้ามีความคิดเห็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

“ในตอนนี้ข้าคิดเพียงแค่ต้องทำเยี่ยงไรจึงจะสามารถแต่งเจ้าเข้าตระกูลฟู่ได้”

ใบหน้าของหยูเวิ่นหวินแดงก่ำขึ้นมาทันพลัน ฟู่เสี่ยวกวนจึงกล่าวอย่างขบขันขึ้นมาอีกว่า “ได้ยินมาว่าต้องมีศักดิ์เป็นชั้นอ๋องจึงจะสามารถทำได้ ข้าเกรงว่าหากรอให้ข้าได้ขึ้นไปเป็นอ๋อง พวกเราก็คงจะชรากันหมดแล้ว จะทำเยี่ยงไรดี ? ”

ต่งซิวเต๋อแทบจะก้มหมอบคารวะฟู่เสี่ยวกวนด้วยความชื่นชม คนที่กล้าหยอกล้อองค์หญิงต่อหน้าคนมากมายในใต้หล้านี้ เกรงว่าจะมีเพียงเขาแค่คนเดียว !

องค์หญิงผู้นี้ก็ใจกล้าล้นฟ้า ได้กล่าวออกมาอีกว่า “ข้ามิสนเรื่องนั้น ให้เวลาเจ้ามากที่สุดสองปี เมื่อถึงเวลาหากเจ้าแต่งกับข้ามิได้ ข้าจะแต่งกับเจ้าเอง !”

ต่งซิวเต๋อตกตะลึง ทั้งสองคนหยอกล้อกันโดยมิสนใจความรู้สึกของคนที่อยู่ด้านข้างเลยรึ ?

แล้วน้องสาวของข้าจะทำเยี่ยงไร ?

“น้องเขย…” เพียงต่งซิวเต๋ออ้าปาก สายตาของหยูเวิ่นหวินก็จ้องมองไปที่ใบหน้าของต่งซิวเต๋อ

“โอ้ พี่เขย ยังมีอีกหนทางหนึ่งที่เจ้าจะได้อภิเษกสมรสกับองค์หญิง”

หยูเวิ่นหวินยกยิ้มในทันที ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยถาม “ลองกล่าวมา”

“ทำผลงาน สร้างผลงานคับฟ้าขึ้นมาหนึ่งเรื่อง ฝ่าบาทก็จะประทานราชโองการอภิเษกสมรสให้”

ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก และเอ่ยพึมพำ “ทำผลงานที่ใหญ่หลวงคับฟ้าอย่างนั้นหรือ ? ”

“ใช่แล้ว อย่างเช่นทำลายชาวฮวง”

…..ยอดเยี่ยมนัก คงมิสามารถหยุดสนทนาต่อกันได้แล้ว

ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็นึกถึงองค์หญิงสามหยูชิงหลานและเรื่องพระญาติขึ้นมาได้ มิรู้ว่าในตอนนี้จะเป็นเยี่ยงไรบ้าง และลืมที่จะถามหยูเวิ่นหวินไป แต่มันคงไม่ดีนักที่จะถามเรื่องนี้ต่อหน้าคนมากมาย รอถามในยามที่อยู่ด้วยกันสองคนจะดีกว่า

“ข้าก็อยากจะไปล้างบางชาวฮวงอยู่ แต่มิมีโอกาส” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยรับปากไปส่ง ๆ

และใช่ ท้ายที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นเพียงนักกวี ไหนเลยจะเข้าใจเรื่องการนำทหารไปออกศึก

“มิต้องล้างบางชาวฮวงก็ได้ มิเช่นนั้นก็กระทำการใหญ่ อย่างเช่นเปิดโปงการทุจริตและฉ้อโกงของเยี่ยนเป่ยซี และพลิกคว่ำตระกูลเยี่ยนของเขา”

สีหน้าของหยูเวิ่นหวินตึงเครียดขึ้นมาทันพลัน ฟู่เสี่ยวกวนเองก็หันไปจ้องต่งซิวเต๋อ คนผู้นี้ คำพูดเยี่ยงนี้ก็กล้าที่เอ่ยออกมา ช่างมิรู้เลยว่าความตายนั้นเขียนเยี่ยงไร !

 “จงจำไว้ว่าระวังปากของตนเองด้วย ! ขุนนางระดับสูงเยี่ยนทำงานอย่างหนักมาทั้งชีวิตเพื่อพลเมือง ไหนเลยจะเป็นดังที่เด็กปากมอมเยี่ยงเจ้าใส่ร้าย ! ” ฟู่เสี่ยวกวนจำเป็นต้องแสดงท่าทีของตนเองออกไป หากกำแพงมีหูประตูมีช่อง ต่อให้เขาโดดลงไปในแม่น้ำฮวงโหก็มิอาจชำระล้างได้

ต่งซิวเต๋อเองก็เข้าใจว่าคำพูดของตนนั้นกำลังต่อต้านทั้งใต้หล้า “มิใช่ ขุนนางระดับสูงเยี่ยนย่อมบริสุทธิ์ ข้าเพียงยกตัวอย่างเท่านั้น เป็นความผิดของข้า ข้าขอยอมรับผิด”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ให้ความสนใจต่งซิวเต๋อต่อ เขาหันไปมองหยูเวิ่นหวินและเอ่ยถาม “พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยสบายดีหรือไม่ ? ”

“พระนางสบายดี วันวันเอาแต่ดูแลดอกไม้ใบหญ้าอยู่ในสวนดอกไม้… แต่เมื่อวานเสด็จแม่ได้กล่าวประโยคประหลาดที่ข้ามิค่อยเข้าใจออกมา กล่าวว่า ดูเหมือนว่าที่จัดวางเอาไว้นั้นดูจะซ้ำซ้อนไปเสียหน่อย ข้ามิเห็นว่าพระนางจะจัดวางสิ่งใดเลย”

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิทราบ

พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยมิคาดคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะสร้างความสัมพันธ์กับองค์ฮ่องเต้ด้วยนโยบายบรรเทาสาธารณภัย นั่นทำให้นางตีค่าฟู่เสี่ยวกวนสูงขึ้นไปอีกขั้น

ต้องใช้โอกาสจากคดีทุจริตในครานี้ ราชสำนักต้องทำการล้างขั้วอำนาจที่ทุจริตเสียแล้ว

ต้นไม้ใหญ่นามราชวงศ์หยูได้อยู่มานานกว่าสองร้อยปีแล้ว ก่อให้เกิดแมลงและหนอนมากมาย และก่อให้เกิดเครือเถาวัลย์ที่เกาะตามลำต้นไม้ใหญ่อย่างหนาแน่น เครือเถาวัลย์เหล่านั้นควรได้รับการจัดการเสียหน่อย พวกเขาดูดซึมสารอาหารมากเกินไปแล้ว หากมิจัดการ เกรงว่าจะพัวพันกับต้นไม้ใหญ่นี้จนตกตายได้

องค์ฮ่องเต้ย่อมเห็นด้วย และเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ฟู่เสี่ยวกวนจะร่วมกำจัดการทุจริต

ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่หนึ่งในเครือเถาวัลย์เหล่านั้น หากใช้เขา บางทีเขาอาจจะป้องกันเครือเถาวัลย์เหล่านั้นที่จะมารบกวนต้นไม้ใหญ่ในยามที่ใกล้ตายได้

เรื่องใหญ่เหล่านี้ หยูเวิ่นหวินย่อมมิทราบ

ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันนี้ของราชวงศ์หยูเป็นเยี่ยงไร เขาในยามนี้มีเพียงความคิดเดียว นั่นคือการเข้าเฝ้าองค์องค์ฮ่องเต้ !

มีเพียงได้เข้าเฝ้าเท่านั้น ที่จะมอบโอกาสมีชีวิตอยู่ต่อไปให้แก่ตระกูลฟู่ได้

……

…..

ผู้คนจำนวนมากกำลังดื่มชาและพูดคุยกันในหอซื่อฟาง เหล่าขุนนางที่อยู่หลานถิงจี๋กำลังเดือดลุกเป็นไฟ

ทหารยามจำนวนมากถูกส่งออกมา แม้แต่ชางกวนเหวินซิ่วยังกลับไปยังกั๋วจื่อเจี้ยนและเรียกขุนนางทั้งเมืองเพื่อตามหาตัวฟู่เสี่ยวกวน ดังนั้นต่งซิวจิ่นจึงได้ยินข่าวนี้เข้า

เขารู้สึกว่ามันแปลกเล็กน้อย ตั้งแต่ได้ทราบจากปากชางกวนเหวินซิ่วว่าฟู่เสี่ยวกวนได้เขียนนโยบายบรรเทาสาธารณภัยขึ้นมา จนฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นและต้องการให้เขาเข้าเฝ้าพร้อมกับจิ้นซื่อทั้งสิบ

ในจวนตอนนี้สถานการณ์เป็นไปอย่างตึงเครียด น้องสาวผู้ดื้อรั้นเป็นตายร้ายดีเยี่ยงไรก็มิยินยอมแต่งกับเยี่ยนซีเหวิน บิดามารดาก็หัวแข็งต้องการให้น้องสาวแต่งกับเยี่ยนซีเหวินอย่างเอาเป็นเอาตาย เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่เป็นพี่ใหญ่นัก จะให้โน้มน้าวผู้ใดกัน?

มันยากที่จะโน้มน้าวฝั่งใดฝั่งหนึ่ง เพราะมิมีผู้ใดฟังเขา

แต่น้องรองของเขากลับลอยนวล ชิวเหวยก็มิไปเข้าร่วม มิเห็นแม้แต่เงาของคนผู้นั้นทั้งวัน

ในตอนนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้แล้ว หากเขาสามารถแสดงตนออกมาได้ดียิ่งขึ้น ฝ่าบาทก็จะตกรางวัลเป็นตำแหน่งขุนนางให้แก่เขา น้องสาวจึงจะมีหนทางแห่งความหวังใช่หรือไม่ ?

เมื่อคิดได้ดังนี้ เขาก็วางทุกอย่างในมือลง และปรี่เข้าไปหาฟู่หยิ่น1 จินหลิงฉินโม่เหวิน เพื่อขอให้เขาส่งคนออกไปตามหาฟู่เสี่ยวกวนทั่วเมืองโดยเร็ว

ฉินโม่เหวินจ้องมองต่งซิวจิ่นอยู่สิบลมหายใจ เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องนี้เยี่ยงนี้รึ ?

ต่งซิวจิ่นเองก็สบสายตากับฉินโม่เหวินอยู่สิบลมหายใจ ข้าตรงมาหาเจ้าก็เพื่อเรื่องนี้นี่แหละ !

หลังจากนั้นฉินโม่เหวินก็ออกหมายเร่งด่วนนี้ออกไป เพื่อให้สำนักงานทางเหนือและใต้ค้นหาฟู่เสี่ยวกวนไปทั่วทั้งเมือง

ยามที่หัวหน้ามือปราบของทั้งสองสำนักเหนือและใต้ได้รับคำสั่งนี้มาก็สับสนไปชั่วขณะ มิมีภาพเหมือนของฟู่เสี่ยวกวน แล้วจะไปหาได้เยี่ยงไรกัน

เยี่ยงนั้นก็ตีฆ้องร้องลั่นตามหากันไปเลย !

เมืองจินหลิงในยามนี้คึกคักอย่างเป็นพิเศษ

ตึงตึงตึง

“ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่ใด ? รีบออกมาโดยเร็ว ! ”

ฉินโม่เหวินมิได้สนใจว่าพวกเขานั้นจะใช้วิธีอันใด ในยามนี้เขาและต่งซิวจิ่นหลบไปดื่มสุราอยู่ที่เรือนหลัง

“ฟู่เสี่ยวกวนที่ประพันธ์ความฝันในหอแดงผู้นั้นรึ ?”

“ใช่ ! ”

“โอ้ ลุงของข้ากับเจ้าหนุ่มนี่เป็นสหายต่างวัยกัน เคยได้ยินลุงใหญ่เอ่ยขึ้นมาอยู่”

ฉินโม่เหวินดื่มซีชานเทียนฉุนเข้าไปหนึ่งคำ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกครา “มีเรื่องรีบร้อนอันใดกัน ? ”

“องค์ฮ่องเต้มีพระราชโองการให้เข้าเฝ้า จึงต้องรีบตามหาตัวเขาให้พบโดยเร็ว”

“องค์ฮ่องเต้งั้นรึ? ฝ่าบาทส่งองครักษ์มาตามหาเขายังจะเร็วกว่า”

ดังนั้นต่งซิวจิ่นจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉินโม่เหวินฟัง ฉินโม่เหวินเงียบไปเนิ่นนาน “ชายผู้นี้ เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ภายภาคหน้าหากมีโอกาสต้องไปชวนมาดื่มสุราด้วยกัน… นอกจากนี้ ข้าอยากจะถามเจ้า เจ้าเตรียมจะไปสู่ขอน้องสาวข้าเมื่อไหร่กัน”

“ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า”

“เยี่ยงนั้นก็แปลว่าตกลงแล้ว ! ”

“อือ แต่อย่างไรข้าก็อาจจะต้องออกจากกั๋วจื่อเจี้ยน”

ฉินโม่เหวินคิ้วขมวด “เจ้าจะไปที่ใดกัน ? ”

“องค์หญิงใหญ่ได้ลอบส่งข้อความลับให้บิดาของข้าแล้ว การตรวจตราครานี้คงถูกตัดหัวไปหลายคน ข้ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะถูกส่งตัวออกไป ส่วนจะเป็นจือโจวหรือเต้าถาย2 ในตอนนี้ก็ยังมิอาจบอกได้ เจ้าเองก็อย่าป่าวประกาศไป รอดูโอกาสจากผู้ตรวจการณ์เสียก่อน”

เป็นการดีหากสามารถถูกส่งตัวไปได้ บางทีการถูกส่งตัวออกไปอาจทำให้ได้รับคำชมจากกรมขุนนาง ในภายภาคหน้ายามที่กลับไปเมืองหลวงก็จะมิใช่เพียงบัณฑิตตัวจ้อยในกั๋วจื่อเจี้ยนอีกแล้ว

แต่ฉินโม่เหวินยังคงงุนงง หันมองซ้ายขวา และเอ่ยถามเสียงแผ่ว “บิดาของเจ้าไปพัวพันกับองค์หญิงใหญ่ได้เยี่ยงไรกัน ? ”

ต่งซิวจิ่นแบมือทั้งสองออก “ข้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไรเล่า ? ”

ฟู่หยิ่น1 คือผู้ว่าราชการของเมืองหลวง

เต้าถาย2 คือผู้ว่าราชการระดับจังหวัด