ตอนที่ 106 สายลมโบกพัดบนทะเลสาบ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 106 สายลมโบกพัดบนทะเลสาบ

ไม่มีใครคาดคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะไปยังหอซื่อฟาง !

กระทั่งมือปราบทั้งเขตเหนือและเขตใต้ออกป่าวประกาศเรียกชื่อฟู่เสี่ยวกวนผ่านมาทางหอซื่อฟาง หลงจู๊ของหอซื่อฟางจึงได้รีบวิ่งขึ้นไปรายงานแก่ฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนก็ตกใจเช่นกัน เขามิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นจึงได้พากันลงไปดู และพบต้นเสียงของมือปราบผู้ตีฆ้องร้องป่าว

“ท่านคือฟู่เสี่ยวกวนงั้นหรือ ? ” มือปราบผู้นั้นมองดูฟู่เสี่ยวกวนจากหัวจรดเท้า อืม ฟู่เสี่ยวกวนผู้มากความสามารถนี้ รูปร่างหน้าตาดีเสียจริง

“ข้าคือฟู่เสี่ยวกวน มีธุระอันใดกัน ? ”

“ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า ? พวกเรามือปราบกว่าสองพันคนออกตามตัวท่านเสียให้วุ่น ขอเชิญท่านกลับไปกับพวกเราเถิด ไปจวนฟู่หยิ่นเพื่อพบท่านฉินโม่เหวิน  !”

เมื่อพบว่าฟู่เสี่ยวกวนถูกบรรดามือปราบพาตัวไปยังจวนผู้ว่า หยูเวิ่นหวินจึงเกิดความงุนงงในทันที หรือเรื่องที่เขาแอบพบกับต่งชูหลานนั้นถูกท่านเสนาบดีต่งฟ้องร้องกัน ?

ดังนั้นนางจึงได้ตามออกไปด้วย

ซูม่อและชุนซิ่วออกติดตามไปด้วย ชุนซิ่วเป็นกังวลใจยิ่งนัก ส่วนซูม่อวางแผนไว้ว่าหากคุณชายได้กระทำการผิดและถูกจำคุก เขาคงต้องแหกคุกเท่านั้น

ในเมืองหลวงมีผู้เก่งกาจมากมายเหลือเกิน แต่หากองค์หญิงเก้าทรงให้ความช่วยเหลือและเรียกตัวหงจวงมา และหากป่ากระบี่ทั้งเจ็ดมากันครบ อีกทั้งสามารถเชิญศิษย์พี่ใหญ่มาได้ คาดว่าการแหกคุกคงทำได้ไม่ยาก

พวกเขาพากันจินตนาการไปต่าง ๆ นานา กระทั่งมาถึงจวนผู้ว่า

ฉินโม่เหวินและต่งซิวจิ่นเดินออกมา เมื่อต่งซิวเต๋อพบว่าพี่ใหญ่อยู่ที่นี่ เขาก็เริ่มประหม่าทันที หยูเว่นหวินก็เช่นกัน คาดว่าต่งซิวจิ่นเป็นผู้ฟ้องร้องไม่ผิดแน่ !

เขาผู้นี้น่ารำคาญนัก ท่านเสนาบดีต่งก็เช่นกัน !

จะต้องหาวิธีสั่งสอนพวกเขาเสียหน่อยแล้ว

“เจ้าคือฟู่เสี่ยวกวนงั้นหรือ ? ” ฉินโม่เหวินคาดไม่ถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะอายุน้อยเพียงนี้ เขาสามารถประพันธ์บทกวีได้งดงาม อีกทั้งยังถูกจารึกชื่อไว้บนหินเชียนเปยสือบรรทัดที่หนึ่งอีกด้วย มองดูแล้วท่านลุงมีความสามารถในการมองคนจริง ๆ

“ข้าคือฟู่เสี่ยวกวน ! ”

“กล่าวให้เขาฟังเถิด” ฉินโม่เหวินโบกมือและเอ่ยกับต่งซิวจิ่น

“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ท่านเข้าพบ จงรีบไปรวมตัว ณ หลานถิงจี๋บัดนี้”

“เรื่องแค่นี้หรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม

ให้ตายเถอะ ยังมีเรื่องใดสำคัญกว่าที่ฝ่าบาทรับสั่งให้เข้าเฝ้าอีกงั้นหรือ ?

“พวกเราตามหาเจ้ามากว่าหนึ่งชั่วยามจึงเสียเวลาไปไม่น้อย อีกประเดี๋ยวตอนเข้าเฝ้าฝ่าบาท คาดว่าคงกริ้วเป็นแน่ เจ้าจงเตรียมใจไว้ให้ดี”

“เข้าใจแล้ว ข้าจะไปบัดเดี๋ยวนี้”

ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวินและคนอื่น ๆ นั่งรถม้ากลับไปยังหลานถิงจี๋

เมื่อหยูเวิ่นหวินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก็ได้มุ่งหน้าไปยังพระราชวังหลวง

ฉินโม่เหวินมองดูรถม้าที่จากไปและเอ่ยขึ้นมาว่า “นางคือองค์หญิงเก้าใช่หรือไม่ ? ”

ต่งซิวจิ่นพยักหน้า

“ข้าได้ยินมาว่า…ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ชอบพอกับน้องสาวของเจ้า ต่งชูหลาน แต่ท่านพ่อของเจ้าขัดขวางมิเห็นด้วย อีกทั้งได้ยินมาว่าท่านเยี่ยนซือเต้ากำลังเตรียมตัวไปสู่ขอนางอย่างงั้นหรือ ? ”

“นี่คือความปรารถนาของท่านพ่อและท่านเยี่ยนซือเต้า”

“เจ้าควรจับตามองให้ดี เหตุใดองค์หญิงเก้าจึงได้มาอยู่กับฟู่เสี่ยวกวนกัน ? ” เมื่อกล่าวจบฉินโม่เหวินก็เดินกลับเข้าไปในจวนผู้ว่า และเอ่ยประโยคทิ้งท้ายว่า “น้องสาวคนเล็กของข้ายังรอตระกูลต่งของเจ้ามาสู่ขออยู่นะ”

……

……

ณ หอหลานถิง ผู้มีคะแนนสูงสุดสิบคนและคนอื่น ๆ ร้อนรนใจราวกับถูกน้ำร้อนลวก

บัดนี้ห่างจากเวลาที่องค์จักรพรรดิกำหนดไว้เพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น แต่กลับยังหาตัวฟู่เสี่ยวกวนไม่พบ !

“หรือเขาจะไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงกัน ? ” เซวียตงหลินเอ่ยขึ้น

“มิน่าใช่ เมื่อไม่กี่วันก่อนข้ายังได้ดื่มสุราอยู่ที่หอซื่อฟางด้วยกันกับเขา”ฟางเหวินซิงตอบ

“นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เขาอาจเดินทางกลับหลินเจียงไปแล้วก็เป็นได้ ? ”

“เอ่อ……ข้าก็มิอาจคาดเดา”

“หากเขาเดินทางกลับหลินเจียงไปแล้ว จะหาเขาพบได้อย่างไรกัน”

“ถ้าเช่นนั้นพวกเราควรทำเยี่ยงไร ?”

“อย่าเพิ่งร้อนรนใจไป เขามิได้เข้าร่วมสอบคัดเลือกในพระราชวังหลวง คาดว่าอีกประเดี๋ยวหากหาตัวเขามิเจอ อย่างไรเสียก็ต้องพาพวกเราเข้าวังเป็นแน่”

ผ่านไปอีกชั่วครู่ ขันทีผู้ประกาศพระราชโองการและชางกวนเหวินซิ่วก็ได้ปรึกษาหารือกัน และลงความเห็นว่าให้ทั้งสิบคนนี้เดินทางเข้าวังหลวงไปเข้าเฝ้าเสียก่อน ส่วนฟู่เสี่ยวกวนนั้นก็ให้รายงานฝ่าบาทไปตามความจริงและให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินพระทัย

พวกเขาพากันเดินออกมาจากหอหลานถิง พอดีกับที่ฟู่เสี่ยวกวนมาถึง เขาป้องมือขึ้นพร้อมกับกล่าวขออภัยว่า “ข้าน้อย ฟู่เสี่ยวกวน ขออภัยด้วยที่ทำให้ทุกท่านคอยนาน ! ”

เขาก็คือฟู่เสี่ยวกวนงั้นหรือ ?

ผู้คนในที่นี้นอกเสียจากฟางเหวินซิงและอันลิ่วเย่แล้ว คนอื่น ๆ ไม่มีใครเคยพบเห็นเขามาก่อน

ชางกวนเหวินซิ่วพิจารณาเขาอยู่ชั่วครู่ ชายหนุ่มผู้นี้มีท่าทีกระฉับกระเฉง อีกทั้งยังดูเฉลียวฉลาด แต่งกายด้วยชุดสีกรมท่า ดูมีสง่าราศี อืม มองดูก็รู้ว่าเป็นผู้มากความสามารถ

“มาเถิด ตามข้ามา”

ฟู่เสี่ยวกวนเดินตรงมาหาชางกวนเหวินซิ่วอย่างว่าง่าย เขาเดินอยู่ข้าง ๆ ชางกวนเหวินซิ่ว แต่ในราชสำนักเรียงลำดับการเดินอย่างชัดเจน ยิ่งตำแหน่งสูงจะต้องเดินอยู่ด้านหน้า

คนอื่น ๆ มิพอใจอย่างยิ่ง แต่กลับไม่มีใครกล้าเอ่ยอันใดออกมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ได้รับคะแนนสูงสุดทั้งสิบคนนั้น พวกเขามีความสามารถไม่แพ้กัน อีกทั้งการสอบคัดเลือกในพระราชวังหลวงนี้ พวกเขากลับเสียเวลากว่าชั่วยามเพราะลูกเศรษฐีที่ดินธรรมดา ๆ คนนี้ !

พวกเขาเป็นถึงจิ้นซื่อ ! อีกทั้งเป็นสิบอันดับแรกเชียว !

เขาผู้นี้เพียงร่างนโยบายที่บังเอิญถูกพระทัยฝ่าบาท แต่กลับได้เดินทางเข้าพระราชวังหลวงพร้อมกับพวกเขา ช่างน่าคับแค้นใจเสียจริง !

ต่อจากนี้หากมีโอกาส พวกเขาจะต้องหาวิธีจัดการฟู่เสี่ยวกวนให้ได้ ให้เขารู้ถึงกฎของเมืองหลวงเสียหน่อย !

สายตาที่ไม่เป็นมิตรมองมาทางฟู่เสี่ยวกวนมากมาย แต่เขามิได้ใส่ใจ และสนทนากับชางกวนเหวินซิ่วต่อไป

“ข้ามีนามว่าชางกวนเหวินซิ่ว ข้าและฉินปิ่งจงเป็นสหายรู้จักกันมานาน ฉินปิ่งจงเรียกเจ้าว่าน้อง ข้าเองก็จะเรียกเจ้าว่าน้องเช่นกัน เป็นเยี่ยงไร ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เกรงใจหรืออ้อมค้อมใด ๆ เขาหัวเราะเหอะ ๆ ออกมาแล้วกล่าวออกมาว่า “ท่านชางกวนที่เคารพ เช่นนั้นข้าจะมิถูกดูว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงหรืออย่างไรกัน ? ”

“ไม่ๆๆ ในเรื่องของการร่ำเรียนนั้น มิได้ขึ้นอยู่กับใครเรียนก่อนเรียนหลัง ความสามารถของเสียนตี้ ข้าเองก็ชื่นชมนัก—— มีบทกวีใหม่บ้างหรือไม่ ? เอ่ยมาพอให้ข้าได้ชื่นชมหน่อยเป็นไร ? ”

เอ่อ…

บัดนี้ทุกคนได้เดินทางขึ้นสู่เรือเรียบร้อยแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดชั่วครู่แล้วกล่าวว่า “การที่ข้าเดินทางมาเมืองหลวงนั้นมีเรื่องต้องทำมิใช่น้อย ดังนั้นจึงไม่ได้แต่งบทกวีเพิ่มเติม แต่บัดนี้มองดูเรือลำใหญ่ ข้าพอจะคิดคำดี ๆ ออกมาได้บ้าง ขอท่านพี่อย่าได้หัวเราะข้า”

“เตรียมกระดาษและพู่กัน ! ” ชางกวนเหวินซิ่วรู้สึกยินดียิ่ง และยกแขนเสื้อเพื่อฝนหมึกให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน ผู้คนในที่นั้นล้วนตกตะลึง เขาเป็นถึงนักปราชญ์แห่งราชวงศ์หยู แต่กลับมาฝนหมึกให้ฟู่เสี่ยวกวน ! เขาผู้นี้มีความสามารถถึงขนาดไหนกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนหยิบพู่กันขึ้น มองไปยังแม่น้ำและเริ่มแตะพู่กันลงกระดาษ

“รำลึกถึงหวางซุน สายลมโบกพัดบนทะเลสาบ”

ผู้คนจำนวนมากล้อมเข้ามา รวมถึงจิ้นซื่อทั้งสิบด้วยเช่นกัน

ฟู่เสี่ยวกวนนั้นเลื่องชื่อลือนาม และบัดนี้พวกเขาได้มีโอกาสเห็นฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์บทกวีด้วยตนเอง

“สายลมอ่อน ๆ โบกพัดมาจากทะเลสาบ ปลายฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้สีเหลืองแดงอีกทั้งกลิ่นผกาหอม

แสงประกายจากสายน้ำและภูผา งดงามไร้ซึ่งคำบรรยาย

ดอกบัวบาน ใบบัวโรย น้ำค้างยามอรุณ เกาะเป็นหยดน้ำบนใบหญ้า

นกกามิแลหลัง คล้ายโกรธเคืองผู้มาเยือนแต่รุ่งอรุณ”

ฟู่เสี่ยวกวนวางพู่กันลง “ขอพวกท่านอย่าหัวเราะออกไป”

เงียบสงบไร้ซึ่งเสียงใด ๆ

ชืออีหมิงและคนอื่น ๆ มองหน้ากันด้วยความตกตะลึง

กวีบทนี้สื่อถึงภาพในฤดูใบไม้ร่วงและบรรยายได้ดีเหลือเกิน แม้แต่ท่านชางกวนเหวินซิ่วเองเมื่อได้อ่านอีกทีอย่างละเอียดแล้ว เขาเองก็รู้ดีว่าไม่สามารถแต่งออกมาได้ในระยะเวลาเพียงเท่านี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกวีบทนี้ได้บรรยายโดยละเอียดถึงความงามของฤดูใบไม้ร่วงซึ่งปราศจากความหดหู่หม่นหมอง

กวีบทนี้เริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า สายลมอ่อน ๆ โบกพัดมาจากทะเลสาบ ทำให้ผู้คนนึกถึงฤดูใบไม้ร่วง จากนั้นคือปลายฤดูใบไม้ร่วง และมีใบไม้สีเหลืองแดงร่วงเป็นกองโตอีกทั้งกลิ่นผกาหอม เขาใช้สีสันและกลิ่นพรรณนาถึงฤดูใบไม้ร่วงได้เป็นอย่างดี

ดอกบัวบาน ใบบัวโรย น้ำค้างยามอรุณ เกาะเป็นหยดน้ำบนใบหญ้า ประโยคนี้ช่างเหมาะสมแก่ฤดูใบไม้ร่วงยิ่งนัก  ประโยคสุดท้ายที่ว่า นกกามิแลหลัง คล้ายโกรธเคืองผู้มาเยือนแต่รุ่งอรุณนั้น จินตนาการได้ถึงฝูงนกที่พักผ่อนอยู่ริมบึง พวกมันมิได้ใส่ใจต่อผู้มาเยือนแม้แต่น้อย กลับหันหลังเบือนหน้าหนีคล้ายโกรธเคือง เป็นการหยิบยกธรรมชาติมาพรรณนาได้อย่างงดงาม คล้ายกับรูปภาพอันทรงคุณค่า

“เสียนตี้ช่างมีความสามารถยิ่ง โปรดรับการคารวะจากข้าเถิด ! ”