ตอนที่ 107 การเข้าเฝ้าที่อึดอัด

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 107 การเข้าเฝ้าที่อึดอัด

นี่คือบทกวีที่ฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์ขึ้นมาเพื่อตอบรับคำเชิญของชางกวนเหวินซิ่ว !

กล่าวได้ว่า เขาเขียนบทกวีนี้ขึ้น โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจในการครุ่นคิดเท่านั้น !

ทั้งยังประพันธ์บทกวีนี้ออกมาได้อย่างละเอียดอ่อน นั่นทำให้ผู้คนที่มองดูตกตะลึงเป็นอย่างมาก

ไม่ว่าจะเป็นขุนนางจากกั๋วจื่อเจี้ยนหรือผู้ฝึกสอนแห่งสำนักศึกษาจี้เซี่ย รวมไปถึงชืออีหมิง ฟางเหวินซิงและจิ้นซื่อคนอื่น ๆ หรือแม้แต่ขันทีหลายคน ในยามนี้ต่างก็ตกตะลึง

บางทีพวกเขาอาจจะยังมิเข้าใจบทกวีที่มีเอกลักษณ์นี้ แต่ก็เข้าใจใจความสำคัญที่ชางกวนเหวินซิ่วต้องการคำนับฟู่เสี่ยวกวน !

กั๋วจื่อเจี้ยนจี้จิ่วขุนนางระดับสูงชางกวนเหวินซิ่ว เป็นนักปราชญ์แห่งยุค สูงส่งและมีความสามารถ กลับคำนับให้กับเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงสิบหก

นั่นหมายความว่าชายหนุ่มผู้นี้มีความสามารถ ระดับสูงจนถึงขั้นที่ทำให้ชางกวนเหวินซิ่วชื่นชมเป็นอย่างมาก

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกไม่สบายใจ เขาถูจมูกไปมาและกล่าวขำ ๆ “ข้ามีอาการบาดเจ็บทางสมอง เมื่อครู่ก็เพียงเกิดวาบขึ้นมาในหัวจึงประพันธ์บทกวีนี้ออกมาได้ หากพวกท่านจะให้ข้าเขียนอีกในตอนนี้ ข้าก็เขียนมิได้แล้ว ดังนั้น… ความจริงแล้วข้านั้นธรรมดาอย่างยิ่ง พวกท่านอย่าได้มองข้าเยี่ยงนั้นเลย”

ธรรมดามารดาเจ้าสิ !

ฟางเหวินซิงลอบด่ากับตนเอง ความสามารถทางวรรณกรรมของฟู่เสี่ยวกวนมีความรู้ที่สัมผัสได้โดยตรง

ในบรรดาชายหนุ่มทั้งสิบ มีเพียงฉินหายหยู่เท่านั้นที่ยังสงบนิ่ง เขาเคยได้ยินจากท่านปู่กล่าวถึงฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ ทั้งยังในยามที่ไปพบปะกับฉินรั่วเสวียและฉินเฉิงเย่ ก็ยังได้ยินพวกเขากล่าวถึงคนผู้นี้ด้วยเช่นกัน

แต่ที่ฉินรั่วเสวียและฉินเฉิงเย่กล่าวถึงนั้นมิใช่เรื่องความสามารถทางวรรณกรรมของเขา แต่เป็นสิ่งของมหัศจรรย์ที่เขาสร้างขึ้นที่ซีซาน โดยเฉพาะฉินเฉิงเย่ ที่ประกาศกร้าวว่าจะออกจากสำนักศึกษา และไปทำสิ่งเหล่านั้นที่ซีซาน

จากสายตาของฉินหายหยู่ก็เป็นเพียงหลงระเริงไปกับทักษะที่แปลกตาเท่านั้น มิได้มีความสลักสำคัญแต่อย่างใด แต่เหมือนว่าฉินเฉิงเย่จะปักใจไปเสียแล้ว และมิทราบว่าเขาและท่านปู่ใหญ่ได้ตกลงกันแล้วหรือไม่

ในยามนี้ที่ได้มาเห็นฟู่เสี่ยวกวนจับพู่กันและประพันธ์ด้วยตาของตนเอง เขาถึงได้เกิดความนับถือคนผู้นี้ขึ้นมาอย่างแท้จริง ในใจครุ่นคิดว่าหากฟู่เสี่ยวกวนไปเข้าร่วมการทดสอบ เขาย่อมติดหนึ่งในสิบอันดับแรกแน่นอน

ในยามที่ทุกคนต่างตกอยู่ในความคิด เรือหลวงก็ได้เทียบท่า กลุ่มคนทั้งหมดได้ขึ้นรถม้าที่ได้จัดเตรียมไว้ให้เป็นที่เรียบร้อย จึงได้ออกเดินทางไปยังพระราชวัง

……

…..

ท้องพระโรงเฉิงเทียน ช่วงเช้าตรู่ได้จบลงไปแล้ว ยามนี้องค์ฮ่องเต้กำลังเอนหลังพิงเก้าอี้มังกรอย่างเกียจคร้าน ในพระหัตถ์ยังคงถือนโยบายบรรเทาสาธารณภัยฉบับนั้นและกำลังอ่านอย่างถี่ถ้วน

“ที่หอหลานถิง… เกิดเหตุอันใดขึ้น?” องค์ฮ่องเต้เอ่ยถามเสียงเรียบ

ขันทีเจี่ยโค้งกายและตอบกลับ “เมื่อครู่เพิ่งทราบข่าวมา ว่ากำลังตามหาฟู่เสี่ยวกวน”

ในท้องพระโรงต่างมีเสนาบดียืนอยู่มากมาย ต่งคังผิง เสนาบดีต่งเองก็อยู่ที่นี่ เมื่อนามนั้นลอยมาเข้าหูเขา เขาก็สะดุ้งเล็กน้อยโดยมิรู้ว่าเพราะเหตุใด

และขุนนางคนอื่นก็ตกตะลึงเช่นกันหลังจากที่ได้ยินนามของฟู่เสี่ยวกวน พวกเขามิทราบว่าองค์ฮ่องเต้ก็ได้เรียกฟู่เสี่ยวกวนเข้าเฝ้าเช่นกัน ดังนั้นจึงรวมหัวกันกระซิบกระซาบ พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ข้องใจ ท้ายที่สุดความสามารถทางด้านวรรณกรรมที่เกริกก้อง ก็ทำให้แม้แต่องค์ฮ่องเต้ยังอยากพบหน้า

นามนี้ได้ดังก้องไปทั่วเมืองหลวงมาเนิ่นนาน ถึงขั้นที่บางตระกูลได้ยกฟู่เสี่ยวกวนมาเป็นแบบอย่างในการอบรมบุตรชาย

“เจ้าคนชั่ว ! ดูเจ้าฟู่เสี่ยวกวนสิ เกิดในตระกูลเศรษฐีที่ดิน แต่กลับประพันธ์หนังสืออย่างความฝันในหอแดงออกมาได้ ทั้งยังได้สลักนามไว้บนหินเชียนเปยสือตั้งแต่อายุยังน้อย เจ้าเล่า เจ้ากลับหาแต่ความสำราญยามค่ำคืนอย่างบ้าคลั่ง!…”

“สิ่งที่เจ้าเขียนนี่เรียกว่าบทกวีรึ ? ไปคัดทำนองเพลงสายน้ำบนหินเชียนเปยสือทั้งหมดหนึ่งพันรอบ !”

แน่นอน ว่าการอบรมเหล่านั้นมิได้ก่อให้เกิดผลกระทบใดใด แต่กลับทำให้เหล่าผู้อาวุโสในเมืองหลวงจดจำนามฟู่เสี่ยวกวนนี้ได้— ชายผู้นั้นกล้ามายังเมืองหลวง ขุนนางทั้งหลายย่อมมีความคิดที่จะตีขาเจ้าสุนัขนี่ให้หัก!

ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามท่ามกลางเสียงกระซิบของเหล่าเสนาบดี องค์ฮ่องเต้วางนโยบายในมือฉบับนั้นลง และเอ่ยถามด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย “เจ้าเด็กนั่น… ยังหาตัวมิเจอรึ ? ”

ขันทีเจี่ยรีบโค้งกายลงมาและกล่าวว่า “คุณชายฟู่มิได้เข้าร่วมชิวเหวย และคิดว่ามิน่าจะไปหลานถิงจี๋ หากจะต้องรอจนหาเขาเจอเกรงว่าจะต้องเสียเวลาไปอีกเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ… หากฝ่าบาทมิอยากรั้งรอแล้ว มิฉะนั้นก็เรียกจิ้นซื่อทั้งสิบมาเข้าเฝ้าในท้องพระโรงและเริ่มการทดสอบก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

องค์ฮ่องเต้หยูยิ่นคิ้วขมวดอย่างครุ่นคิด “เยี่ยงนั้นก็รอไปก่อน”

เหล่าเสนาบดีบนในท้องพระโรงเฉิงเทียนต่างก็เป็นจิ้งจอกเฒ่า เมื่อได้ยินองค์ฮ่องเต้ตรัสเยี่ยงนี้ ก็เข้าใจความหมายในทันที

ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้สำคัญยิ่ง !

เพื่อรอเขาแล้วองค์ฮ่องเต้ถึงขั้นมิยินยอมที่จะเริ่มการทดสอบ การทดสอบของวังหลวงเป็นการทดสอบครั้งสุดท้ายที่สำคัญที่สุด นั่นคือการคัดเลือกจอหงวน ปั๋งเหยี่ยนและทั่นฮวา

คาดว่าขุนนางมากมายของราชสำนักคงไร้หนทางที่จะจำจิ้นซื่อทั้งสามร้อยคนได้ แต่จอหงวน ปั๋งเหยี่ยนและทั่นฮวาของทุก ๆ ปีนั้นจะเป็นที่จดจำ

เพราะทั้งสามคนจะเป็นตัวแทนของคะแนนสอบที่สูงที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งยังเป็นบุคคลมีพรสวรรค์ที่กลุ่มผู้มีอำนาจจะต้องทุ่มอย่างเต็มกำลังเพื่อดึงมาเป็นพวก

องค์ฮ่องเต้ในยามนี้เองก็เบื่อหน่าย ดังนั้นเขาจึงมองกลุ่มขุนนางเบื้องล่างที่กำลังกระซิบกระซาบกัน รู้สึกว่าค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว

เหล่าขุนนางบ้างก็พยักหน้า บ้างก็ยิ้มน้อย ๆ บ้างก็เลิกคิ้วขึ้น บ้างก็คิ้วขมวดนิ่วหน้า

สายตาที่สื่อสารถึงกันนั้นราวกับมีความหมายที่ลึกซึ้ง เต็มไปด้วยความใจเย็น กล่าวเสียงแผ่วเบาอยู่สองสามประโยค ก็หลับตาก้มหน้าหลบและมิกล่าวอันใดอีก

เหล่านี้คือขุนนางของข้า !

บางทีคนที่คึกคักและโอ้อวดมากที่สุดในใจอาจจะวางแผนสังหารฟู่เสี่ยวกวนแล้วก็เป็นได้ บางทีในสายตาที่สื่อสารกันนั้น พวกเขาอาจจะมีวิธีที่จะใช้กำจัดฟู่เสี่ยวกวนแล้ว บางทีชั่วพริบตาที่ก้มหน้า จวนฟู่ก็จะถูกลบไปในทันที

ข้าอยากจะเห็นนัก ใครหน้าไหนจะกล้าโดดออกมาสังหารฟู่เสี่ยวกวน !

เป็นเจ้าหรือ ? เป็นเจ้าหรือ ? หรือว่าเป็นเจ้ากัน ?

องค์ฮ่องเต้มองผ่านไปทีละคน และลอบหัวเราะอยู่ในใจ เขาเองก็มิทราบ ภัยอันตรายนี้ต้องถูกกำจัดไปโดยเร็ว เพราะฟู่เสี่ยวกวนจะตายมิได้ นั่นคือสิ่งที่เขารับปากไว้กับองค์หญิงเก้า หากพวกเจ้าทั้งหลายกล้าทำให้ฟู่เสี่ยวกวนถึงแก่ความตาย…ข้าจักหั่นพวกเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ

ยามที่นึกถึงเรื่องนี้พระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้ก็บูดบึ้งเล็กน้อย เหล่าขุนนางที่เฝ้าสังเกตเมื่อได้เห็นดังนั้น ในใจก็ครุ่นคิดว่าที่ฝ่าบาทเริ่มขุ่นเคืองย่อมเป็นเพราะเวลาล่วงเลยมานานแล้วแต่ฟู่เสี่ยวกวนยังมิถึง ประเดี๋ยวชายผู้นั้นมาถึง พระพักตร์ก็คงจะเปลี่ยนไป !

เพียงไม่นาน ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากด้านนอกท้องพระโรงเฉิงเทียน “ผู้สอบจิ้นซื่อทั้งสิบลำดับรวมไปถึงฟู่เสี่ยวกวนจากหลินเจียง มีรับสั่งให้เข้าเฝ้า ! ”

หลังจากนั้นภายใต้การนำทางของขันทีชุดแดงผู้ประกาศราชโองการ จิ้นซื่อทั้งสิบคนและฟู่เสี่ยวกวน และชางกวนเหวินซิ่วก็เดินเข้าไปในพระวิหารใหญ่เฟิ่งเทียน

ระหว่างทาง ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะได้รู้สึกตัวถึงความโอ่อ่าตระการตาของวังหลวงโบราณ โดยเฉพาะพระวิหารเฟิ่งเทียนแห่งนี้

มิมีเวลาให้ใคร่ครวญ เขาเดินตามหลังจิ้นซื่อทั้งสิบไป และยืนอยู่บนพระวิหารเฟิ่งเทียน

โอ้ นั่นคือองค์ฮ่องเต้ !

องค์ฮ่องเต้หยูยิ่นก็มิเคยพบพานกับฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน แต่เพียงกวาดมอง เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าชายหนุ่มผู้นั้นย่อมเป็นฟู่เสี่ยวกวน !

เพราะในกลุ่มนั้นมีฟู่เสี่ยวกวนเพียงคนเดียวที่เชิดหน้าขึ้นและสบสายตาเขา ทั้งยังผุดรอยยิ้มสดใสขึ้นมาบนใบหน้า

องค์ฮ่องเต้มีความสุข ขันทีเจี่ยที่อยู่ข้างกายก็ตะโกนขึ้นมา “จิ้นซื่อทั้งสิบเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้”

ดังนั้นจิ้นซื่อทั้งสิบคนจึงคุกเข่าลงไป และตะโกนเสียงเซ็งแซ่ว่าทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี

มีเพียงฟู่เสี่ยวกวนที่ยืนอยู่แถวหน้า ราวกับต้นไผ่ที่ตั้งตระหง่าน แปลกประหลาดจนสะดุดตา จนทำให้ชางกวนเหวินซิ่วตื่นตกใจ จึงได้คิดขึ้นมาได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนน่าจะมิรู้พิธีรีตอง ณ ที่นี่

“เจ้าเป็นใครกัน ? อยู่ต่อหน้าพระพักตร์แล้วเหตุใดจึงมิคุกเข่าลงไป”

มีน้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นมาท่ามกลางขุนนางนับร้อยนาย !