ตอนที่ 108 ให้เจ้ากระอักเลือดตาย

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่  108 ให้เจ้ากระอักเลือดตาย

ผู้ที่กล่าวออกมานั้นคือเสนาบดีกรมพิธีการชือเฉาหยวน สีหน้าเขาบัดนี้บึ้งตึงและน้ำเสียงเข้มขรึม

ฟูเสี่ยวกวนหันไปมองเขาแล้วตอบกลับไปว่า “ข้ามิใช่จิ้นซื่อ”

“เจ้า…! ที่แห่งนี้คือพระราชวังหลวง แม้เจ้าจะมิใช่จิ้นซื่อ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่าบาทก็ต้องคุกเข่า ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนนำมือลูบจมูกและมองไปยังชือเฉาหยวน เขายิ้มและเอ่ยว่า “ข้ามิทราบว่าท่านเป็นใคร แต่ข้าก็รู้ดีว่าฝ่าบาททรงประทับนั่งด้านบน อีกทั้งขันทีผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตาเมื่อครู่ก็กล่าวอย่างชัดเจนว่าให้จิ้นซื่อทั้งสิบเข้าพบฝ่าบาท เดิมทีข้าก็มิใช่จิ้นซื่อ หรือข้าควรปลอมเป็นจิ้นซื่อด้วย ? เช่นนั้นข้าจะไม่กระทำผิดเนื่องจากหลอกลวงฝ่าบาทหรือ ? ”

ชือเฉาหยวนกำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็เอ่ยตัดหน้าว่า “ท่านและข้ามิเคยมีสิ่งใดบาดหมางกันมาก่อน วันนี้ข้าเพิ่งเดินทางเข้าสู่พระราชวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าเป็นคราแรก เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้กับข้ากัน ? ท่านลุง การมีความเมตตาต่อผู้อื่นมักได้รับผลตอบแทนเป็นทวีคูณ หากฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าคุกเข่าลง แน่นอนว่าข้าจะคุกเข่าในทันที แต่ฝ่าบาทเองยังมิทรงได้รับสั่ง ! ”

ชือเฉาหยวนคาดมิถึงว่าชายหนุ่มจากหลินเจียงผู้นี้จะกล้าต่อปากต่อคำกับเขาต่อหน้าฝ่าบาทและเสนาบดีทั้งหลาย เขาเป็นถึงเสนบดีกรมพิธีการเชียว หากต้องเสียหน้าเพราะเหตุนี้ ผู้คนคงจะนำไปนินทาลับหลังให้สนุกปาก !

“เจ้าช่างปากคอเราะร้ายยิ่งนัก อย่างไรเสียข้าก็เป็นถึงเสนบดีกรมพิธีการ  เจ้าย่างกรายเข้ามาในพระราชวังหลวงแต่กลับไม่รู้จักข้อควรปฏิบัติเบื้องต้น เมื่อพบฝ่าบาทควรคุกเข่าคารวะ ข้านั้นเห็นว่าเจ้าไม่รู้กฎเหล่านี้จึงได้เอ่ยเตือน แต่เจ้ากลับต่อปากต่อคำกับข้า และมิเห็นผู้ใดในสายตา เสียเวลาที่ร่ำเรียนโดยเปล่าประโยชน์ ทหาร ! จับตัวมันไปโบย 50 ที !”

ฟู่เสี่ยวกวนโมโหยิ่งนัก เขาหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับชือเฉาหยวนและกล่าวว่า

“ช้าก่อน ! ในเมื่อท่านมีตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดีกรมพิธีการ เช่นนั้นคงจะเข้าใจในความหมายของมารยาทดี ข้าขอถามท่านว่า หากไม่เรียนรู้จริยะก็ไม่อาจสามารถยืนหยัดตนได้ ประโยคนี้อยู่ในหนังสือเล่มใด ? ”

“คัมภีร์หลุนอวี่ จี้ซื่อ บทที่ 16 ”

“ข้าขอถามท่านอีกหน่อย การเคารพในจริยะจักทำให้แคว้นชาติรุ่งเรือง ชุมชนมั่นคง ส่งผลดีต่อลูกหลาน ประโยคนี้อยู่ในหนังสือเล่มใด ? ”

“คัมภีร์จั่วจ้วน บทที่ 11 ”

“ยอดเยี่ยมนัก เห็นได้ชัดว่าท่านเป็นผู้มีความรู้ เช่นนั้นข้าขอถามท่านเป็นเรื่องสุดท้าย ในเมื่อท่านเข้าใจเรื่องจริยะเป็นอย่างดี แต่เหตุใดท่านจึงไม่รักษาจริยะ ? ”

ชือเฉาหยวนขมวดคิ้วและครุ่นคิด “ข้าไม่รักษาจริยะข้อใดกัน ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนเดินหน้าขึ้นไปหนึ่งก้าว “ที่นี่คือท้องพระโรงแห่งราชวังหลวง ฝ่าบาทประทับอยู่ ณ ที่นี่ แต่ฝ่าบาทยังมิได้รับสั่งคำใด เป็นท่านเองที่รีบร้อนเอ่ยปากต่อว่าข้า ท่านมิเห็นฝ่าบาทในสายตาอย่างนั้นหรือ ? ในเมื่อท่านมิเห็นฝ่าบาทในสายตา ท่านจะมีจริยะได้อย่างไร ! ”

“เจ้า……เจ้าพูดจาส่งเดช ! ” ชือเฉาหยวนชี้หน้าฟู่เสี่ยวกวนด้วยความโมโห

“ท่านว่าข้าพูดจาส่งเดชงั้นหรือ ? ท่านขันทีผู้เมตตากล่าวแล้วว่าให้จิ้นซื่อทั้งสิบถวายความเคารพต่อฝ่าบาท และข้าขอเอ่ยอีกครั้งว่าข้านั้นมิใช่จิ้นซื่อ ! แต่ท่านกลับกล่าวหาว่าข้าไม่เคารพฝ่าบาท ! ข้าพูดจาส่งเดชหรือท่านกำลังปกปิดสิ่งใดอยู่กันแน่ ? ”

“เจ้าคนบ้านนอกคอกนา ในพระราชวังหลวงมีกฎว่าหากพบฝ่าบาทต้องถวายความเคารพ มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขาทั้งสิบคน ! ”

ข้าราชการอีกนับร้อยคนคิดว่าตนกำลังฝันไป

นี่มันอะไรกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้กล้าดีอย่างไรจึงทำตัวเป็นปรปักษ์กับท่านเสนาบดีกรมพิธีการเช่นนี้ ?

อีกทั้งดูจากสถานการณ์แล้วชือเฉาหยวนจะไม่ได้เปรียบเท่าใดนัก ชายหนุ่มผู้นี้หยิบยกคำพูดที่ว่าให้จิ้นซื่อคารวะฝ่าบาทมาถกเถียง จริงอยู่ที่เขามิใช่จิ้นซื่อ แต่ไม่ว่าผู้ใดที่เข้ามายังท้องพระโรงแห่งนี้ก็ควรคารวะฝ่าบาทมิใช่หรือ ? ดังนั้นท่านเสนาบดีกรมพิธีการเองก็ไม่ผิด

แท้จริงแล้วผู้ใดถูกผู้ใดผิดกัน ?

บางคนได้แอบเงยหน้าขึ้นมองฝ่าบาท และพบว่าฝ่าบาทกำลังมองดูด้วยความสนพระทัย คล้ายกับทอดพระเนตรดูละครอย่างไรอย่างนั้น

บรรดาจิ้นซื่ออีกสิบคนที่คุกเข่าอยู่ได้แต่นึกบ่นอยู่ในใจ

พวกเขาเสียเวลารอฟู่เสี่ยวกวนอยู่กว่าชั่วยาม ไม่ง่ายเลยที่จะเดินทางเข้ามายังพระราชวังหลวงและเข้าเฝ้าฝ่าบาท พวกเขากำลังตั้งตารอชิงสามอันดับแรกจากฝ่าบาทอยู่ แต่ฟูเสี่ยวกวนกลับมีปากเสียงกันกับเสนาบดีกรมพิธีการเสียก่อน แล้วเช่นนี้พวกเขาจะได้สอบคัดเลือกเมื่อใดกัน ช่วยหยุดทะเลาะกันสักครู่ก่อนได้หรือไม่ ?

ชืออีหมิงสีหน้าคร่ำเครียด เนื่องจากผู้ที่ฟู่เสี่ยวกวนหาเรื่องด้วยนั้นคือท่านลุงของเขาเอง !

รอให้เหตุการณ์นี้ผ่านไปเสียก่อน หากข้ามิหักขาเจ้าด้วยตนเอง ข้าก็จักมิใช้แซ่ชืออีกต่อไป !

ชาวบ้านนอกก็คือชาวบ้านนอกอยู่วันยังค่ำ กล้าขัดใจแม้กระทั่งตระกูลชือ หนึ่งในหกตระกูลผู้ยิ่งใหญ่ !

ในขณะที่ผู้คนล้วนพากันคิดไปต่าง ๆ นานา ฟู่เสี่ยวกวนได้เดินหน้าขึ้นไปหนึ่งก้าว บัดนี้เขาและชือเฉาหยวนอยู่ห่างจากกันเพียงสองศอกเท่านั้น

“หากไม่เรียนรู้จริยะก็ไม่อาจสามารถยืนหยัดตนได้ ประโยคนี้ท่านอาจรู้ความหมายภายนอก แต่มิเข้าใจถึงภายใน เช่นนั้นข้าจะอธิบายให้ท่านฟัง ! จริยะคือสิ่งใด ? สวินจื่อกล่าวว่าผู้ใดไร้จริยะก็มิควรมีชีวิต การกระทำใดไร้จริยะจะมิสำเร็จ แคว้นใดไร้ซึ่งจริยะจะไร้ความสงบสุข เช่นนั้นหากไร้จริยะจะมิเพียงแต่ไม่สามารถยืนหยัดตนได้ แต่จะส่งผลให้แคว้นไร้ซึ่งความสงบสุขด้วย เช่นในท้องพระโรงแห่งนี้ ฝ่าบาทคือผู้ที่อยู่สูงสุด แต่ฝ่าบาทยังมิได้ตรัสสิ่งใดออกมา ท่านกลับได้เอ่ยแทรกขึ้นก่อน การกระทำนี้เรียกว่าไร้จริยะและผิดต่อกฎบัญญัติ มิเห็นฝ่าบาทในสายตา ! หากทุกท่านในที่นี้เป็นเฉกเช่นท่าน จริยะนี้จะไร้ค่าเพียงใด ? แคว้นนี้จะดำรงอยู่อย่างไร ? ท่านเองก็มีตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดีกรมพิธีการ ยิ่งควรรู้ว่าสิ่งใดควรมิควรกว่าผู้ใด ! แต่การกระทำของท่านนั้น มีจริยะอยู่บ้างหรือไม่ ?  ท่านต้องการทำให้ที่แห่งนี้ยุ่งเหยิงอย่างงั้นหรือ ? ต้องการให้ผู้คนสาปแช่งอย่างนั้นหรือ ? ”

“เจ้า…… !”

“เจ้าอะไรงั้นหรือ ! ” ฟู่เสี่ยวกวนเดินหน้าขึ้นไปอีกก้าวหนึ่ง “ท่านช่างมีจิตใจโอ้อวดยิ่ง ท่านให้เกียรติฝ่าบาทบ้างหรือไม่ ? ท่านจะกล่าวตนเป็นผู้รับใช้ที่ดีได้อย่างไร ? ข้าจะกล่าวให้ท่านฟังว่า ฝ่าบาทอยู่เหนือสิ่งอื่นใด หากพระองค์ยังมิทรงตรัสวาจา ท่านก็มิมีสิทธิ์เอ่ยปาก ! เช่นเดียวกับพ่อที่ยังไม่ได้เอ่ยคำใด ผู้เป็นบุตรก็มิควรเอ่ยอย่างมิหยุดหย่อน หากข้าเป็นพ่อของท่าน ข้าคงจะตบปากท่านไปนานแล้ว ช่างไม่รู้ความอันใดเลย ! ”

“พรวด……!”

ชือเฉาหยวนกระอักออกมาเป็นเลือดแดงสด ฟู่เสี่ยวกวนเอี้ยวตัวหลบทัน ชือเฉาหยวนชี้นิ้วไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยมือที่สั่นเทา และหงายหลังเป็นลมล้มพับไป

ไม่เห็นเหมือนในละครสักหน่อย เขาเพียงแค่กระอักเลือดพุ่งเท่านั้น

ฟู่เสี่ยวกวนยักคิ้วเบ้ปากและเดินหันหลังกลับไป

“กระหม่อม ฟู่เสี่ยวกวน คารวะฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ! ”

เมื่อเขาคุกเข่าลงไป ผู้คนทั้งหลายก็ตื่นจากภวังค์

ฝ่าบาทเอ่ยกับขันทีผู้อยู่ด้านข้างว่า “จงเรียกหมอหลวงมาเถอะ”

สวี่หวยซู่หนึ่งในขุนนางกรมพิธีการผู้ยืนอยู่ด้านหลังมองดูฟู่เสี่ยวกวนตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ เขามีแต่จะเพิ่มความกังวลใจมากขึ้น สีหน้าเปลี่ยนไปกลายเป็นหม่นหมอง

ชายหนุ่มผู้นี้ช่างนิสัยไม่ต่างจากมารดาของเขาเสียจริง มิยอมให้ผู้ใดเอาเปรียบ แต่อาจทำให้ผู้อื่นเสียเปรียบได้ง่ายเชียว !

เขาถอนหายใจยาว และหวังว่าหยุนชิงที่อยู่บนสวรรค์จะช่วยปกป้องเขาด้วย

ฝ่าบาททรงมองดูฟู่เสี่ยวกวนและนึกชื่นชมเขายิ่งนัก ชายหนุ่มผู้นี้ช่างเอ่ยความในใจของเขาออกมาได้ดีเสียจริง !

แต่เดิมในท้องพระโรงนี้ พวกเขาเหล่านั้นแทบมิให้ข้าได้เอ่ยคำใด ข้าทำได้เพียงนั่งรับฟัง หากข้าแข็งข้อเพียงเล็กน้อย พวกเขาจะกล่าวว่าข้าไม่คำนึงถึงผู้อื่น และมีหลายคนขู่จะลาออกหรือแม้กระทั่งวิ่งชนกำแพง !

วันนี้ช่างสะใจเสียจริง !

ข้าคือเจ้าฟ้าของแผ่นดิน หากข้ามิเอ่ยคำใด ผู้ใดจะมีสิทธิ์กล่าวออกมาได้งั้นหรือ ?

ชายหนุ่มผู้นี้หากต่อปากต่อคำไปเรื่อย ๆ และให้พวกเขากระอักเลือดไปเสียให้หมดก็คงดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยี่ยนเป่ยซีผู้นี้  หากทำให้เขากระอักเลือดตายได้……อ้อ เจ้านี่ยังตายไม่ได้ เห้อ เอาล่ะเรื่องนี้พอเท่านี้ก่อน

“ลุกขึ้นมาเถอะ ! ”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“การสอบคัดเลือกในรอบนี้ ขอเชิญจิ้นซื่อทั้งสิบเข้าประจำที่นั่ง……ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าเองก็เช่นกัน”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง การคัดเลือกนี้มีแต่จิ้นซื่อเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ ฝ่าบาททรงหมายความว่าอย่างไรกัน ?

แต่ฝ่าบาททรงตรัสแล้ว หากเขาไม่ทำตามอาจถูกลงโทษได้ ดังนั้นจึงได้แต่เดินตามไปนั่งยังโต๊ะสุดท้าย

บนโต๊ะมีกระดาษ พู่กัน หมึกและที่ฝนหมึก ฝ่าบาททรงลุกขึ้นและตรัสว่า “สอบคัดเลือกในพระราชวังหลวงครั้งนี้ ข้าจะออกข้อสอบเพียงข้อเดียว พวกเจ้าทั้งสิบเอ็ดคนจงฟังให้ดี หัวข้อสงครามคือสิ่งใด !”