บทที่ 159 รอความตาย[รีไรท์]
เมื่อได้ยินคำว่าฉู่ชวิ๋นมาแล้ว ราชาพิษและผู้อาวุโสก็ถึงกับตกตะลึงจนลุกขึ้นยืน
“ว่าไงนะ ไหนพูดใหม่อีกทีซิ” ราชาพิษตะลึงจนเสียงหาย
“ชะ…ฉู่ชวิ๋นมันมาที่นี่แล้วครับ…” แล้วผู้ที่เข้ามารายงานก็หมดสติไปก่อนจะพูดจบ เนื่องจากเสียเลือดเยอะเกินไป
“เป็นไปได้ยังไง?” หนึ่งในผู้อาวุโสยังคงไม่อยากเชื่อ
ก็ฉู่ชวิ๋นกำลังเดินทางไปที่สำนักความหวังใหม่ในเมืองเซี่ยเฟยไม่ใช่หรือ? แล้วมันจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
“ไม่ต้องตกใจ สำนักของเรามีม่านพลังแห่งพิษครอบคลุมอยู่ มันบุกเข้ามาไม่ได้หรอก” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งกล่าว
แต่โชคร้ายที่ไม่มีใครรับฟังคำนั้นเลย เพราะทุกคนรับรู้ได้ถึงความหมดแรงในน้ำเสียงของเขา
……
……
ผู้คนพากันเข้าใจว่าฉู่ชวิ๋นกำลังอยู่ในเมืองเซี่ยเฟย แต่แท้จริงแล้วนั่นเป็นข่าวลวงของฉู่ชวิ๋นต่างหาก
แล้วที่มาที่ไปของข่าวลวงนี้มาจากไหน?
ฉู่ชวิ๋นคิดอยู่แล้วว่าสำนักความหวังใหม่จะต้องทราบข่าวเรื่องสำนักกระบี่ทองคำถูกกวาดล้าง เขาจึงไม่โง่พอที่คิดว่าจะมีคนของสำนักความหวังใหม่รอเขาอยู่ที่นั่นอีก
ดังนั้น เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาที่หุบเขาราชาพิษแทน
ถ้าฉู่ชวิ๋นอยากจะหลบซ่อนตัว โลกนี้มีเพียงแค่คนไม่กี่คนที่จะหาเขาเจอ
ฉู่ชวิ๋นยกมือขวาขึ้นมาโคจรพลังลมปราณ
โครม!
ก้อนหินขนาดใหญ่ที่แกะสลักตัวอักษรทองคำว่าหุบเขาราชาพิษ แตกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปในพริบตา
หลังจากนั้น ลูกศิษย์ของหุบเขาราชาพิษก็วิ่งหนีไปเหมือนกับนกแตกรัง พร้อมใจกันวิ่งกลับเข้าไปในหุบเขาโดยไม่ได้นัดหมาย
ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นเลือด บนพื้นนองไปด้วยกองเลือด เกลื่อนกลาดไปด้วยศพหลายสิบศพ
แม้แต่ผู้คุมประตูของหุบเขาราชาพิษ ก็วิ่งหนีไปแล้ว
ฝีมือการต่อสู้ของพวกเขา ไม่ได้เก่งกล้าเหมือนกับฝีปาก
ฉู่ชวิ๋นเดินตรงไปข้างหน้า
หึ่งๆ
ได้ยินเหมือนเสียงฝูงแมลงวันบินใกล้เข้ามา
ฉู่ชวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย เนื่องจากข้างหน้ามีแสงสว่างจ้า ดวงตาของเขาจึงพร่ามัว
ฝูงแมลงมีพิษนับหมื่นตัวบินตรงเข้ามาหาฉู่ชวิ๋น แมลงแต่ละตัวมีขนาดเท่ากับหัวนิ้วโป้ง
เสียงหึ่ง ๆ ดังขึ้นรบกวนสมาธิ
ฉู่ชวิ๋นยกมือขวาขึ้นมา ร่างกายของเขาเปล่งพลังลมปราณออกมาแล้ว
ฟีนิกซ์ตัวใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ปีกของมันขยายกว้าง ส่งคลื่นความร้อนออกมาแผดเผาฝูงแมลงมีพิษไปหมดสิ้น
อานุภาพทำลายล้างของมันช่างร้ายกาจยิ่งนัก
อย่าว่าแต่ฝูงแมลงมีพิษ ทุกสถานที่ที่ฟีนิกซ์บินผ่าน ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ต้นไม้ หรือก้อนหินใหญ่ ต่างก็สลายหายไปทันที
ถ้าจักรพรรดิมังกรอ๋าวฮวง รู้ว่าฉู่ชวิ๋นเรียกฟีนิกซ์ออกมาเพื่อฆ่าแมลง
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฝ่ายนั้นจะทำหน้ายังไง
ฉู่ชวิ๋นก้าวเดินต่อไป
ผ่านเข้ามาได้อีกประมาณ 20 เมตร
พลัน บังเกิดเสียงร้องของคางคกยักษ์ที่ทำให้ผู้คนต้องขนลุกเกรียวดังขึ้น
ในขณะนี้ มีคางคกยักษ์ตัวหนึ่งนั่งอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ข้างทาง ดวงตาของมันจ้องมองมาที่ฉู่ชวิ๋นเขม็ง มันมีขนาดลำตัวใหญ่เท่ากับอ่างน้ำ ผิวเป็นสีแดงและมีปุ่มจำนวนมากอยู่บนแผ่นหลัง
นกป่าสีสดตัวหนึ่งบินโฉบลงมา
ขวับ!
รวดเร็วปานสายฟ้าฟาด ลิ้นของคางคกยักษ์ตัวนั้นพุ่งออกไปไกลมากกว่า 10 เมตร และจับนกตัวนั้นดึงเข้าใส่ปากตัวเอง
ฉู่ชวิ๋นเห็นกับตาว่าเมื่อนกตัวนั้นเข้าไปอยู่ในปากของคางคกยักษ์ มันก็ถูกละลายไปทันที
คางคกยักษ์กินนกป่าเสร็จแล้ว มันก็หันมาจ้องมองที่ฉู่ชวิ๋นอีกครั้ง
ขวับ!
ลิ้นของมันพุ่งตรงเข้าใส่ฉู่ชวิ๋นเหมือนกับแสงสีแดง
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกขยะแขยง เดิมทีเขาเป็นคนรักความสะอาดอยู่แล้ว เขาเกลียดคางคกและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำทุกชนิด เห็นแบบนี้จึงอดรู้สึกขนลุกไม่ได้
พรึบ!
ลมปราณสีขาวพุ่งตรงเข้าไปหาลิ้นของคางคกยักษ์
ฉับ!
ลมปราณสีขาวตัดลิ้นของคางคกยักษ์ขาดเป็นสองท่อน
ก๊าซ!
คางคกยักษ์ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
แต่ลมปราณสีขาวยังไม่ได้จางหายไปไหน มันพุ่งเข้าไปตัดลำตัวของคางคกยักษ์ขาดเป็นสองท่อน
ฟู่!
หลังจากที่คางคกยักษ์ถูกตัดขาดเป็นสองท่อนแล้ว น้ำกรดสีเขียวก็ไหลออกมาจากร่างกายของมัน และกัดกร่อนพื้นดินที่อยู่ข้างล่างจนเกิดควันลอยโขมงขึ้นมา
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกขยะแขยงเป็นที่สุด จึงรีบเดินหนีออกมา ไม่เหลียวหน้ากลับไปดูสักครั้งด้วยซ้ำ
เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ชายหนุ่มเดินเข้ามาได้อีกหลายสิบเมตร ก็ต้องหยุดชะงัก
ตรงหน้าเขายืนขวางไว้ด้วยแมงมุมยักษ์ตัวหนึ่ง ขาของมันแต่ละข้างมีขนาดใหญ่เท่ากับแขนคน
หลังจากนั้น ปรากฏเส้นไหมสีขาวพุ่งลงมาจากท้องฟ้า
ขวับ!
เลือดสาดกระจาย ขาแมงมุมที่มีขนาดเท่ากับแขนคนถูกเส้นไหมตัดขาดออกจากกัน ลำตัวของเจ้าแมงมุมดิ้นไปมาเหมือนถูกพลังที่มองไม่เห็นกำลังเล่นงานเต็มกำลัง
ตู้ม!
พื้นดินระเบิดตัวออก ร่างของแมงมุมยักษ์ระเบิดไปกลายเป็นเพียงกองเลือดกองหนึ่ง
ในป่าเขียวขจีกลางหุบเขา มีควันลอยขึ้นมาเป็นระยะๆ แต่ไม่มีสิ่งใดกล้าเคลื่อนไหวอีกแล้ว
ฉู่ชวิ๋นยังคงเดินไปข้างหน้าต่อไปและต่อไป
……
……
ภายในสำนักงานของหุบเขาราชาพิษ ราชาพิษและบริวารทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว
ม่านพลังพิษของพวกเขาไม่สามารถขัดขวางฉู่ชวิ๋นเอาไว้ได้เลย
“ท่านราชาพิษ เราจะทำยังไงกันดี” ใครคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความหวาดกลัว
ดวงตาของราชาพิษเต็มไปด้วยประกายความดุร้าย เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า
“ก่อนอื่นออกไปถ่วงเวลามันไว้ก่อน ฉันจะไปปล่อยตัวราชาสัตว์ร้ายออกมา”
ทุกคนที่ได้ยินถึงกับปากอ้าตาค้าง
ราชาพิษบอกว่าจะปล่อยตัวราชาสัตว์ร้าย ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เพราะราชาสัตว์ร้ายจะเล่นงานทุกคนโดยไม่สนใจ ว่าคนผู้นั้นเป็นฝ่ายเดียวกับตนเองหรือว่าเป็นฝ่ายศัตรู
“รีบไปสิ!” ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว
ฉู่ชวิ๋นคงไม่ยอมล่าถอยออกไปเองแน่ ๆ และเพื่อความอยู่รอด ราชาพิษจำเป็นต้องลองเสี่ยง
ผู้อาวุโสอีกหลายคนก็เข้าใจดีถึงความจริงข้อนี้ ทุกคนต่างรีบออกไปถ่วงเวลาตามคำสั่ง แม้จะรู้สึกได้ถึงกลิ่นของความตายอย่างชัดเจนก็ตาม
……
……
ฉู่ชวิ๋นหยุดเท้ายืนมองกลุ่มคน 10 กว่าคนที่มายืนขวางหน้า
“พวกเราผู้อาวุโสของหุบเขาราชาพิษ ยินดีต้อนรับครับ”
“นายท่านฉู่ชวิ๋นให้เกียรติมาถึงหุบเขาของเรา นับว่าเป็นบุญวาสนาของพวกเราแล้วจริง ๆ”
“นายท่านฉู่ชวิ๋นต้องเดินทางมาไกล พวกเราเตรียมน้ำชาไว้ให้แล้วครับ”
ภารกิจของพวกเขาคือถ่วงเวลา
แต่เดิมที ทุกคนก็ไม่ได้มีเจตนาต่อสู้กับฉู่ชวิ๋นอยู่แล้ว
ขณะนี้ สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องทำก็คือถ่วงเวลาให้ราชาพิษปล่อยตัวราชาสัตว์ร้ายออกมาได้สำเร็จ
คนที่พูดว่าเตรียมน้ำชาไว้ให้แล้ว เดินถือถาดน้ำชาเข้ามาด้วยสองมือ ชายชราเดินตรงเข้าไปหาฉู่ชวิ๋นไม่รีบร้อนเกินไปและไม่เชื่องช้าเกินไป ไม่ถ่อมตัวเกินไปและก็ไม่วางอำนาจเกินไป
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ผู้อาวุโสก็ค้อมศีรษะพูดว่า “ได้โปรดดื่มน้ำชาครับ คุณฉู่ชวิ๋น ผมรู้ว่าเรามีเรื่องเข้าใจผิดต่อกัน จนทำให้คุณต้องดั้นด้นมาถึงที่นี่ แต่รอสักครู่นะครับ ตอนนี้ท่านราชาพิษกำลังยุ่งเล็กน้อย แต่ผมเชื่อว่าอีกไม่นาน ท่านจะต้องมามอบคำอธิบายให้คุณได้อย่างแน่นอน”
ชายชราที่มีอายุมากกว่า 60 ปี พลันคุกเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้าชายหนุ่มอย่างไม่เคอะเขินเลยแม้แต่น้อย
ฉู่ชวิ๋นหยิบถ้วยน้ำชาไปจิบหน้าตาเฉย
ชายชราถึงกับตกตะลึงไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าฉู่ชวิ๋นจะกล้าดื่มชา หมอนี่ไม่กลัวถูกวางยาพิษเลยหรือไงนะ
ผู้อาวุโสอีกหลายคนก็รู้สึกแบบเดียวกัน ทุกคนต่างคิดว่าฉู่ชวิ๋นจะต้องโดนวางยาพิษแน่ ๆ
“ผมมีข้อสงสัยอยู่หนึ่งอย่าง ได้โปรดช่วยตอบผมด้วยนะครับ” ชายชราที่ยกน้ำชามาให้ฉู่ชวิ๋นดื่ม พูดด้วยน้ำเสียงเคารพนบนอบ
“ถามมาสิ” ฉู่ชวิ๋นพูดออกมาเสียงเรียบ
ในดวงตาของชายชราเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาลอบชำเลืองมองไปยังคนอื่น ๆ ความหมายในแววตานั้นชัดเจนมาก เพียงแค่เขาคนเดียวก็ถ่วงเวลาฉู่ชวิ๋นได้แล้ว
“ผมขอถามหน่อยเถอะครับว่า คุณจำเป็นต้องทำแบบนี้จริง ๆ หรือ? คุณจะไว้ชีวิตพวกเราได้ไหมครับ?”
ฉู่ชวิ๋นก้มหน้ามอง ริมฝีปากบิดตัวเป็นรอยยิ้ม สีหน้าของเขาครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย “พวกนายไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ แค่รอความตายอยู่เฉย ๆ ก็พอแล้ว”
เมื่อพูดจบ ฉู่ชวิ๋นก็ยกกำปั้นขึ้นต่อยออกไปอย่างแรง คลื่นพลังลมปราณพุ่งออกมาส่งเสียงแหวกอากาศดังแสบหู
สีหน้าของผู้อาวุโสว่างเปล่า เขายกมือขึ้นป้องกันคลื่นพลัง ได้แต่ร้องอุทานออกมาด้วยความสยองขวัญว่า
“นายท่าน ไว้ชีวิต…”
โครม…กร๊อบ!
คำร้องขอความเมตตาขาดหายไปกลางคัน ร่างของผู้อาวุโสลอยตีลังกากลางอากาศ กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ในขณะที่กระเด็นไปไกลมากกว่าสิบเมตร
สมาชิกของหุบเขาราชาพิษที่เหลืออยู่ถึงกับเบิกตาโต สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ผู้อาวุโสคนที่ถูกฉู่ชวิ๋นต่อยกระเด็นออกไป แขนหัก หน้าอกยุบ เห็นกระดูกสีขาวแทงทะลุออกมากลางแผ่นหลังที่มีเลือดไหลทะลักไม่หยุด ลมหายใจของเขาขาดหายไปนานแล้ว
ทุกคนต่างก็หวาดกลัวหมัดเดียวปลิดวิญญาณ!
นี่มันอะไรกัน? จะฆ่าคนก็ไม่บอกไม่กล่าวสักคำ นึกจะลงมือก็ลงมือเลยงั้นหรือ?
หลายคนรู้สึกสงสารผู้อาวุโสคนนั้น แต่ก็ดีใจที่ไม่ได้เดินเข้าไปด้วย ไม่อย่างนั้นคงกลายเป็นเหยื่อของฉู่ชวิ๋นไปแล้ว
อันที่จริง ทุกคนลืมความเป็นจริงที่เรียบง่ายไปข้อหนึ่งว่า ถ้าไม่อยากรับผลกรรมที่ตามมา ก็อย่าก่อกรรมไว้ตั้งแต่แรก นี่แหละคือวิธีคิดของฉู่ชวิ๋น