ซือหม่าโยวเย่ว์พลิกเปิดตำราเคล็ดแยกอัคคีพิโรธ ก็เห็นคำว่าทักษะวิญญาณระดับสีดำขั้นสูงที่เขียนอยู่ตรงบทนำ ทั้งยังบอกว่าหากยังไปไม่ถึงระดับราชาวิญญาณ ก็จะไม่อาจบำเพ็ญได้
“เป็นทักษะวิญญาณระดับสีดำขั้นสูงเชียวหรือ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างตกใจ “แต่ต้องไปถึงระดับราชาวิญญาณก่อนจึงจะฝึกได้ ตอนนี้ข้าก็คงได้แต่มองดูมันแล้วล่ะ คิดไม่ถึงว่าท่านปู่จะมีทักษะวิญญาณระดับสีดำขั้นสูงเลยทีเดียว มิน่าเล่าตอนนั้นจึงได้มีพลังคุกคามมากถึงเพียงนั้น”
ในตอนแรกปรมาจารย์วิญญาณทำได้เพียงแค่อาศัยการดูดซับและรวบรวมปราณวิญญาณมาเปรียบกันเท่านั้น สิ่งที่พวกเขาใช้ได้ก็มีเพียงแค่การรวบรวมลูกไฟหรือหยาดน้ำฝนขนาดเล็กเท่านั้น ถ้าหากอยากได้พลังคุกคามที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น ก็จำเป็นต้องใช้ทักษะวิญญาณ
ก่อนหน้านี้เฟิงจือสิงเคยเล่าให้พวกเขาฟังในชั้นเรียนว่าทักษะวิญญาณแบ่งออกเป็นสี่ระดับได้แก่ ฟ้า ดิน สีดำ และสีเหลือง ทั้งนี้แต่ละระดับยังแบ่งออกเป็นขั้นต่ำ ขั้นกลาง และขั้นสูงอีกด้วย โดยพลังคุกคามที่ทักษะวิญญาณระดับต่างๆ แสดงออกมาได้นั้นล้วนมีความแตกต่างกันราวฟ้ากับดินเลยทีเดียว
และหลังจากที่ปรมาจารย์วิญญาณไปถึงระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณแล้วจึงจะฝึกทักษะวิญญาณได้ ยิ่งเป็นทักษะวิญญาณขั้นสูงก็จะยิ่งฝึกฝนได้ยาก ตอนนี้โดยทั่วไปแล้วในดินแดนแห่งนี้ล้วนเป็นระดับสีเหลืองกันทั้งสิ้น แค่ระดับสีเหลืองขั้นสูงก็มีเพียงน้อยนิดเหลือเกินแล้ว
แน่นอนว่าที่เฟิงจือสิงพูดนั้นหมายถึงเพียงแค่อาณาจักรตงเฉินเท่านั้น สำหรับสถานที่อื่นๆ แล้วระดับสีเหลืองนั้นมิอาจนับเป็นอะไรได้เลย
“โดยทั่วไปแล้วเมื่อถึงระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณก็จะฝึกฝนทักษะวิญญาณได้ คิดไม่ถึงว่าต้องไปถึงระดับราชาวิญญาณจึงจะศึกษาสิ่งนี้ได้ ดูท่าทางการศึกษามันคงจำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณเป็นอย่างมาก เช่นนั้นพลังคุกคามก็คงจะแข็งแกร่งกว่าระดับขั้นเดียวกันด้วย รอให้ไปถึงระดับราชาวิญญาณก็คงทดสอบดูได้แล้วล่ะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บตำราเคล็ดแยกอัคคีพิโรธกลับลงไปแล้วจึงเริ่มต้นบำเพ็ญ
ระยะนี้เกิดเรื่องราวมากมายเกินไป ถึงแม้ว่าจะมีเจ้าวิญญาณน้อยคอยช่วยเธอในการฝึก เพื่อมิให้พัฒนาการของเธอล่าช้าลง แต่กลับมิได้มีความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่แต่อย่างใดเลย
คิดอยากจะไปช่วยพวกซือหม่าเลี่ย เธอจำเป็นจะต้องมีพลังยุทธ์มากพอ รวมทั้งมีแผนการอันแยบยลจึงจะใช้ได้
“เช่นนั้นซือหม่าหลินยังไปไม่ถึงระดับจ้าววิญญาณ แต่พลังยุทธ์ก็กล้าแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว ตระกูลซือหม่าจะต้องมีบุคคลที่ร้ายกาจกว่า ไม่แน่ว่าอาจเป็นระดับจ้าววิญญาณแล้ว นึกอยากจะช่วยพวกท่านปู่ ข้าจำเป็นต้องยกระดับตัวเองให้เร็วที่สุดจึงจะใช้ได้”
ตอนนี้เธอยังเป็นเพียงแค่ปรมาจารย์วิญญาณขั้นหกเท่านั้น เพิ่งจะสัมผัสได้ถึงขอบเขตของปรมาจารย์วิญญาณขั้นเจ็ด แต่ระหว่างนั้นยังมีระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณ ราชาวิญญาณ และบรรพวิญญาณอยู่อีก หลังจากนั้นจึงจะเป็นระดับราชันวิญญาณ
มีบางคนที่ใช้เวลาทั้งชีวิตจึงจะไปถึงระดับบรรพวิญญาณได้ แต่เธอใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งปีก็ไปถึงระดับปรมาจารย์วิญญาณขั้นหกแล้ว ยังมีเวลาอีกสามปี ไม่รู้ว่าจะไปถึงระดับขั้นใด
ช่วงเวลาแห่งการบำเพ็ญผ่านไปในพริบตา การบำเพ็ญของเธอในครั้งนี้กินเวลาสองวัน
เพราะแผนการใหญ่ได้ดำเนินการไปจนเสร็จสิ้นแล้ว ตลอดสองวันมานี้จึงไม่มีใครมารบกวนเธอเลย
หลังผ่านไปสองวัน จวนแม่ทัพจึงออกประกาศว่าต้องการรับสมัครพนักงานจำนวนหนึ่งโดยด่วน ผลตอบแทนก็คือจะได้รับสัตว์อสูรวิเศษที่ซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกหัดด้วยตัวเองตนหนึ่งในทันทีที่เข้าร่วม รวมทั้งยาวิเศษที่จำเป็นสำหรับการบำเพ็ญด้วย ในภายหน้าจะได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกับยามรักษาการณ์ของตระกูล เงื่อนไขคือเป็นระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณขึ้นไป ทำงานให้ตระกูลซือหม่าสิบปี พอครบสิบปีแล้วจะอยู่หรือจะไปก็แล้วแต่ตนจะเลือก
เรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกสัตว์อสูรท่ามกลางสาธารณชนในวันนั้นได้แพร่ออกไปทั่วทั้งเมืองหลวงและเมืองรอบๆ มาก่อนแล้ว แม้กระทั่งคนจากสถานที่ที่ห่างไกลออกไปต่างก็รู้เรื่องนี้ด้วยกันทั้งสิ้น ในขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมกับความน่าอัศจรรย์เปี่ยมพรสวรรค์ของเธอ และยิ่งสนใจในสัตว์อสูรวิเศษที่เธอฝึกนี้ จึงคิดกันว่าหากตนเองได้มาครอบครองสักตนหนึ่งก็ใช้ได้แล้ว
เมื่อประกาศของตระกูลซือหม่าออกมา ผู้คนก็หลั่งไหลกันมาสมัครอย่างไม่ขาดสาย พ่อบ้านผู้ที่เดิมทีคิดว่าคงจะมีคนมาสมัครไม่เท่าไรจึงยุ่งขึ้นมาในทันที วันแรกนั้นขอเพียงแค่ผู้สมัครเป็นระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณขึ้นไปก็ล้วนไม่ปฏิเสธทั้งสิ้น พอถึงวันที่สองจึงเริ่มคัดเลือกคน โดยคัดผู้ที่พลังยุทธ์ต่ำเกินไป หรือบุคลิกไม่ดีจำนวนหนึ่งออก
เพียงไม่นานคนของตระกูลซือหม่าก็เพิ่มขึ้นมาสองเท่า พ่อบ้านทิ้งส่วนหนึ่งเอาไว้ให้อารักขาจวนซือหม่า ส่วนที่เหลือนั้นให้พวกเขาไปจับสัตว์อสูรวิเศษ
เพียงไม่นานสินค้าของตระกูลชวีก็มาถึง สัตว์อสูรวิเศษของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็ส่งมาแล้วเช่นเดียวกัน บวกกับชื่อเสียงของซือหม่าโยวเย่ว์ ร้านค้าของตระกูลซือหม่าเปลี่ยนจากร้านร้างในช่วงก่อนหน้านี้ กลายเป็นลูกค้าหลั่งไหลกันมาอย่างไม่ขาดสาย
คนที่คิดร้ายต่อตระกูลซือหม่าเหล่านั้นจึงได้แต่เก็บงำความคิดของตนเอาไว้ ผู้ใดจะกล้าแตะต้องตระกูลซือหม่าในตอนนี้เล่า เช่นนั้นก็ต้องไปชั่งน้ำหนักดูก่อนว่าตนต่อกรกับวิทยาลัยรวมทั้งสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรไหวหรือไม่
ผู้คนที่รู้เรื่องราวจำนวนไม่น้อยต่างพากันชื่นชม แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นขุมอำนาจใดพัฒนาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้มาก่อนเลย คล้ายกับว่าพัฒนาขึ้นมาในระยะเวลาเพียงเดือนสองเดือนเท่านั้นเอง
แต่เมื่อนึกถึงความสามารถอันน่าอัศจรรย์ในการหลอมยาและฝึกสัตว์อสูรของซือหม่าโยวเย่ว์แล้ว จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็ดูเป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่
นอกจากนี้แล้ว ก่อนหน้านี้มีบางเรื่องที่ตระกูลซือหม่ามิอาจทำได้โดยสะดวกเพราะสถานะแม่ทัพของซือหม่าเลี่ย ตอนนี้ไม่มีพันธะเหล่านั้นแล้วจึงทำได้อย่างสบายยิ่งขึ้น
เดิมทีพ่อบ้านคิดอยากจะให้คนที่เพิ่งเข้ามาเหล่านั้นไปพบซือหม่าโยวเย่ว์สักหน่อย แต่เมื่อเห็นว่าเธอกำลังปลีกวิเวกอยู่จึงได้ล้มเลิกไป
ผ่านไปอีกหลายวัน ระหว่างที่ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังฝึกยุทธ์อยู่ก็รู้สึกได้ถึงการเลื่อนระดับ เธอที่เดิมทีคิดจะออกจากการปลีกวิเวกแล้วจึงอาศัยจังหวะนี้ในการฝึกยุทธ์ต่อไป หนึ่งวันให้หลังก็บรรลุเป็นปรมาจารย์วิญญาณขั้นเจ็ดได้สำเร็จ
หลังจากเลื่อนระดับได้สำเร็จแล้วซือหม่าโยวเย่ว์จึงลืมตาขึ้น ก็เห็นดาวระดับขั้นอันแสดงถึงพลังยุทธ์ของตนค่อยๆ เลือนหายไป จึงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ความเร็วในการเลื่อนระดับช้าไปหน่อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปแล้วจะไปช่วยพวกท่านปู่ได้อย่างไรกัน ดูท่าทางคงต้องคิดหาวิธีอื่นมายกระดับพลังยุทธ์เสียแล้ว”
เพราะอยู่ในสภาวะของการบำเพ็ญมาเป็นเวลาหลายวัน ร่างกายจึงเมื่อยตึงอยู่บ้าง เธอเดินลงจากเตียงมาเคลื่อนไหวร่างกายแล้วเปิดประตู ทันใดนั้นก็ชะงักงันไป
ก่อนการปลีกวิเวกยังเป็นพื้นที่โล่งๆ อยู่เลย เหตุใดตอนนี้จึงสร้างคฤหาสน์ขึ้นมาได้ภายในเวลาเพียงชั่วครู่เล่า!
“คุณชาย ท่านออกจากการปลีกวิเวกแล้ว!” ชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์อยู่ข้างนอก เมื่อได้ยินเสียงซือหม่าโยวเย่ว์เปิดประตูจึงเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
“ชุนเจี้ยน ข้าปลีกวิเวกไปนานเท่าใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ออกจะไม่เชื่อสายตาตนเองอยู่บ้าง ตนปลีกวิเวกไปนานมากเลยอย่างนั้นหรือ
“คุณชาย ท่านปลีกวิเวกได้สิบวันแล้วเจ้าค่ะ” ชุนเจี้ยนเอ่ยตอบ
“เพิ่งจะสิบวันเท่านั้นเอง แล้วบ้านหลังนี้สร้างเสร็จได้อย่างไรกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
อวิ๋นเย่ว์ยิ้มแล้วเอ่ยว่า ”คุณชาย ตั้งแต่วันนั้นที่ท่านฝึกสัตว์อสูรท่ามกลางสาธารณชน ทั้งยังสำเร็จเป็นนักฝึกสัตว์อสูรอีก ก็มีผู้คนมากมายมาช่วยก่อสร้างจวนซือหม่าเจ้าค่ะ ดังนั้นความเร็วจึงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในระยะเวลาเพียงชั่วครู่ไงละเจ้าคะ”
ต่อให้เป็นเช่นนี้ นี่ก็ออกจะรวดเร็วเกินไปสักหน่อยกระมัง!
“คุณชาย เรือนของท่านตระเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วนะเจ้าคะ ท่านอยากไปดูสักหน่อยหรือไม่” ชุนเจี้ยนเอ่ยถาม
“ดีเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า
เรือนชั่วคราวหลังนี้ยังมิได้ถูกรื้อถอนเพราะมีซือหม่าโยวเย่ว์ปลีกวิเวกอยู่ภายใน แต่ลานด้านหน้าได้ทำความสะอาดเอาไว้เรียบร้อยหมดแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์ติดตามชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์ไปยังเรือนของตน เพราะว่าตอนนี้มีเธอเป็นเจ้านายเพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นเรือนของเธอจึงเป็นเรือนหลักในขณะนี้
การก่อสร้างบ้านเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ผลงานก็มิได้ทำไปอย่างลวกๆ ซือหม่าโยวเย่ว์มองอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าสร้างได้ว่าไม่เลวเลย ส่วนของประดับตกแต่งและสวนดอกไม้ต่างๆ นั้น กำลังค่อยๆ ก่อสร้างอยู่ในขณะนี้
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูรอบๆ แล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ต้องมีบ้านสิจึงจะเหมือนครอบครัวหน่อย
เมื่อพ่อบ้านได้ยินว่าซือหม่าโยวเย่ว์ออกจากการปลีกวิเวกแล้วจึงมารายงานเรื่องราวตลอดหลายวันนี้ให้เธอฟัง เมื่อได้ยินว่าตระกูลซือหม่ามีคนเพิ่มขึ้นมาเป็นจำนวนมากในชั่วพริบตา นอกจากนี้ยังมีระดับราชาวิญญาณและระดับบรรพวิญญาณมากันเป็นจำนวนไม่น้อยอีกด้วย เรื่องนี้แม้แต่เธอเองก็ยังประหลาดใจเลย
ตอนนี้เธอจินตนาการได้ว่าในภายหน้าเธอต้องฝึกสัตว์อสูรวิเศษเป็นจำนวนมากมายเท่าใดจึงจะเพียงพอต่อความต้องการ แต่ยังดีที่การฝึกสัตว์อสูรวิเศษสำหรับเธอนั้นมิได้เหน็ดเหนื่อยจนเกินไปและยังเพิ่มพูนพลังวิญญาณของเธอได้อีกด้วย ดังนั้นเมื่อคิดๆ ดูแล้วก็ไม่เห็นเป็นไร ในทางกลับกันยังมีความหวังอยู่รางๆ อีกด้วย