ตอนที่ 187 บางครั้งก็ต้องทำตัวให้ดูน่าสงสาร

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 187 บางครั้งก็ต้องทำตัวให้ดูน่าสงสาร

  

หลังจากที่ทำการโอนกรรมสิทธิ์ครอบครองสวนไปแล้ว นางก็ยังไม่หายโมโหนับจากตอนนั้นจนถึงตอนนี้

 

จี้เจี้ยนเหอลูกชายคนรองจึงพูดขึ้น “พ่อ ผมบอกแล้วว่าพ่อไม่ต้องทำงานหนักมาก เขาขอให้พ่อไปช่วยควบคุมงาน ตอนนี้พ่อทำงานไปกี่อย่างแล้ว?”

เขาช่างโลภอะไรขนาดนั้น จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่เคยนำอะไรมาให้ครอบครัวนี้เลย ในเมื่อเขาก็ร่ำรวยแล้ว ก็ควรแบ่งปันรสชาติให้คนอื่นรู้บ้างสักหน่อยก็ยังดี!

แต่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรจริง ๆ!

ลุงจี้ทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ แค่ภรรยายังพอทน แต่ลูกชายคนรองกลับเป็นแบบนี้ด้วย เขาจึงโพล่งขึ้นมา “ถ้าแกยังกล้าพูดจาเหลวไหลไปมากกว่านี้ ก็แยกบ้านออกไปซะ พี่ใหญ่ของแกแยกบ้านไปนานแล้ว ตอนนี้แกแต่งงานแล้วก็ควรแยกบ้านเหมือนกัน!”

“คุณพ่อใจเย็นก่อนนะคะ อย่าถือสาเจี้ยนเหอเลยค่ะ” ภรรยาของจี้เจี้ยนเหอเดินออกมาได้ยินเรื่องนี้พอดี หล่อนรู้ดีว่าสามีของหล่อนน่ารังเกียจอย่างไร หากแยกบ้านออกไปตอนนี้คงถึงคราวต้องอดตาย หล่อนจึงรีบยิ้มไกล่เกลี่ย

“ฉันคิดว่าควรแยกบ้านออกไปได้แล้ว เขาจะได้ไม่ต้องมาสร้างปัญหากับแม่ของเขาอีก!” คุณลุงจี้พูดอย่างเย็นชา

“พ่อ ผมมีที่ดินเล็ก ๆ แค่นั้น ถ้าให้แยกบ้านไปครอบครัวผมจะเอาอะไรกิน?” จี้เจี้ยนเหอตะโกนออกมา “พี่ใหญ่ยังมีงานประจำทำ แต่ผมไม่มีอะไรเลย!”

จี้เจี้ยนชวน พี่ชายของเขาสามารถหาเงินได้ถึง 30 หยวนต่อเดือน หากจะบอกว่าเขาไม่อิจฉาเลยก็คงเป็นไปไม่ได้  

ภรรยาของเขายังจู้จี้ทุกวัน เพราะต้องการให้เขาหางานทำ 

แต่เขาจะทำอะไรได้ ในเมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นทั้งดูถูกและไม่อยากให้ความช่วยเหลือเขา

“ถ้าเป็นแกเหมือนพี่ชายแก ก็คงไม่ถูกเจี้ยนอวิ๋นเมินหรอก ดูความหน้าไม่อายของแกสิ นอกจากกินแล้วก็ไม่ทำอะไรเลย แล้วเจี้ยนอวิ๋นจะอยากจ้างแกไปทำอะไร? ในสวนไม่มีใครเป็นคนเกียจคร้านหรอกนะ!” คุณลุงจี้พูดออกมาอย่างสุดจะทน

“พ่อพูดผิดแล้ว ทำไมพ่อไม่พูดถึงซูจิ้นจวินพี่ชายภรรยาเขาบ้างล่ะ ชื่อเสียงเขาย่ำแย่กว่าผมอีก ไม่ใช่ว่าเขาก็ได้ไปทำงานด้วยเหรอ? แถมยังได้เงินเดือน 30 หยวนด้วย!” จี้เจี้ยนเหอยังคงไม่ยอมรับความจริง

คนอื่นนั้นยังไม่เป็นไร แต่ซูจิ้นจวินก็เหมือนกันกับเขา ขณะที่ซูจิ้นจวินทำงานในตำแหน่งคนงานประจำได้ ทำไมเขาถึงทำไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่จี้เจี้ยนอวิ๋นเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเขา!

“เจี้ยนเหอพูดถูก เจี้ยนอวิ๋นไม่ดูดำดูดีคนในครอบครัวเรา ทำไมเขาถึงไม่คิดบ้างว่าตอนเด็ก ๆ เขามากินข้าวที่บ้านเราตั้งหลายมื้อ!” ป้าหลี่พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา

“พอทีเถอะ อาหารที่คุณเคยให้เจี้ยนอวิ๋นกินมันคืออะไรล่ะ ก็เป็นแค่โจ๊กน้ำเหลว ๆ เท่านั้น” ลุงจี้พูดอย่างขุ่นเคือง

“แล้วมันไม่ใช่อาหารหรือยังไง? ถ้าไม่มีโจ๊กน้ำเหลว ๆ ของฉัน เจี้ยนอวิ๋นก็คงไม่โตมาจนถึงทุกวันนี้ บุญคุณแม้เพียงหยดน้ำ ก็ควรตอบแทนให้ได้ดั่งสายธาร* เขาเป็นถึงทหาร แต่กลับไม่จิตสำนึกเลย!” ป้าหลี่ยังคงพูดต่อ “อีกอย่างเจี้ยนเหอพูดถูก ซูจิ้นจวินนับเป็นตัวอะไร? ในสิบลี้แปดหมู่บ้านนี้มีใครไม่รู้บ้าง? ถ้าช่วยเหลือเขาได้ ทำไมกับเจี้ยนเหอถึงทำไม่ได้?”

* หมายความถึงเมื่อได้รับบุญคุณจากผู้อื่น แม้จะเล็กน้อยสักเท่าใด ก็พึงระลึกถึงและตอบแทนด้วยการกระทำให้ทบเท่าพันทวี

“อย่าพูดเรื่องที่ไม่มีอยู่จริงเลย พวกเธอไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องของซูจิ้นจวินหรอก ฉันเคยเห็นแล้ว เขาไม่ได้ขี้เกียจ และเจี้ยนอวิ๋นเองก็ไม่ปล่อยให้เขาอยู่เฉย ๆ แน่” ลุงจี้พูดพร้อมกับมองภรรยาแล้วถาม “ครอบครัวของเรามีคนที่มีความสามารถและแข็งแรงแค่ไม่กี่คน เจี้ยนอวิ๋นได้จ้างให้เป็นคนงานประจำแล้ว 2 คน คุณยังต้องการอะไรอีก หรือคุณอยากให้เขายกสวนผลไม้ทั้ง 2 ที่นั้นให้คุณเปล่า ๆ คุณถึงจะยอมจบ?”

“คุณเป็นคนพูดเองนะ ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย!” ป้าหลี่เอ่ยอย่างฉุนเฉียว

“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก ตอนนี้ฉันได้ค่าจ้างเดือนละ 30 หยวน ฉันจะยกเงินนั่นให้ ส่วนเรื่องเนื้อแกะของเจี้ยนอวิ๋น เขาจะจัดสรรยังไง ก็ไม่มีใครควบคุมเขาได้” คุณลุงจี้ไม่ใส่ใจเรื่องนี้ หลังจากพูดจบเขาก็เดินไปกินข้าว

ป้าหลี่จึงตามเข้ามาพูดกับเขา “เจี้ยนอวิ๋นยังไม่ได้จัดการเรื่องอ่างเก็บน้ำใช่ไหม? คุณคิดว่าเจี้ยนเหอเป็นยังไงบ้าง? เขาทั้งว่ายน้ำเก่งและแข็งแรงนะ”

“เรื่องนี้คงต้องไปถามเจี้ยนอวิ๋น” คุณลุงจี้ไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าลูกชายคนรองของเขามีนิสัยอย่างไร เจี้ยนเหอไม่หนักแน่นและมั่นคงพอ งานดูแลอ่างเก็บน้ำดูไม่เหมาะกับเขานัก

แต่เขาต้องตอบรับแบบคลุมเครือ เพื่อที่ภรรยาของเขาจะได้ไม่สร้างปัญหา

“ถ้างั้นคุณก็ไปถามเจี้ยนอวิ๋นสิคะ” ป้าหลี่คะยั้นคะยอ

“ผมไม่ถาม ถ้าอยากถามคุณก็ไปเองสิ” คุณลุงจี้ปฏิเสธตรง ๆ

“ก็ได้ ฉันจะไปถามเอง!”

“คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ถ้าในอนาคตเจี้ยนเหอได้เป็นคนงานประจำ หนูกับเจี้ยนเหอจะดูแลคุณแม่อย่างดีค่ะ!” หลังจากออกมา ภรรยาของจี้เจี้ยนเหอก็พูดกับนางด้วยรอยยิ้ม

“ไม่รู้ว่ายังมีตำแหน่งว่างอยู่รึเปล่า” ป้าหลี่กล่าว

“คุณแม่ออกตัวทั้งที ลุงสามจะไม่ยอมตกลงเชียวเหรอคะ?” ภรรยาของจี้เจี้ยนเหอยังคงยิ้ม

หล่อนเรียกขานตามลูกของหล่อน ดังนั้นจึงเรียกเขาว่าลุง จี้เจี้ยนอวิ๋นอาวุโสในลำดับที่ 3 หากจะเรียกว่าลุงสามก็ไม่ผิด 

ป้าหลี่อารมณ์ดีเมื่อนางได้รับคำชมจากสะใภ้รองของนาง จากนั้นจึงเดินออกไป

ขณะที่จี้เจี้ยนอวิ๋นกำลังออกมาเทน้ำ เขาก็พบกับนาง “คุณป้ามาแล้ว”

“เจี้ยนอวิ๋นกินข้าวหรือยังจ๊ะ?” ป้าหลี่ถามอย่างเป็นธรรมชาติราวกับว่านางไม่เคยพูดอะไรที่ไม่ดีเกี่ยวกับเขา

“กินแล้วครับ เข้าไปข้างในกันเถอะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว

ป้าหลี่เข้ามาในห้องโถง ขณะที่ซูตานหงกำลังปักผ้าอยู่

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จี้เจี้ยนอวิ๋นเริ่มว่างงาน ซูตานหงจึงยกหน้าที่เลี้ยงลูกให้เขา และเริ่มหยิบสะดึงขึ้นมาทำงานปัก เพราะเธอไม่สามารถละทิ้งงานนี้ไปได้

“คุณป้า” เมื่อซูตานหงเห็นเธอเดินเข้ามาก็ร้องเรียก “เจี้ยนอวิ๋น รินชาเก๋ากี้พุทราจีนให้คุณป้าดื่มสักแก้วสิคะ” เธอยังคงนั่งปักผ้าต่อโดยไม่ลุกขึ้น

ก่อนหน้านี้ป้าหลี่เองก็เคยมาดูงานปักของเธอ ได้ยินมาว่าชิ้นหนึ่งขายได้หลายร้อยหยวน ทำเอาหญิงชราถึงกับตาร้อน แล้วก็เข้ามานั่งดูด้วย แต่หลังจากนั่งดูอยู่สักพักก็เริ่มทนไม่ได้ ป้าหลี่ไม่สามารถทำงานนี้ได้จริง ๆ

ตอนนี้เมื่อเห็นเธอปักผ้า จึงเดินเข้ามาดู ซูตานหงกำลังปักลายหงส์มงคล ซึ่งส่วนหางหงส์นั้นงดงามราวกับมีชีวิต แม้ว่าดูจะยากเย็นอย่างที่ป้าหลี่เห็นแต่มันก็น่าอิจฉาไม่น้อย

ป้าหลี่ลืมแม้กระทั่งจุดประสงค์ในการมาที่นี่ “ตานหง ฝีมือของเธอเกินจะบรรยายจริง ๆ”

“ก็แค่พอหากินได้ค่ะ” ซูตานหงยิ้มอย่างถ่อมตัว

“งานปักลายนี้ ขายได้เงินเยอะเลยใช่ไหม?” ป้าหลี่ถาม

“ตอนนี้ขายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ค่ะ เมื่อก่อนชิ้นหนึ่งขายได้ 100 หยวน ตอนนี้เหลือแค่ 50 ถึง 60 หยวนเองค่ะ” ซูตานหงบอก

“50 ถึง 60 หยวนก็เยอะแล้ว” ป้าหลี่พูดขึ้นเมื่อได้ยินราคาที่เธอบอก คนทั่วไปต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะหาเงินได้ขนาดนี้ “ฉันได้ยินมาว่าเธอปักผ้าได้เดือนละ 2 ชิ้น หาเงินได้เดือนละ 100 หยวนแหน่ะ”  

“นั่นมันตอนก่อนคลอดลูกค่ะ ตอนนี้มีลูกแล้วเอวไม่ค่อยดีเลยนั่งนานไม่ได้ เดือนหนึ่งปักได้ 1 ชิ้นก็น่าทึ่งแล้วค่ะ คุณป้าดูเข็มกับด้ายนี่สิคะ มีอันไหนไม่ยุ่งเหยิงบ้าง? ถ้าไม่ใช่เพราะเจี้ยนอวิ๋นยังขาดเงินอีกกว่า 2,000 หยวน ฉันก็คงไม่อยากทำงานยาก ๆ ขนาดนี้เพื่อหาเงินหรอกค่ะ”