ซุนจวิ้นอ๋องปวดแปลบศีรษะ ปกติเขาอยู่อย่างสุขสบาย ใช้ชีวิตอย่างผู้สูงศักดิ์ที่ไม่แปดเปื้อนมลภาวะ ไหนเลยจะเคยเห็นเหตุการณ์เลือดสาดที่สยดสยองเช่นนี้ จึงตัวสั่งงันงก
และพอเห็นนักฆ่าก้าวเข้ามาหาตน ก็ตกใจแทบสิ้นสติ เกือบจะทรุดลงตรงนั้น
“ซย่าโหวซื่อยวน! ไปตายซะบิดาเจ้า!”
ด้านหนึ่งแผดเสียงด่าว่าราชวงศ์ซย่าโหวเสียๆ หายๆ อีกด้านหนึ่งก็ก้าวเท้าวิ่งไปยังถนนที่อยู่ด้านหน้า คิดว่าถ้าวิ่งไปถึงถนนใหญ่ก็ต้องมีคน นักฆ่าต้องไม่กล้าลงมือพร่ำเพรื่อตอนกลางวันแสกๆ แน่
อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงแล้ว!
ซุนจวิ้นอ๋องได้แต่แค้นใจที่บิดามารดาของตนมิได้ให้ตนเกิดมามีสี่เท้า ตอนนี้ตนจึงต้องวิ่งจนเท้าขวิด รองเท้าหลุดไปข้างหนึ่ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องวิ่งต่อ
นักฆ่าวิ่งตามมาได้ครึ่งทาง พอเห็นร่างเล็กๆ ของซุนจวิ้นอ๋องยืนหยัดวิ่งไปจนถึงถนนใหญ่ ก่อนเลี้ยวจนไม่เห็นเงาคน ก็ดึงผ้าปิดหน้าออก แล้วหัวเราะเสียงดังอยู่สักพัก ค่อยเดินกลับไปที่รถม้า
ผ่านไปไม่นาน เฉียวเวยที่ไร้ศีรษะก็จับคานรถม้า พยุงตัวให้ลุกขึ้นยืน แล้วโผล่ศีรษะออกจากคอเสื้อ
“เกือบทำให้ข้าหายใจไม่ออกแล้วไหมล่ะ!”
เขาพูดละล่ำละลัก พลางถอดชุดยาวออก พอเปิดเสื้อขึ้น เลือดไก่ที่ยังเหลืออยู่ในถุงที่ถูกแทงขาดก็ไหลพรวดพราดลงบนพื้น ปะปนไปกับเลือดสดๆ ที่ไหลออกมามากมายเมื่อครู่ ดูไปแล้วก็คือภาพโลหิตไหลนองเป็นสายน้ำนี่เอง ซึ่งสามารถทำให้คนเห็นแล้วตกใจ นึกว่าเกิดเหตุฆาตกรรมกันขึ้นจริงๆ
“เจ้าหายใจไม่ออก? แต่ข้านี่สิ ถูกเจ้าชกจะๆ ไปหลายหมัด จนไส้แทบแตก แค่เล่นละคร ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันรุนแรงขนาดนี้ด้วย” ชายฉกรรจ์ลูบท้องไปมา พลางแยกเขี้ยวใส่
เฉียวเวยไม่ยอมแพ้ จึงโต้กลับ “ข้าก็เครียดไม่เบานาพี่ใหญ่ ตอนดาบท่านฟันลงมา ข้าก็ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวว่าผู้สูงอายุจะเล็งถุงเลือดผิดตำแหน่งน่ะ!”
ทั้งสองพูดไปหัวเราะไป กวนกันไปกวนกันมา แล้วชายฉกรรจ์ก็ยกแตงโมลูกใหญ่หุ้มหนังสัตว์ที่ใช้เป็นศีรษะปลอมขึ้นเตะออกไปไกล จากนั้นทั้งสองค่อยขึ้นรถม้า เงื้อแส้ฟาด บังคับม้ากลับสวนซิ่ง รายงานเหตุการณ์ให้นายฟัง
ในสวนซิ่ง พอฟังรายงานจากเฉียวเวยกับชายฉกรรจ์จบ เยี่ยนอ๋องซื่อหนิงก็ตบโต๊ะ ก่อนหัวเราะออกมา
“ดี! คราวนี้จะได้ดูซิว่า เจ้าขี้ขลาดนั่นรู้สึกถึงความกลัวหรือยัง ยังอยากเป็นเต่าหดหัวอยู่หรือไม่!”
“ครั้งนี้เราบีบให้ซุนจวิ้นอ๋องอับจนหนทาง ทำให้เขาตกใจกลัวจนสติแตก ขอเพียงเขายังอยากมีชีวิตอยู่ อย่าว่าแต่เว่ยอ๋องเลย ถึงเป็นผู้มีบารมีมากที่สุด เขาก็ต้องสู้อย่างสุดใจขาดดิ้น” เหยากวงเหย้าลูบคางขาวเนียนไปมา แล้วจึงหันหาอวิ๋นหว่านชิ่น
“กลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะ[1]ของชิ่นเอ๋อร์นี่ใช้ได้ทีเดียว”
ถ้าพูดว่าถอนฟืนใต้กระทะ มิสู้พูดว่าจับปลาในน้ำขุ่น[2]
เว่ยอ๋องพอดีวางยากับซุนจวิ้นอ๋องก่อน ตอนนี้พอซุนจวิ้นอ๋องตกใจจนขวัญเสีย ย่อมต้องเชื่อว่านักฆ่าเป็นผู้ที่เว่ยอ๋องส่งมา
“เข็มถ้าไม่ได้แทงถูกเนื้อก็จะไม่รู้สึกเจ็บ” อวิ๋นหว่านชิ่นกลอกตา “จวิ้นอ๋องเป็นคนรักสงบอยู่เป็นทุนเดิม ไม่ชอบทำอะไรให้เป็นเรื่องใหญ่ การถูกพิษในครั้งนี้ โชคดีที่รอดมาได้ โดยไม่ทุกข์ทรมานเท่าไหร่ จึงต้องให้เขาเห็นอะไรดีๆ ด้วยตนเอง จะได้หวาดกลัวขึ้นมา”
ดวงตาใสๆ ของเยี่ยนอ๋องซื่อหนิงกระพริบ “ครั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้คุณหนูอวิ๋นแล้ว ไม่รู้ว่าพี่สามจะตอบแทนอย่างไร”
อวิ๋นหว่านชิ่นเลิกคิ้วขึ้น “ท่านอ๋องอย่าได้เข้าใจผิด ข้าเพียงแต่เห็นแก่หน้าหมอหลวงเหยา คิดตอบแทนที่ท่านหมอรับเป็นศิษย์ จึงลองเสนอดูเท่านั้น”
นางไม่ได้อยากเข้าร่วมพรรคสามแปดเลย หนี้เสียของที่บ้านเพิ่งสะสางเสร็จ ทำใจให้โล่งขึ้นมาได้หน่อย จึงไม่อยากเข้าไปคลุกคลีตีโมงกับการแย่งชิงอำนาจ แย่งชิงความรัก ระหว่างองค์ชายด้วยกัน
เยี่ยนอ๋องยิ้มค้าง แต่รอยยิ้มที่มุมปากกลับมีความหมายลึกซึ้ง เขาไม่พูดมากอีก เพียงมองดูชายฉกรรจ์ข้างๆ เฉียวเวยที่กำลังลูบท้องไปมา ก่อนยิ้มแล้วว่า
“เจ้าไม่เป็นไรนะ ลูกน้องข้าคนนี้มีวรยุทธ์ ลงมือทีหนักหน่วงจริงๆ”
เหยากวงเหย้าหัวเราะ “ถ้ารู้สึกไม่สบาย ก็เข้าไปในห้อง ถอดเสื้อให้ข้าดู อย่าทำเป็นไม่เป็นไรล่ะ”
ชายฉกรรจ์แม้รูปร่างสูงใหญ่ แต่ตอนนี้กลับหน้าแดง ไม่ยอมให้สบประมาทอยู่บ้าง จึงเลิกลูบท้องทันที
“แค่ไม่กี่หมัดเอง จะเป็นอะไรได้อย่างไรกัน! หมอหลวงเหยาเห็นว่าข้าไม่ได้ออกรบมานาน มือไม้แข็งไปหมดล่ะสิ บอกกับท่าน ข้ายังฝึกหมัดมือหมัดเท้าอยู่ทุกวันนา”
อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินคำพูดนี้ ก็มีปฏิกิริยา เหยากวงเหย้าสังเกตเห็น จึงโบกมือให้เฉียวเวยกับชายฉกรรจ์กลับออกไป อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยถามอย่างแปลกใจ
“ชาวบ้านผู้นี้เคยรบในสนามรบมาก่อนหรือ”
เหยากวงเหย้ากลับไม่ปกปิด จิบน้ำชาคำหนึ่ง แล้วค่อยๆ เล่าให้ฟัง
“เขาคือเฉียนจื้อกวง จอหงวนฝ่ายบู๊ในรัชศกหนิงซีที่แปด เคยได้รับแต่งตั้งในท้องพระโรงให้เป็นข้าราชการด้านการทหารชั้นสี่ มีพรสวรรค์เรื่องขี่ม้ายิงธนูและพละกำลัง เคยดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้ากองปราบประจำเมืองหลวง รองผู้บัญชาการและผู้บัญชาการกองสรรพาวุธ ตำแหน่งสูงสุดที่ได้รับคือผู้บัญชาการสมรภูมิแนวหน้า อนาคตสดใส มีลูกน้องและแม่ทัพนายกองนับไม่ถ้วนรายล้อม”
พูดถึงตรงนี้ ก็ถอนหายใจเล็กน้อย “เสียดาย หลายปีก่อน โชคไม่ดี ป่วยเป็นโรคระบาด”
และแล้วก็เป็นอย่างที่ตนคิดไว้ หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านเร้นมังกรซ่อนพยัคฆ์จริงๆ
ฉินอ๋องให้พวกเขามาอยู่รวมกัน ก็น่าจะเป็นเพราะเห็นความสำคัญในสถานะของพวกเขา คิดคำนวณได้ลึกล้ำจริง
อวิ๋นหว่านชิ่นจิบน้ำชา กลับรู้สึกว่าน่าสนใจอยู่บ้าง ในหมู่บ้านยังมีคนเก่งด้านไหนอีก น้าอวี๋เป็นใครในจวนจิ่งหยางอ๋องกันแน่ เกิดอยากรู้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ขณะเดียวกัน ก็มีคนป่วยในหมู่บ้านมาพบหมอตามนัดสองคน เหยากวงเหย้าจึงขอตัวออกไปตรวจดูอาการพวกเขา อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าใกล้เวลาเย็นเต็มที จึงหยิบห่อยาขึ้น เตรียมลากลับ เยี่ยนอ๋องก็จะกลับจวนพอดี จึงนั่งรถม้าออกจากสวนซิ่งไปกับนาง
พอกลับถึงจวน อวิ๋นหว่านชิ่นก็คลี่ม้วนกระดาษของเหยากวงเหย้าออก เห็นตัวอักษรถี่ยิบ ส่วนใหญ่เป็นคำถามเกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพรแต่ละชนิด จึงยกพู่กันขึ้น เริ่มลงมือทำข้อสอบ
วันที่สอง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ส่งม้วนข้อสอบที่ทำเสร็จให้เมี่ยวเอ๋อร์ นำไปฝากไว้กับหงเยียนที่ร้านเซียงหยิงซิ่ว ตามที่ได้ตกลงกับเหยากวงเหย้าก่อนกลับบ้านเมื่อวาน โดยเขาจะส่งเด็กรับใช้ให้ไปเอาที่ร้านเอง ซึ่งต่อมาทั้งสองก็ได้ใช้ร้านเซียงหยิงซิ่วเป็นสถานที่รับส่งสิ่งของ
ด้านถงฮูหยิน หลังจากฝังเข็มและทานยาไปไม่กี่วัน สุขภาพก็ดีขึ้นเรื่อยๆ พอลงจากเตียงได้ก็เรียกลูกชายมาพบ แล้วกล่าวชมเชยฮุ่ยหลานที่หมู่นี้คอยดูแลนางอยู่ข้างกาย ซึ่งมีหรือที่อวิ๋นเสวียนฉั่งจะฟังความหมายของมารดาไม่ออก หลังจากผ่านเหตุการณ์วุ่นวายในบ้านมาครั้งหนึ่ง เขาไหนเลยจะกล้าขัดเจตนารมณ์ของมารดาอีก คืนนั้นจึงทำตามความต้องการของถงฮูหยิน ทำพิธีรับฮุ่ยหลานเข้าห้อง และอีกไม่กี่วันต่อมา ก็เลื่อนเป็นอนุ โดยให้อยู่ในเรือนฝั่งตรงข้าม เยื้องๆ กับเรือนตะวันตกของถงฮูหยิน
——
[1] ถอนฟืนใต้กระทะ บั่นทอนขวัญและกำลังใจของศัตรูให้ลดน้อยถอยลง โดยใช้วิธีอ่อนพิชิตแข็ง
[2] จับปลาในน้ำขุ่น ฉวยโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ขณะเกิดเหตุชุลมุน