ตอนที่ 98-3 จับปลาในน้ำขุ่น

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ก่อนหน้านี้อวิ๋นเสวียนฉั่งมิได้ประทับใจอะไรมากมายในตัวฮุ่ยหลาน ครั้งนี้ก็เพียงทำไปตามที่มารดาต้องการเท่านั้น แต่พอเห็นว่าฮุ่ยหลานเป็นคนซื่อ พูดจาตรงไปตรงมาจากใจจริง ไม่อ้อมค้อม มีคุณสมบัติอย่างที่สาวๆ ในเมืองไม่มีกัน จึงไม่รังเกียจ เพียงแต่ตอนนี้เขาติดเหลียนเหนียงหนึบดุจป้ายกาว สรุปแล้ว ถ้าให้เปรียบเทียบ ก็มักรู้สึกว่าฮุ่ยหลานแม้ดี แต่เหมือนท่อนไม้ไปหน่อย ไม่อ่อนโยนน่ารักแบบเหลียนเหนียง และมัดใจตนไม่เก่งเท่าเหลียนเหนียง จึงรู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่ตนยังคงชื่นชอบเหลียนเหนียงมากกว่า

 

 

ซึ่งฮุ่ยหลานเองก็ดูออกว่า อย่างไรท่านพี่ก็มีแนวโน้มไปทางคนที่เรือนเจี่ยวเยว์ แต่ก็มิได้คิดเล็กคิดน้อย หึงหวงขี้งอน และเที่ยวพูดจาไร้สาระ เพียงตั้งหน้าตั้งตาทำในสิ่งที่ควรทำไป ถ้าท่านพี่มา นางก็ปรนนิบัติอย่างดี ถ้าไม่มา นางก็ไปเยี่ยมเยียนเรือนตะวันตก แล้วกลับมานั่งเงียบๆ เย็บปักถักร้อยฆ่าเวลาไป 

 

 

เนื่องจากอวิ๋นเสวียนฉั่งเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้ากรมกลาโหม ตามหลักที่เคยปฏิบัติกันมานั้น พอทางกรมได้รับคำสั่งจากเบื้องบน ก็ต้องส่งช่างฝีมือมาต่อเติมจวนเจ้ากรมให้กว้างขวางขึ้น ซึ่งห้องโถงใหญ่และเรือนหลักของบ้านสกุลอวิ๋นก็ได้ตกแต่งใหม่มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่อวิ๋นเสวียนฉั่งต้องการแสดงความกตัญญู จึงบอกว่าตอนนี้มารดามาพักอาศัยในจวน อยากจะเชิญช่างฝีมือจากกรมโยธามาซ่อมแซมเรือนตะวันตกก่อน อาทิห้องโถง ห้องปีกข้าง เฉลียง ระเบียง ชานเรือนเป็นต้น เรือนน้อยของฮุ่ยหลานจึงพลอยได้รับอานิสงค์ไปด้วย ทำให้กลายเป็นเรือนอนุหลังบ้านที่ดูเก๋ไก๋มากที่สุดหลังหนึ่ง

 

 

วันที่สองที่ฮุ่ยหลานได้เลื่อนเป็นอนุ เหลียนเหนียงก็พาพี่ตงมายังเรือนตะวันตก ด้วยระหว่างที่หญิงชราป่วย นางไม่อยากพบหน้าตน อีกทั้งตนก็ไม่กล้าเข้ามารองรับอารมณ์และคำด่าจากนาง แต่ตอนนี้ หญิงชราหายป่วยแล้ว ตนก็ต้องเข้ามาเอาอกเอาใจหน่อย

 

 

ซึ่งตอนนี้ ถงฮูหยินกำลังนั่งอยู่ในห้องโถง พอดีฮุ่ยหลานมาเยี่ยม จึงกำลังรินน้ำชาให้หญิงชรา พลางพูดคุยสัพเพเหระกัน

 

 

พอเหลียนเหนียงก้าวเข้ามา ก็ค่อยๆ ย่อตัวลง แล้วเรียกผู้อาวุโส

 

 

ถงฮูหยินที่กำลังยิ้มตาหยีอย่างน่ารักน่าเอ็นดูอยู่กับฮุ่ยหลาน ก็เหมือนมะเขือยาวถูกเผา เย็นชาลงทันที

 

 

ซี่จู สาวใช้ข้างกายฮุ่ยหลาน ก็รีบเขยิบเข้ามาหานายตน ขมวดคิ้วพลางพูดเสียงเบา

 

 

“อนุรองนี่ เวลาที่ควรมาก็ไม่มา ตอนขาดคนดูแลผู้อาวุโส ก็ล้วนเป็นอนุสามที่วิ่งเข้าวิ่งออก ทว่านางกลับหลบอยู่ในเรือนเจี่ยวเยว์ พะเน้าพะนออยู่แต่กับนายท่าน ตอนนี้พอคลื่นลมสงบ ค่อยวิ่งมาร้องห่มร้องไห้ เหมือนคนในใต้หล้าติดค้างนางอย่างไรอย่างนั้น บ่าวว่า อนุสามไม่ได้ด้อยไปกว่าอนุรองเลย เพียงไม่ได้เสแสร้งเก่งแบบนางเท่านั้น ถ้าทำหน้าทำตาแบบนางได้ ไหนเลยจะไม่ชนะนางเล่า!”

 

 

ซี่จูเป็นสาวใช้ในบ้านสกุลอวิ๋นที่ขึ้นชื่อว่าปากจัด ขนาดฮุ่ยหลานที่เป็นนาย ก็ยังพูดได้ไม่เก่งเท่านาง และแม้ฮุ่ยหลานไม่ชอบการกระทำของเหลียนเหนียง แต่ในเมื่อตนเป็นอนุของบ้านสกุลอวิ๋นแล้ว ก็ควรเห็นแก่ความสามัคคีในบ้านเป็นสำคัญ ถึงตนเกลียดชังเหลียนเหนียงแค่ไหน ก็ต้องอดทนอดกลั้น จึงเพียงส่งสายตาให้ซี่จู

 

 

บอกนางว่าอย่าพูดอีก

 

 

พอเหลียนเหนียงเห็นท่าทีเย็นชาของถงฮูหยิน ก็จับมือพี่ตง แล้วโน้มตัวคุกเข่าลง พลางสะอึกสะอื้น

 

 

“หลายวันที่ผ่านมา เหลียนเหนียงเป็นต้นเหตุให้ผู้อาวุโสล้มป่วย ตอนผู้อาวุโสพักรักษาตัว เหลียนเหนียงก็เกรงว่า ถ้ามาให้เห็นหน้า ผู้อาวุโสจะไม่สบอารมณ์ จึงไม่กล้ามา ได้แต่เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าเรือนตะวันตกทุกวัน แค้นใจนัก ที่ตัวเองไม่สามารถแบ่งเบาภาระให้คุณหนูใหญ่ สะใภ้ใหญ่ และอนุสามได้ วันนี้พอได้ยินว่าผู้อาวุโสหายป่วย ลุกจากเตียงได้ จึงรีบมาทันที หวังว่าผู้อาวุโสจะให้อภัยเหลียนเหนียง”

 

 

พูดอย่างน้ำไหลไฟดับ พูดจนทำให้นกบนต้นไม้บินลงมาได้ มิน่าเล่า ถึงตอนนี้ลูกชายคนรองก็ยังทิ้งนาง

 

 

ไม่ลง กระทั่งขัดแย้งกับตนเพื่อนางอีก แม้ถงฮูหยินยังโกรธไม่หาย แต่พอได้ยินเสียงน้ำตาของสาวงามหยดแหมะ

 

 

ดุจน้ำฝนหยดลงบนดอกแพร์ สีหน้าก็มิได้ตึงเครียดเช่นก่อนหน้านี้อีก

 

 

มิใช่เพราะถงฮูหยินยอมให้เหลียนเหนียง แต่ในเมื่อลูกชายกำลังชอบพอนาง แล้วจำเป็นด้วยหรือที่ตนต้องเปิดศึกมีเรื่องมีราวกับนาง ทำให้ตนกับลูกชายเสียความรู้สึกต่อกันไปเปล่าๆ

 

 

เพราะอนุตัวกระจ้อยร่อยนางหนึ่ง ถึงกับทำลายความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก ได้ไม่คุ้มเสีย

 

 

นางก็เป็นแค่อนุที่เติบโตจากสมาคมม้าผอมเท่านั้น ถงฮูหยินไม่เชื่อว่าเจ้ารองจะชอบนางได้นาน พอคิดได้เช่นนี้ หนังตาก็กระตุก ยกชามกระเบื้องเคลือบลายนกหลากสีขึ้น จิบชาเถี่ยกวนอิน แล้วว่า

 

 

“ลุกขึ้นเถิด คุกเข่าร้องไห้แบบนี้ อยากให้เจ้ารองวิ่งมาเอาเรื่องข้า ชี้หน้าข้า หาว่าข้าตีเจ้าอีกหรือไง”

 

 

พอเหลียนเหนียงได้ยินเช่นนี้ ก็แตกตื่น กระวีกระวาดเช็ดน้ำตาให้แห้ง แล้วลุกขึ้นยืน แต่ยังคงก้มหน้า พลางว่า “วันนั้นท่านพี่ก็ใจร้อนไป ไม่ถามเรื่องราวให้กระจ่างก่อน”

 

 

ว่าแล้วก็หันกาย มองหน้าพี่ตง แล้วรีบเปลี่ยนสีหน้าขณะที่คนในห้องยังไม่ทันตั้งตัว จากนั้นก็ยกมือขาวๆเนียนๆ ขึ้น ‘เพี๊ยะ’ ตบหน้าสาวใช้คนสนิท ก่อนเอ็ด

 

 

“สมควรแล้วที่ผู้อาวุโสลงโทษข้า! ข้าบอกให้เจ้าไปเรียกคนรึ? ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าแตกตื่นไปเรียกท่านพี่มา ท่านพี่ก็ไม่ต้องเกือบล่วงเกินผู้อาวุโส ทำให้ผู้อาวุโสเข้าใจข้าผิด! เป็นเพราะบ่าวที่กลัวว่าใต้หล้าจะไม่เกิดเรื่องยุ่งวุ่นวายอย่างพวกเจ้าแท้ๆ ถึงได้ทำให้หลังบ้านเกิดความไม่สงบ!”

 

 

พี่ตงถูกตบจนได้ยินเสียงเวิ้งว้างสะท้อนไปมาในหู จึงรีบคุกเข่าลง แต่กลับไม่พูดร้องขอความเป็นธรรม ใช้มือจับใบหน้าที่บวมมาพลางร้องไห้

 

 

“ตอนนั้นบ่าวเห็นอนุรองบาดเจ็บที่แขน เลยกังวลใจขึ้นมา กลัวว่านายท่านจะโทษว่าบ่าวดูแลได้ไม่ดีพอ ขณะมึนงง จึงผลีผลามวิ่งไปเรียกนายท่านให้มาช่วยดับไฟ มิได้เจตนาทำให้นายท่านกับผู้อาวุโสมีปากเสียงกัน”

 

 

สีหน้าท่าทางของเหลียนเหนียงยังคงมีแววแค้นเคือง แค้นที่ตีเหล็กแล้วไม่กลายเป็นเหล็กกล้า จึงต้องสั่งสอนให้ถึงที่สุด

 

 

“เจ้าจะเรียกก็เรียกได้ แต่ตอนเล่าสถานการณ์ในเรือนตะวันตกให้ท่านพี่ฟัง เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรไป!

 

 

บอกว่าผู้อาวุโสตีข้า บอกว่าข้าถูกตีจนบาดเจ็บรึ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเจ้าสับสนจนเติมเชื้อฟืนลงไป ท่านพี่จะ

 

 

ขัดแย้งกับผู้อาวุโสได้อย่างไรกัน! เจ้านะเจ้า…ทำร้ายข้าไม่เบา!”

 

 

พี่ตงหยุดร้องไห้แล้วปาดน้ำตา “เป็นบ่าวเองที่พูดไม่เป็น บ่าวไม่ได้เรียนหนังสือมา จึงพูดจาเงอะๆ งะๆ บ่าวเป็นคนพูดตรงไปตรงมา อ้อมค้อมไม่เป็นมาแต่ไหนแต่ไร ตอนนั้นร้อนใจ หัวก็พลอยร้อนไปด้วย เห็นอะไรก็พูดไปตามนั้น ไม่คิดว่าต้องพูดให้สละสลวยหน่อย และไม่คิดว่าจะทำให้นายท่านเข้าใจผู้อาวุโสผิด ยิ่งคิดไม่ถึงว่าจะทำให้เรื่องบานปลายใหญ่โตถึงเพียงนี้!”

 

 

คนหนึ่งก็สั่งสอนอย่างเป็นธรรม อีกคนก็ยอมรับผิดอย่างละอายใจ ถงฮูหยินได้แต่นั่งมองสองนายบ่าวด้วยสายตาเย็นชา ไม่ส่งเสียงใดๆ

 

 

ฮุ่ยเหลานก็เพียงยืนเงียบๆ อยู่ด้านหลังหญิงชรา กลับเป็นซี่จูที่แอบขมวดคิ้วส่ายหน้า พลางคิด อนุรองนี่

 

 

กะโยนเรื่องทั้งหมดให้สาวใช้นี่เอง

 

 

ไม่เสียแรงที่พี่ตงติดตามเหลียนเหนียงมาได้ระยะหนึ่ง เรียนรู้ได้แต่เรื่องผิวๆ ไม่ได้เนื้อหาสาระอะไรเลย เล่นละครประสานเสียงเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย เข้าถึงบทบาทมาก ดูท่าก่อนมาที่นี่ ทั้งสองได้คิดคำนวณไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่แน่ว่าอาจซ้อมมาก่อนด้วยซ้ำ!

 

 

พอพี่ตงร้องไห้โขกศีรษะยอมรับผิดเสร็จ เหลียนเหนียงก็คุกเข่าลงอีกครั้ง แล้วหันหน้าหาถงฮูหยิน

 

 

“เมื่อบ่าวผิด อย่างไรก็เป็นที่เหลียนเหนียงสั่งสอนได้ไม่ดีพอ เหลียนเหนียงไม่อยากให้ผู้อาวุโสติดค้างในใจ ถ้าพี่ตงคนเดียว ไม่สามารถทำให้ผู้อาวุโสหายโกรธ ก็ขอให้ลงโทษเหลียนเหนียงไปทีเดียวพร้อมกัน!”