ผ่านไปพักหนึ่ง ถงฮูหยินจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบาและไม่หนัก
“ช่างเถอะ เมื่อต้นเหตุของเรื่องทุกอย่างล้วนเป็นเพราะอาตงทำไปโดยพลการ เล่าเรื่องไม่ชัดเจน เช่นนั้นก็ให้คนมาลากอาตงไปโบยที่ห้องบูชาบรรพชนก็แล้วกัน และก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก กว่าเรื่องจะสงบลงได้ ถ้าเอาแต่รื้อฟื้นก็ไม่จบไม่สิ้น คิดว่าบ้านสกุลอวิ๋นยังมีเรื่องน้อยไปหรือไง”
เหลียนเหนียงค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก จึงลุกขึ้นยืน แล้วตะโกนอย่างเฉียบขาด
“ใครก็ได้ ลากพี่ตงไปห้องบูชาบรรพชนที!”
มอมอรูปร่างกำยำคนหนึ่งจึงก้าวเข้ามา บอกให้บ่าวผู้ชายสองคนมาหิ้วปีกพี่ตงออกไป พี่ตงแม้หน้าตาตื่น แต่กลับกัดฟันแน่น เหมือนสมควรแล้วที่ตนได้รับโทษในครั้งนี้ จึงปล่อยให้คนมาเอาตัวไปโดยไม่เสียใจและไม่ปริปากบ่นใดๆ
เหลียนเหนียงหันไปยังประตู มองตามร่างพี่ตงจนเลี้ยวลับไปกับตา ค่อยหันกลับ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว พลางกัดริมฝีปากอย่างหวาดกลัว ก่อนพูดเสียงเบาประดุจยุงบิน
“นี่เป็นการลงโทษตามกฎบ้าน ตามที่ผู้อาวุโสเห็นชอบ ข้าจึงไม่กล้าเห็นแก่สาวใช้ตัวเอง ถ้านางถูกโบยจนสิ้นใจตายก็ต้องเป็นไปตามนั้น แต่ถ้าโชคดี รอดชีวิตมาได้ ข้าย่อมต้องสั่งสอนอย่างเคร่งครัด ไม่ให้นางทำผิดอีกเป็นอันขาด ยิ่งไม่ให้นางล่วงเกินผู้อาวุโสด้วย”
ถงฮูหยินเพิ่งหายป่วย หูจึงมีเสียงเวิ้งๆ ขึ้นมา และตอนนี้ก็รู้สึกล้า จึงโบกมือ ก่อนพูดเสียงเบา
“แล้วแต่เจ้าจะจัดการอย่างไร นางเป็นคนของเจ้า เจ้าดูแลให้ดีก็พอ”
เมื่อเหลียนเหนียงเห็นหญิงชรามีท่าทีเฉยๆ กับตน ก็ไม่แน่ใจว่านางคิดอย่างไรกันแน่ กลัวก็แต่ว่านางจะยังคงโกรธแค้นอะไรตนอยู่ ขณะคิดจะก้าวเข้าไป รินน้ำชา บีบนวด แล้วพูดจาดีๆ ด้วย ฮุ่ยหลานที่เงียบมาตลอดก็เห็นว่าหญิงชรามีสีหน้าอ่อนล้า จึงหันไปสบตากับหวงน้าสี่ แล้วทั้งสองก็ช่วยกันพยุงถงฮูหยินทั้งซ้ายและขวา ก่อนหันไปพูดกับซี่จูที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ซี่จู ไปที่ห้องครัวดูซิว่า ยาของผู้อาวุโสตุ๋นเสร็จหรือยัง ถ้าเสร็จแล้ว ก็ใช้พัดๆ ให้เย็นลงหน่อยค่อยยกมา…อ้อจริงสิ อย่าลืมแวะไปเอาผลไม้สดที่คุณหนูใหญ่ให้คนแช่อิ่มมาด้วยล่ะ โถใบที่เพิ่งปิดปากโถเมื่อวันก่อน นั่นน่ะสดใหม่ น่าจะได้ที่ละ”
ถงฮูหยินก็เหมือนคนส่วนใหญ่ ไม่ชอบทานของขม ทว่าขมเป็นยา และยาที่เหยากวงเหย้าจัดให้ก็ดื่มยากมากๆ หลังจากดื่มไปได้สองวัน กระเพาะของถงฮูหยินก็เหมือนถูกขูดน้ำมันออกไปชั้นหนึ่งก็ไม่ปาน บางครั้งทนรสขมไม่ไหว กรดไหลย้อนและอาเจียนออกมา
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงนำผลไม้สดมาราดน้ำผึ้ง โรยน้ำตาลและเกลือ แช่อิ่มไว้ในโถที่ปิดปากสนิท ใช้กลบรสขมของยา ทำให้น้ำลายสอได้ดีกว่าลูกกวาดเพียวๆ อีกทั้งยังช่วยในการย่อยด้วย ทุกครั้งที่ทานยา ก็ให้ฮุ่ยหลานนำออกมาให้ท่านย่าอมไว้ใต้ลิ้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถงฮูหยินก็ทานยาได้ง่ายกว่าเดิมมาก
ตอนนี้พอได้ยินเรื่องที่ฮุ่ยหลานกำชับ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยของถงฮูหยินก็ผ่อนคลายลง มีรอยยิ้มจริงใจขึ้นทันที
“เจ้ากับชิ่นเอ๋อร์ล้วนเป็นคนละเอียดอ่อน นอกจากน้าสี่แล้ว หลังบ้านก็ไม่มีใครรู้ใจคนแก่อย่างข้าไปกว่าพวกเจ้าอีก”
ฮุ่ยหลานได้แต่ก้มศีรษะลง ขานรับอย่างอ่อนน้อม
เหลียนเหนียงถูกฮุ่ยหลานขัดคอโดยไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ อีกทั้งยังได้ยินหญิงชราชมฮุ่ยหลานไม่ขาดปาก ก็รู้สึกแค้นใจจนจุกอก และพอเห็นถงฮูหยินไม่ได้คิดที่จะให้ตนดูแล ก็ได้แต่ถอยไปอยู่ด้านข้าง ก่อนประสานมือไว้ที่เอวข้างหนึ่ง พลางพูดอย่างนิ่มนวล
“เช่นนั้นเหลียนเหนียงก็ไม่รบกวนเวลาทานยาของผู้อาวุโสแล้ว”
ถงฮูหยินคร้านที่จะหันมอง เดินตามการพยุงของสองสาว กลับห้องนอนไปก่อน
เหตุการณ์ที่เรือนตะวันตกในวันนี้ พอเมี่ยวเอ๋อร์กลับถึงเรือนหยิงฝู ก็เล่าให้คุณหนูใหญ่ฟังอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ
อวิ๋นหว่านชิ่นฟังพลางครุ่นคิดโดยไม่รู้ตัว อนุรองผู้นี้ใจใหญ่ ต้องการเป็นคนโปรดของบุรุษ และต้องการเรียกร้องให้ผู้อาวุโสสงสาร คิดควบคุมทุกอย่างไว้ในมือ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าบิดาจะแต่งอนุที่ร้ายกาจเช่นนี้เข้ามาได้ ซึ่งมีสิทธิที่จะกลายเป็นแบบไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่วันใดก็วันหนึ่ง
และตั้งแต่เยี่ยนอ๋องกับเหยากวงเหย้าปลอมตัวเป็นสามัญชนมารักษาโรคให้ถงฮูหยินที่บ้านสกุลอวิ๋น อวิ๋นเสวียนฉั่งไหนเลยยังจะมีจวนกุยเต๋อโหวอยู่ในหัวอกอีก
หนึ่งอ๋อง หนึ่งโหว ใครใหญ่กว่ากัน ใครสำคัญกว่ากัน คนโง่ก็ยังรู้ดี อวิ๋นเสวียนฉั่งคลุกคลีอยู่ในแวดวงขุนนาง เดิมทีก็เหมือนทำธุรกิจค้าขาย ผู้อุปถัมภ์อย่างเยี่ยนอ๋อง ย่อมใหญ่กว่าคุณชายบ้านท่านโหวเป็นไหนๆ จึงตัดสินใจได้ในทันทีว่า จะเก็บความคิดในการเจรจากับมู่หรงไท่เรื่องสู่ขอลูกสาวไว้ชั่วคราว
ในเมื่อเยี่ยนอ๋องดูเหมือนสนใจลูกสาว แล้วตนจะรีบร้อนไปใย
เช่นนี้ กับคนที่มู่หรงไท่ส่งมาสอบถามความคืบหน้าในแต่ละครั้ง อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงต้อนรับพอเป็นพิธี แสร้งทำเป็นใบ้ เลี่ยงที่จะพูดถึง จนมู่หรงไท่เต้นแร้งเต้นกาด้วยความร้อนใจ แต่ก็ไร้ซึ่งประโยชน์
ไม่ง่ายเลยที่อวิ๋นหว่านชิ่นจะทำให้ไฟที่มู่หรงไท่จุดขึ้น ดับมอดลง จึงรู้สึกตัวเบาขึ้นมาก เพียงแต่บิดายังไม่นิ่งนอนใจ ส่งคนมาสืบเรื่องเยี่ยนอ๋องกับตนอยู่เรื่อยๆ ประเดี๋ยวก็ถามว่าวันที่ไปส่งแขก เยี่ยนอ๋องกับนางคุยอะไรกัน ประเดี๋ยวก็ถามว่า หลังจากวันนั้นแล้ว เยี่ยนอ๋องมาหานางบ้างหรือเปล่า
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงได้แต่ตอบอ้ำๆ อึ้งๆ ไปทุกครั้ง ด้วยคร้านที่จะอธิบาย เมื่อกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิด ก็ปล่อยให้เรื่องเข้าใจผิดที่สวยงามนี้ดำเนินต่อ ใช้เยี่ยนอ๋องกั้นขวางพวกผีเสื้อบ้าผึ้งบอ แมลงวันชั่วและยุงร้าย ก็ไม่เลวอยู่เหมือนกัน
ด้านเหยากวงเหย้าก็ไม่มีเวลาพัก มัวแต่เห่อที่เพิ่งได้ลิ้มรสชีวิตของการมีลูกศิษย์เป็นของตัวเองเป็นครั้งแรก พอได้รับกระดาษคำตอบข้อสอบของศิษย์สาวนอกวัง ก็ประเมินระดับความรู้รอบตัวของนาง ด้วยต้องการดูว่านางมีพื้นฐานแค่ไหน ซึ่งก็โล่งใจมาก จึงจัดเตรียมหนังสือและบันทึกทางการแพทย์หลายเล่ม ให้คนส่งไปที่เซียงหยิงซิ่ว อีกทั้งยังคัดลอกข้อสอบกรณีศึกษาอีกหลายกรณีด้วยตนเอง บอกให้เมี่ยวเอ๋อร์มอบให้อวิ๋นหว่านชิ่น และถ้านางเขียนคำตอบเสร็จในเวลาที่กำหนด ก็ให้ฝากไว้ที่เซียงหยิงซิ่ว ดังนี้ จึงนับเป็นวิธีในการเรียนการสอนทางไกลอย่างหนึ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นเรียนด้วยตัวเองด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งก็ฟังรายงานผลประกอบการของร้านเซียงหยิงซิ่วจากหงเยียน เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ใกล้ถึงวันล้อมป่าฮู่หลงล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
ช่วงเวลาล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงที่อวิ๋นหว่านชิ่นนับวันให้มาถึงอย่างใจจดใจจ่อ
เพราะเป็นช่วงที่พระมาตุลาเจี่ยงต้องตามเสด็จออกนอกวังไปด้วยกัน และไม่กลับเข้าวังอีก โดยจะตรงไปบำเพ็ญเพียรในป่าเขาต่อ ซึ่งหลังจากนี้ตนไหนเลยจะได้พบกับเขาอีก
แต่ยิ่งใกล้ถึงวัน อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยิ่งกังวลว่า ทำอย่างไรตนจึงจะได้พบหน้าเจี่ยงยิ่นสักครั้ง!
ในวันล่าสัตว์ เจี่ยงยิ่นก็ต้องตามขบวนเกียรติยศเดินทางออกจากวังอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีองครักษ์เฝ้าระวังอย่างแน่นหนา กระทั่งแมลงวันยังบินผ่านไม่ได้ นางย่อมไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิด นั่นก็ได้แต่ฉวยโอกาสก่อนที่เขาจะออกจากวัง หาช่องทางเข้าพบแล้ว…แต่คิดหน้าคิดหลัง ก็ยังหาวิธีไม่ได้
สามวันก่อนจะถึงวันล่าสัตว์ วันนี้ หลังอาหารเที่ยง อวิ๋นหว่านชิ่นที่เตรียมรถม้าไว้พร้อม เสื้อผ้าก็เปลี่ยนเรียบร้อย กำลังจะไปออดอ้อนท่านย่าขอออกนอกจวน ไปบ้านท่านลุง ถ้าไม่ได้ ก็ได้แต่อาศัยบารมีของญาติผู้พี่ ขอร้องรัชทายาทสักครั้ง
ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นกับชูซย่าก้าวออกจากเรือน ยังไม่ทันไปเรือนตะวันตก บ่าวก็เข้ามารายงานว่า
“คุณหนูใหญ่ นายท่านกลับมาแล้ว กำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขก เรียกให้คุณหนูเข้าพบขอรับ”
ข้าราชการในราชสำนักเข้างานช่วงตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า เลิกงานช่วงบ่ายสามถึงห้าโมงเย็น บิดาเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่ง ต้องงานยุ่งมาก ตามปกติจะกลับบ้านช่วงห้าโมงถึงเจ็ดโมงเย็นทุกวัน วันนี้ทำไมถึงเลิกงานเช้าล่ะ
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกสงสัย จึงหันไปอีกทาง เดินไปห้องรับแขกพร้อมบ่าว