บทที่ 187 ดาบเลือดเดือด

ไหปีศาจ

บทที่ 187
ดาบเลือดเดือด

ในฐานะกองทัพที่ทรงพลังที่สุดในราชวงศ์มังกรเร้นกาย ทรัพยากรที่หน่วยสยบมังกรได้รับนั้นจึงต้องอยู่ในคุณภาพสูงสุด
ทรัพยากรทุกอย่างที่จัดเตรียมโดยราชวงศ์มังกรเร้นกายเกือบทั้งหมดเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ
เนื่องจากทางราชวงศ์และคฤหาสน์ชวนเทียน มีความสัมพันธ์แบบร่วมมือกันอย่างลึกซึ้ง ทุก ๆ ปีราชวงศ์จึงใช้งบประมาณมหาศาลเพื่อซื้อทรัพยากรในการฝึกฝนทุกอย่างมาจากคฤหาสน์ชวนเทียน
ในฐานะร้านค้าธุรกิจแห่งแรกของจักรวรรดิ คฤหาสน์ชวนเทียน นั้นย่อมเหนือกว่าร้านค้าธุรกิจอื่น ๆ

ฉูจงฉวนยักไหล่และไม่ได้สนใจ
แม้เขาจะไม่ได้เป็นสมาชิกของสำนักโล่พิทักษ์ แต่เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่เขาล้มเหลวในการโฆษณาสินค้าของลั่วอู๋
อย่างไรก็ตามคนในสำนักโล่พิทักษ์นั้นไม่พอใจมาก
เสี่ยวชาผู้ซึ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าของร้านกล่าวขึ้นมาว่า “ท่านลูกค้า สินค้าต่าง ๆ ในสำนักโล่พิทักษ์ ของเราเองก็ถือว่าเป็นอันดับต้น ๆ ของจักรวรรดิเช่นกันขอรับ”
“อย่างนั้นหรอกเหรอ ?” จี๋กุยเหลือบมองเขา สีหน้าของเขาดูไม่เชื่อเท่าไหร่
ร้านเล็ก ๆ ที่มียาระดับสูงสุดไม่เกินระดับเจ็ด ยังกล้าบอกว่าตัวเองเป็นอันดับต้น ๆ ของจักรวรรดิได้อีกงั้นเหรอ?
ท่าทีของจี๋กุยทำร้ายจิตใจผู้คนได้จริงๆ

“ท่านลูกค้าสามารถลองดูได้ขอรับ โล่คริสตัลของสำนักโล่พิทักษ์ของเรามีน้ำหนักเบาและสามารถพกพาได้สะดวก แต่ถึงกระนั้นก็มีพลังป้องกันที่น่าทึ่งและความสามารถในการเสริมพลังป้องกันที่แข็งแกร่ง”
เสี่ยวชารู้สึกภาคภูมิใจ
เขาส่งโล่คริสตัลให้กับอีกฝ่าย

จี๋กุยมองไปที่โล่แบบผ่าน ความประหลาดใจเล็กน้อยปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา จากนั้นเขาหยิบโล่คริสตัลขึ้นมาแล้วแตะเบา ๆ บนพื้นผิวของโล่
“แกร๊ก”
มีรอยแตกปรากฏขึ้นโล่
ทุกคนต่างประหลาดใจไปตาม ๆ กัน
โล่คริสตัลที่สามารถทนต่อการโจมตีของสัตว์วิญญาณระดับทองได้อย่างสบาย ๆ
แต่จี๋กุยทำลายโล่คริสตัลนั้นด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียว เขาแข็งแกร่งบ้าบออะไรได้ขนาดนี้

“การป้องกันก็ถือว่าไม่เลวเท่าไหร่ แต่มันก็ยังไม่ผ่านมาตรฐานของข้า มันเบาก็จริงแต่ข้าต้องการโล่ที่มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งกว่านี้” จี๋กุยกล่าวช้า ๆ
แม้ว่าโล่ที่หน่วยสยบมังกรใช้จะหนักกว่านี้มาก แต่การป้องกันของมันก็ดีกว่าโล่คริสตัล

ผู้คนในสำนักโล่พิทักษ์ต่างประหลาดใจไปตาม ๆ กัน
กองทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดนั้นมีทรัพยากรที่ดีพร้อมเยี่ยมยอดกว่าถึงขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ? ถึงขั้นที่แม้แต่โล่คริสตัลก็ยังไม่ผ่านเกณฑ์ของเขา
เสี่ยวชารู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อยและกล่าวแนะนำต่อ “ถ้าอย่างนั้นโปรดลองดูอาวุธลงตราของสำนักโล่พิทักษ์ ของเรา!ไหมขอรับ”
เพื่อดึงดูดธุรกิจเข้ามาในร้านค้าใหม่ ลั่วอู๋ได้ตัดสินใจขายอาวุธลงตราธาตุของเขา
แต่แน่นอนว่ามีแต่อาวุธลงตราวิญญาณระดับต่ำ
หากขายอาวุธลงตราที่แข็งแกร่งเกินไปนั้นจะเป็นภัยต่อพวกเขาเสียเปล่า ๆ
จี๋กุยหยิบดาบโลหะยาวขึ้นมาแล้วร้องอุทาน “มันคมจริง ๆ แต่ข้าก็สัมผัสได้ว่ามันมีพลังแปลก ๆ ติดอยู่ในตัวของดาบ ข้าเกรงว่าพลังนี้จะอยู่ไม่ได้นาน หลังจากใช้งานต่อเนื่องไปหลายครั้ง จากนั้นมันจะกลายเป็นดาบธรรมดา ซึ่งมีค่าไม่พอสำหรับกองทัพของเราที่อาจต้องรบอย่างต่อเนื่อง ”
จี๋กุยมีสายตาที่จริงจังและเฉียบคม
เขาสามารถเห็นข้อเสียของอาวุธลงตราได้ในพริบตา

“ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้าอย่าดูถูกอาวุธของหน่วยสยบมังกรไป อาวุธลงตรานี้แทบจะเทียบกับมันไม่ได้เลย” จี๋กุยกล่าว “อาวุธของหน่วยสยบมังกรทำจากวิชาหลอมศาสตราโบราณ แม้ว่าอาวุธของทหารธรรมดาทั่ว ๆ ไปในหน่วยก็ยังเป็นอาวุธที่มีความคมระดับที่ว่าสามารถตัดเหล็กได้เหมือนฟันโคลน”
คนในสำนักโล่พิทักษ์ รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

แม้แต่ทหารธรรมดาก็มีอาวุธครบมือ พวกเขาสามารถจินตนาการได้ในทันทีว่าทำไมหน่วยสยบมังกรนั้นถึงทรงพลังมาก
“อย่าเพิ่งเสียใจน่า อาวุธในสำนักโล่พิทักษ์ของเจ้าเองก็ยังถือว่าดีอยู่มาก หากเจ้าทำการค้าขายกับกองทัพอื่น ๆ พวกเขาคงจะสนใจมากเลยทีเดียว”
หลังจากจี๋กุยพูดจบเขาเตรียมที่จะเดินกลับไป

ทว่าทันใดนั้นดวงตาของเขาก็ถูกดึงดูดโดยบางสิ่งบางอย่าง
มันเป็นดาบยาวที่ถูกแขวนทิ้งไว้ด้านหลังโต๊ะแผงหลังสำหรับคิดเงิน ตัวดาบมีความยาวมากกว่าสามฟุต ใบมีดเป็นสีแดงราวกับว่ามันถูกย้อมด้วยเลือดของมนุษย์ มีร่องในที่จับ ซึ่งดูแปลก ๆ ผิดไปจากทั่วไป

“ดาบเล่มนั้นมัน … ” จี๋กุยหายใจหอบเล็กน้อย
“นั้นมันดาบเลือดเดือดไม่ใช่รึไงน่ะ!”
“เป็นไปได้ยังไงกัน วิธีการหลอมดาบนี้มันน่าจะสูญหายไปแล้วเมื่อหมื่นปีก่อนนี่นา”
“พระเจ้า ใครจะไปคิดว่าข้าจะได้เจอกับดาบเลือดเดือดในที่แบบนี้”
ผู้คนในสำนักโล่พิทักษ์ต่างก็ล้วนมองข้ามไป
พวกเขาส่วนใหญ่ไม่รู้ที่มาของดาบเล่มนี้
มีเพียงแค่ เสี่ยวชา, อาฟู และ มู่เถา เท่านั้นที่รู้
ในสมัยที่พวกเขายังเป็นแค่เพื่อนกันกับลั่วอู๋ นายน้อยก็นำดาบนี้เข้ามาในร้านและพูดว่าให้ลองเอาดาบขึ้นไปแขวนที่หลังโต๊ะคิดเงินดูว่าขายได้รึเปล่า
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครคิดจะซื้อดาบนี้เลย มันจึงแขวนอยู่ที่เดิมเสมอแม้จะเปลี่ยนร้านไปแล้วก็ตาม

“ข้าจะซื้อดาบเล่มนี้ แล้วข้าจะขอในจำนวนมากที่สุดเท่าที่พวกเจ้าจะให้ข้าซื้อได้” จี๋กุยเหมือนได้สัมผัสกับร่างกายคนรักของเขาในตอนที่ได้สัมผัสกับดาบเลือดเดือด เขาตื่นเต้นมาก
เสี่ยวชาเกาหัว “พอดีว่าพวกเรามีดาบนั้นเพียงแค่เล่มเดียวเนี่ยสิขอรับ”

“มีเพียงเล่มเดียวงั้นเหรอ?” จี๋กุยดูผิดหวังมากแล้วถามว่า “พวกเจ้าไปเอาดาบนี้มาจากที่ไหนกัน?”
เสี่ยวชาตอบไปว่า “นายน้อยของข้าเก็บมันขึ้นมาได้ขอรับ…”
“เก็บมันขึ้นมาได้?” จี๋กุยตกตะลึงในทันที
เก็บมันขึ้นมาได้งั้นเหรอ ? มันไม่ใช่อะไรที่จะสามารถหยิบขึ้นมาได้จากข้างทางนะ? นี่มันคือดาบเลือดเดือด หากมันถูกทิ้งไว้ข้างทางจริงมันก็เป็นของเก่าแก่มาตั้งแต่หมื่นกว่าปีก่อน แต่นี่ดูเหมือนว่ามันเพิ่งถูกหลอมขึ้นมาไม่ถึงปีด้วยซ้ำ
“เรียกนายน้อยของเจ้าออกมาที ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเขา” จี๋กุยถือดาบเลือดเดือดไว้ในมือแน่นและล้มเลิกความคิดที่จะเดินออกไปจากสำนักโล่พิทักษ์
……
……

หลังสำนักโล่พิทักษ์ปิดทำการ

ลั่วอู๋นั้นไม่ได้ปรากฏตัวออกไปข้างนอกแต่อย่างใด เขาได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้หลังคาด้านหลัง
แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่หน้าร้าน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ยังคงมาถึงหูของลั่วอู๋ผ่านการรายงานของไร้หน้า

เขาแปลกใจมาก
การปรากฏตัวของจี๋กุย รองผู้บัญชาการหน่วยสยบมังกรเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิด
มันเป็นเรื่องที่เขาไม่ได้คาดคิดเลยจริง ๆ ว่ามังกรกระดูกผีที่เขาสังเคราะห์ขึ้นมาจะไปโจมตีหน่วยสยบมังกรและนำหายนะมาสู่ชีวิตของเขา
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือตัวตนของหลงเซี่ย
อดีตผู้บัญชาการของหน่วยสยบมังกร?

ตัวตนของเฉินซังเทียนและเฉินหมิงหยู่เป็นใครกันแน่ ทำไมพวกเขาถึงได้รับความคุ้มครองจากเขาคนนั้น?
จี๋กุยถูกนำมาหาลั่วอู๋โดยไร้หน้า

“เจ้าน่ะหรือคือลั่วอู๋” จี๋กุยมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าเขา เขาได้แต่งงงวยว่าทำไมชายคนนี้ถึงมีไมตรีกับอดีตผู้บัญชาการ?
ลั่วอู๋เหลือบมองไปที่เขาและไม่ได้ตอบคำถามกลับไป

“ต้นกำเนิดของดาบเลือดเดือดเล่มนี้คืออะไรกันแน่ ? มันเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่ความสนใจของท่านรองผู้บัญชาการจี๋กุยยิ่งกว่าอาวุธลงตราของข้าอีกงั้นเหรอ ? ข้าไม่คิดว่าคุณภาพของดาบเลือดเดือดจะดีไปกว่าอาวุธลงตราวิญญาณของข้าหรอกนะ” ลั่วอู๋ถามอย่างแผ่วเบา
เขาอยากรู้จริง ๆ
ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครคิดจะซื้อดาบเลือดเดือดเลย เพราะแม้ว่ามันจะดูดุร้าย แต่คุณภาพของมันก็ดูธรรมดามาก
จี๋กุยพยายามสงบจิตใจของเขามั่นคงแล้วอธิบาย “นี่เป็นดาบมนตราชนิดหนึ่งที่สร้างขึ้นด้วยวิธีอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร แต่ซึ่งวิธีการหลอมดาบเล่มนี้นั้นก็ได้สูญหายไปนานกว่าหมื่นปีแล้ว ข้าเคยได้เรียนรู้ถึงการมีอยู่ของดาบมนตราชนิดนี้โดยบังเอิญจากผู้บัญชาการคนปัจจุบัน”
จี๋กุยส่งดาบเลือดเดือดให้ลั่วอู๋อย่างเคร่งขรึมจากนั้นยื่นมือของเขาออกไป “เจ้าลองฟันดาบลงมาที่มือของข้าดูสิ”
“จะดีเหรอ?” ลั่วอู๋รู้สึกประหลาดใจ
จี๋กุยไม่สนใจและกล่าวต่อไป “ไม่ต้องกังวลนะ เจ้าก็แค่ปาดมันลงมาเล็ก ๆ น้อย ๆ ”
ลั่วอู๋ถือดาบด้วยความงุนงงเล็กน้อยจากนั้นก็ปาดไปที่ฝ่ามือของจี๋กุย

แต่เขาก็ต้องฟันลงไปมากกว่าหนึ่งครั้ง
เขาอับอายมากกับความแข็งแกร่งของตัวเขาเอง ความแข็งแกร่งทางกายภาพของจี๋กุยนั้นทรงพลังเกินไป
ลั่วอู๋เสริมความพลังวิญญาณไปที่แขนของเขาและในที่สุดสามารถสร้างแผลเป็นเล็ก ๆ บนฝ่ามือของจี๋กุยได้สำเร็จ เลือดนั้นไหลออกมา แต่มันถูกดูดซับอย่างรวดเร็วโดยรางน้ำที่ใบดาบ

“อะไรกัน!” ลั่วอู๋ตกใจมาก
เพราะเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังวิญญาณบริสุทธิ์ได้หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาผ่านด้ามดาบเลือดเดือดเล่มนี้
พลังนี้มันน่าทึ่งมาก

ดูเหมือนว่ามันจะช่วยจะบรรเทาความเหนื่อยล้าทางร่างกายและเติมพลังวิญญาณในร่างกายให้กับเขาได้อย่างรวดเร็ว

“เจ้าเข้าใจแล้วรึยังล่ะ” จี๋กุยยิ้ม “นี่เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของดาบเลือดเดือด มันสามารถดูดเลือดของศัตรูและดึงกลับมาเพิ่มพลังให้กับผู้ใช้ได้ มันจะทำให้ผู้ใช้ทรงพลังขึ้นเรื่อย ๆ ในสงคราม”