บทที่ 51.2 เทียนเอ๋อร์ (2)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

ในเวลาเดียวกัน ทักษะทั้ง 2 ก็ได้ผสมผสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นทักษะคู่ของจักรพรรดิสีเงิน ทักษะเฉือนกระชากมิติ ซึ่งเป็นทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรพรรดิสีเงิน!

แน่นอนว่าทักษะที่โจวเหว่ยชิงปลดปล่อยออกมาย่อมเทียบไม่ได้กับเจ้าของอย่างจักรพรรดิสีเงิน เพราะถ้าจักรพรรดิสีเงินเป็นผู้ใช้ทักษะนี้ด้วยตัวเองก็น่าจะสามารถทำร้ายหมิงอู๋ได้อย่างสาหัส หรือแม้แต่อาจจะสังหารเขาได้ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยค้อนของโจวเหว่ยชิงก็เพิ่มพลังให้กับทักษะนี้ไปมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงพลังทำลายล้างดั้งเดิมของตัวค้อนเองเลยด้วยซ้ำ

แค่พลังที่ถูกใส่เพิ่มเข้ามาเพียงอย่างเดียว การโจมตีของโจวเหว่ยชิงครั้งนี้มีก็ประสิทธิภาพมากกว่าพลังปกติของเขาถึง 10 เท่า ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากดูดซับพลังของไข่มุกรัตติกาล พละกำลังของเด็กหนุ่มก็แข็งแกร่งกว่าจ้าวมณีสวรรค์ทั่วไปอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับพลังที่เพิ่มขึ้นมาอีก 10 เท่า! นอกจากนี้ทักษะเฉือนกระชากมิติที่น่าเกรงขามของจักรพรรดิสีเงินก็ยังได้รับการเสริมพลังด้วยค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนาน…การโจมตีครั้งนี้จึงมีอานุภาพร้ายแรงมากพอจะทำร้าย    หมิงอู๋ให้บาดเจ็บได้

ถึงกระนั้น หากไม่ใช่เพราะแผนการซับซ้อนของเขาส่งผลให้หมิงอู๋ประมาท และที่สำคัญที่สุดคือการปล่อยหมัดครั้งแรกของหมิงอู๋ การใช้พลังไปอย่างผิดพลาดจนเกือบจะทำร้ายตัวเอง หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็เป็นไปได้ว่าการโจมตีที่ทรงพลังนี้อาจถูกหมิงอู๋ขัดขวางเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย เพราะอย่างไรเสียความแตกต่างระหว่างระดับพลังปราณของคนทั้ง 2 ก็มากเกินไปอยู่ดี ทว่านั่นก็คือความงดงามที่แท้จริงของค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนานที่สามารถสับเปลี่ยนระหว่างของจริงและของปลอมได้ ขณะคนผู้หนึ่งถูกหลอกล่อให้ใช้พละกำลังของตนออกไปอย่างสูญเปล่า ค้อนอีกข้างก็จะโจมตีใส่พวกเขาอย่างรุนแรงแทน ในกรณีของหมิงอู๋ การสามารถฝืนขยับศีรษะให้หลบพ้นจากแรงปะทะได้เช่นนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นพลังที่แท้จริงของเขาเองที่ช่วยชีวิตตนเองเอาไว้

“ท่านพ่อ!!!” หมิงฮัวร้องเสียงหลง เธอรีบวิ่งเข้าไปในสนามต่อสู้ต่อหน้าของพวกเขา

โจวเหว่ยชิงไม่ได้พยายามที่จะหลบหนี เขารู้ชัดเจนว่าหนีไปก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี ตอนนี้เด็กหนุ่มรู้สึกเหนื่อยล้าไปทั้งร่างกายและจิตใจ ยิ่งไปกว่านั้นคือเขายังใช้พลังปราณสวรรค์ไปจนหมดแล้ว แม้แต่สถานะปีศาจกลายร่างของโจวเหว่ยชิงก็สลายไปเพราะไม่มีแรงเหลือเพียงพอจะคงรูปมันไว้ ลายเสือดำจึงค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ แค่นั้นก็สามารถบอกได้แล้วว่าเขาต้องแลกอะไรไปบ้างระหว่างการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ในแง่ของพลังงาน แต่ยังรวมถึงสภาพจิตใจด้วย

ความรู้สึกอ่อนเพลียอย่างรุนแรงตรงเข้าครอบงำจิตใจและร่างกายของเขา โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าข้างในจิตใจ เขาทรุดตัวลงกับพื้น แม้แต่จะรวบรวมกำลังลุกขึ้นก็ยังไม่อาจทำได้

ท้ายที่สุดเขาก็พ่ายแพ้เพราะพลังของพวกเขาแตกต่างกันมากเกินไป ขณะที่โจวเหว่ยชิงโจมตีใส่หมิงอู๋ครั้งสุดท้าย เขาก็รู้ได้ทันทีว่าการพยายามฆ่าหมิงอู๋นั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า เห็นได้ชัดว่าพลังการป้องกันของชุดศาสตรามณียุทธ์ 8 ชิ้นและพลังปราณสวรรค์ของอีกฝ่ายทรงอานุภาพมากเกินไป

ตอนนี้หัวใจของเขาจึงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เป็นเช่นนี้เองหรือ? นี่คือความแตกต่างระหว่างพลัง! เขาต้องถูกบังคับให้เข้าร่วมนิกายปีศาจสวรรค์ด้วยเหตุนี้เองหรือ?

*ตูม*! เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นร่างสีทองก็กระโจนขึ้นมาจากหลุมในสภาพมอมแมมไม่เรียบร้อย คนๆ นั้นคือหมิงอู๋ แต่ตอนนี้เขาดูไม่เหมือนกับคนก่อนหน้าที่เคยสุขุมและสงบเยือกเย็น แม้ว่าเขาจะยังคงสวมชุดศาสตรามณียุทธ์ แต่แสงของมันก็ริบหรี่ลงไปมาก เกราะไหล่ข้างขวาถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง บนนั้นปรากฏเป็นรอยแตกร้าวชัดเจนหลายจุด แขนขวาของเขาห้อยอยู่ด้านข้างอย่างไร้ประโยชน์ แม้ว่าการโจมตีครั้งก่อนหน้าของโจวเหว่ยชิงจะฆ่าเขาไม่สำเร็จ แต่ก็ยังสามารถทำลายกระดูกไหล่ของฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งหมด ถ้าไม่ใช่เพราะพลังที่แตกต่างกันมากเกินไป แม้ว่า  โจวเหว่ยชิงจะไม่ได้ฟาดโดนศีรษะของเขา การโจมตีครั้งนั้นก็อาจจะฆ่าเขาได้ด้วยซ้ำ

บัดนี้การแสดงออกบนใบหน้าของหมิงอู๋ดูน่าเกลียดมาก ท้ายที่สุดแล้ว ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 9 ดวงที่ต้องเผชิญหน้ากับจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ดวง การที่เขาจะได้รับบาดเจ็บหนักนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

หมิงอู๋ยกมือซ้ายขึ้น แสงสีเขียวที่ดูนุ่มนวลแต่ทว่าเข้มข้นก็ตรงเข้าไปปกคลุมไหล่ขวาเพื่อทำการฟื้นฟู อย่างไรเสียมณีธาตุของเขาก็คือธาตุชีวิตและธาตุปีศาจ แต่ถึงแม้จะมีทักษะธาตุชีวิตที่ทรงพลังเช่นนี้ มันก็ไม่ง่ายที่จะรักษาอาการบาดเจ็บที่ไหล่ขวา ค้อนคู่ในตำนานได้บดกระดูกไหล่ของเขาจนแหลก นั่นจึงเป็นสาเหตุให้มันไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้ง่ายๆ

“เด็กน้อย เจ้าช่างโหดเหี้ยมมากจริงๆ ไหล่ขวาของข้าถึงกับแตกเป็นเสี่ยงๆ เลยทีเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าข้าสามารถหลบได้ทัน สิ่งที่จะต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ ก็คงเป็นศีรษะของข้าแล้ว” หมิงอู๋พูดกับโจวเหว่ยชิงอย่างเย็นชา

เมื่อเห็นบิดาของตนได้รับบาดเจ็บสาหัส ดวงตาของหมิงฮัวก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “ข้าจะฆ่าเจ้า!” เธอร้องออกมาด้วยความโกรธขณะพุ่งเข้าใส่โจวเหว่ยชิง

อย่างไรก็ตาม เธอถูกหมิงอู๋หยุดเอาไว้อย่างรวดเร็ว เขารั้งเธอไว้ด้วยมือซ้าย จากนั้นจู่ๆ เขาก็เผยรอยยิ้มออกมา นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงที่ร่างกายเหนื่อยล้าเต็มทีเริ่มประหลาดใจ

“ท่านยิ้มทำไม?” โจวเหว่ยชิงถามอย่างสงสัย

หมิงอู๋ยิ้มและกล่าวว่า “เพราะข้ามั่นใจในตัวเองมากเกินไปและประเมินเจ้าต่ำไป เดิมทีข้าคิดว่าสามารถกำจัดเจ้าได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้ทักษะกักเก็บหรือศาสตรามณียุทธ์ ทว่าข้าก็ไม่คาดคิดมาก่อนเช่นกันว่าเจ้าจะสามารถหลอกล่อข้าได้เช่นนี้ ที่เจ้าโจมตีข้า ข้าจะถือว่านั่นไม่เป็นไรเพราะข้าสามารถรักษาบาดแผลได้ แต่ถ้าข้าพลาดคนที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเช่นเจ้าไป ข้าคงจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต ข้าทำลายคำสัญญา ส่วนเจ้าก็ทำลายไหล่ของข้า งั้นก็ถือว่าเราหายกัน ข้าจะไม่สู้กับเจ้าต่อเพราะเราจะต้องได้กลายเป็นสหายกันในอนาคตแน่นอน เจ้าเป็นเด็กหนุ่มที่ชาญฉลาด ข้าไม่จำเป็นต้องพูดมากกว่านี้แล้ว”

แม้ว่าหมิงอู๋จะโกรธที่ไหล่ของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่เขาเป็นใครกัน? เขาเป็นหนึ่งในผู้ทรงพลังอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อครุ่นคิดเรื่องราวที่เกิดต่อจากนี้ อารมณ์ของเขาก็ค่อยๆ ดีขึ้น ท้ายที่สุดแล้วยิ่งโจวเหว่ยชิงมีความสามารถมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งดีกับนิกายปีศาจสวรรค์ของเขามากเท่านั้น ไม่ว่าความสามารถของเขาจะน่าทึ่งแค่ไหน โจวเหว่ยชิงก็ยังคงต้องฝึกฝนอีกมากกว่าจะแข็งแกร่งเพียงพอ ก่อนหน้านี้ถ้าหมิงอู๋เอาจริงเอาจังอย่างเต็มที่ โจวเหว่ยชิงย่อมไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ขยับตัวทำอะไรด้วยซ้ำ เมื่อเขาผ่านพิธีสาบานตนของนิกายปีศาจสวรรค์แล้ว โจวเหว่ยชิงก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของนิกายของเขา หมิงอู๋พลันรู้สึกว่าบาดแผลของเขากลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปในทันที นอกจากนี้ หากสามารถชักนำโจวเหว่ยชิงเข้าไปในนิกายได้ ตำแหน่งของเขาจะก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่เขาชื่นชมเกี่ยวกับโจวเหว่ยชิงมากที่สุดไม่ใช่แค่พรสวรรค์เท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นคือความเฉลียวฉลาดและจิตใจที่แน่วแน่ของเขา การที่เด็กหนุ่มสามารถทำร้ายหมิงอู๋ได้ย่อมเป็นผลมาจากการวางแผนที่เกือบสมบูรณ์แบบของโจวเหว่ยชิง ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงการโจมตีครั้งสุดท้าย หมิงอู๋ไม่รู้สึกผิดปกติหรือรู้สึกถึงอันตรายใดๆ เลยแม้แต่น้อย…การทำเช่นนี้ได้จะต้องใช้สติปัญญาวางแผนอย่างล้ำลึกแค่ไหนกัน?

ริมฝีปากของโจวเหว่ยชิงอ้ากว้างพลางหอบหายใจเข้าลึก หลุมดำพลังปราณทั้ง 12 แห่งของเขากำลังหมุนวนด้วยความเร็วสูงสุด พยายามที่จะกู้คืนพลังสู่ร่างกายให้มากที่สุด ตอนนี้เด็กหนุ่มจึงไม่ได้กำลังอารมณ์ดีอยู่อย่างแน่นอน

โจวเหว่ยชิงรู้สึกพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง เขาไม่เหลือแผนการณ์ใดๆ ต่อจากนี้แล้ว ความเหนื่อยล้าและความรู้สึกมึนงงกำลังเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ นาที เขาอยากจะพยายามหนีให้มากกว่านี้ แต่ทว่าจิตใจอยาก แต่ร่างกายกลับไม่ตอบสนอง เด็กหนุ่มคิดว่าตนทำเต็มที่แล้ว ถึงขั้นนำทุกอย่างที่มีออกมาใช้ แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายผลลัพธ์ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

ความโกรธเกรี้ยวในดวงตาของหมิงฮัวลดลงอย่างช้าๆ เมื่อฟังคำพูดของบิดา อีกทั้งความประหลาดใจก็เพิ่มขึ้นมาด้วยเช่นกัน จู่ๆ ภาพลักษณ์ของโจวเหว่ยชิงในความคิดของเธอก็เปลี่ยนไป ตอนนี้อีกฝ่ายดูแตกต่างออกไปมาก เขาไม่ได้ทำหน้าตาน่ารังเกียจอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของเด็กหนุ่มตอนนี้ราบเรียบไร้ความรู้สึก ดวงตาของเขาสงบนิ่ง แต่ประกายในนั้นดูมืดครึ้มลงมากกว่าปกติ ใบหน้าของโจวเหว่ยชิงซีดเซียว แสดงให้เห็นชัดเจนว่าตอนนี้เขากำลังอ่อนแอแค่ไหน อย่างไรก็ตาม ในสภาพเช่นนี้ดูเหมือนว่าหน้ากากทั้งหมดของเขาถูกถอดออกไปแล้ว คล้ายกับว่าโจวเหว่ยชิงมีเสน่ห์แปลกๆ ที่ดึงดูดให้หมิงฮัวอยากเข้าหา

“ข้าไม่ได้แพ้ แต่ก็ยังแพ้อยู่ดี” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเฉยเมย มือของเขาทาบเข้ากับกำแพงเพื่อพยุงร่างของตนลุกขึ้น

หมิงอู๋มองโจวเหว่ยชิงด้วยความชื่นชมและพูดว่า “แน่นอนเจ้าไม่ได้แพ้ข้า ข้าคิดมาตลอดว่าลูกชายของข้าเป็นยอดคนอันดับต้นๆ ของเหล่าคนรุ่นเยาว์แล้ว แต่ตอนนี้เมื่อข้ามองเจ้า ข้าก็รู้ทันทีว่าคำโบราณพวกนั้นเป็นจริงแค่ไหน เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือสวรรค์ยังมีสวรรค์ หากวันหนึ่งเจ้ามีอำนาจมากกว่าข้า เจ้าย่อมสามารถฆ่าข้าเพื่อแก้แค้นในสิ่งที่ข้าทำกับเจ้าในวันนี้ได้ แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะอย่างไรข้าก็ปล่อยเจ้าไปไม่ได้ การปล่อยผู้มีความสามารถเช่นเจ้าไปถือว่าเป็นการละทิ้งอนาคตที่ยิ่งใหญ่ของนิกายของเรา”

“ย้อนกลับไปฟังคำพูดของท่านเองเถิด นิกายปีศาจสวรรค์คืออะไรกันแน่? คำพูดมากมายที่อ้างว่าตนไม่ได้ชั่วร้าย แต่ท้ายที่สุดการกระทำก็แสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของตัวเอง” ทันใดนั้นน้ำเสียงเยือกเย็นก็ดังขึ้นในอากาศ ดูเหมือนจะไม่ชัดเจนและไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ามันมาจากไหน

สีหน้าของหมิงอู๋เปลี่ยนไปทันที “นั่นใคร?!” เขาถามอย่างตื่นตระหนก ด้วยระดับพลังปราณของตน การที่เขาไม่สามารถตรวจพบบุคคลที่เข้าใกล้ได้นั้นน่าตกใจมาก ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าบุคคลนี้จะรู้ว่าเขาเป็นใครและรู้ระดับพลังของเขา แต่ก็ยังกล้าจะสอดปากขึ้นมา นั่นแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายมั่นใจแค่ไหน

หลังจากที่เสียงนั้นเปล่งคำถามออกมา สายตาของพวกเขาทั้ง 3 ก็ถูกดึงไปยังบริเวณข้างถนนราวกับถูกแม่เหล็กดึงดูด

ในยามค่ำคืนที่เงียบสงัด จู่ๆ ร่างที่เรืองรองไปด้วยแสงสีขาวระยิบระยับก็ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า แสงสีขาวนั้นดูบริสุทธิ์และเข้มข้นมาก ชุดสีขาว ผมสีขาว และรูปลักษณ์ที่งามพิสุทธิ์ ความขัดแย้งเพียงอย่างเดียวคือปอยผมสีน้ำเงินเข้มที่พาดอยู่ด้านข้างหน้าผากและดวงตาสีม่วงเข้มที่ส่องประกายระยิบระยับ ทำให้ภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันตาเห็น

นี่คือหญิงสาวที่ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบ โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะจ้องมองด้วยความงุนงง หากเปรียบเทียบในด้านรูปลักษณ์ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อาจเทียบกับอีกฝ่ายได้ แต่ผู้หญิงคนนี้กลับดูเหมือนจะมีกลิ่นอายและให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใคร ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่เขาเคยพบสามารถเทียบเคียงอีกฝ่ายได้เลย

แม้แต่หมิงอู๋ที่มีพลังแข็งแกร่งและนิสัยสุขุมนุ่มลึกก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองหญิงสาวในชุดคลุมสีขาวผู้นี้ตาเขม็ง สำหรับหมิงฮัว เธอเกือบจะต้องรู้สึกอับอายกับรูปลักษณ์ของตัวเองเมื่อเปรียบเทียบกับอีกฝ่าย

ราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขยับกายเลย แต่กลับสามารถมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาได้ ฉับพลันนั้น โจวเหว่ยชิงก็เหลือบไปเห็นหยกน้ำแข็ง 6 ดวงรอบข้อมือขวาของเธอ

จ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นสูงสุด!

นางเป็นใครกันแน่? เมื่อโจวเหว่ยชิงมองไปที่หญิงสาวชุดขาว เขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับอีกฝ่ายอย่างน่าประหลาด แต่ทว่าเขาก็แน่ใจว่าไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้มาก่อนแน่นอน อย่างไรก็ตาม จากคำพูดของเธอดูเหมือนว่าเธอมาที่นี่เพื่อช่วยเขา โจวเหว่ยจึงชิงปิดปากเงียบ ในสถานการณ์เช่นนี้ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเขา โจวเหว่ยชิงกำลังรอดูว่าสิ่งต่างๆ จะเป็นเช่นไรต่อไป

นอกจากมณีหยกน้ำแข็ง 6 ดวงแล้ว หญิงสาวในชุดคลุมสีขาวก็ไม่ได้ปกปิดมณีธาตุที่ข้อมือซ้ายของเธอ จริงๆแล้วมณีธาตุที่กำลังหมุนวนอยู่รอบๆ ข้อมือข้างนั้นคือไพฑูรย์ตาแมวสองสีจำนวน 6 ดวงซึ่งเป็นสีแดงกุหลาบระยิบระยับในยามค่ำคืน…เธอมีมณีแบบเดียวกับโจวเหว่ยชิง!

“เจ้าเป็นใคร?” หมิงอู๋ถามอีกครั้งอย่างเคร่งขรึม

หญิงสาวในชุดขาวพูดอย่างเฉยเมยด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและเย็นชา “ยอดเขาสูงสุดทิศเหนือ”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ใบหน้าของหมิงอู๋ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “ภูเขาหิมะสวรรค์?!”

…………………………………………