บทที่ 82

 

เธอจ้องหน้าเครย์ลีบัน ไม่แน่ใจว่านี่เธอฟังอะไรผิดไปหรือเปล่า

 

“ตอนที่แวะเข้าไปที่คฤหาสน์ครู่หนึ่งวันนี้ ได้ยินเรื่องแบบนั้นมาน่ะครับ”

 

“ได้ยินจากใครกันแน่คะ ข้อมูลนั่น”

 

“ได้ยินมาจาก…หัวหน้ากลุ่มการค้าลอมบาร์เดียครับ”

 

หากเป็นหัวหน้ากลุ่มการค้าลอมบาร์เดีย ก็หมายถึงโรมาเชีย ดิลลาร์ดซึ่งเป็นบิดาของเครย์ลีบันสินะ

 

อาจจะฟังดูน่าขำ แต่เขาไม่ใช่คนที่จะพูดล้อเล่นกับบุตรชาย

 

ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า แม้แต่ลอมบาร์เดียเองก็ยังได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเหมืองลีลาร์เช่นกัน

 

ฟีเรนเทียเริ่มขุดรื้อความทรงจำของตัวเองให้ละเอียดอีกครั้งแต่ไม่ว่าจะพยายามนึกยังไง ราคาประมูลในตอนนั้นก็เป็นสองพันเหรียญทองถูกต้องแล้ว

 

“เพื่อรักษาอำนาจผูกขาดแร่เหล็ก ลอมบาร์เดียย่อมไม่คิดตระหนี่เงินทองแน่ครับ ดังนั้นบางทีพวกเราอาจจะต้องเตรียมเงินให้มากกว่าที่คิดก็ได้ครับ”

 

เครย์ลีบันแนะนำด้วยใบหน้าจริงจัง

 

คำพูดของเขาเองก็ถูกต้อง

 

หากลอมบาร์เดียรู้เกี่ยวกับเหมืองแร่เหล็ก ย่อมมีโอกาสสูงมากที่จะลงทุนเงินประมาณห้าพันเหรียญทองในทันที เพื่อประมูลให้ชนะก็ได้

 

หรือเพราะเรื่องที่เธอทำลงไปพวกนั้น มันก่อให้เกิดปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก ทำให้จู่ๆ ตระกูลลอมบาร์เดียก็ยื่นมือเข้ามาร่วมการประมูลหรือเปล่า

 

แต่อัญมณีที่ฝังอยู่ข้างใต้นั้นก็มีค่ามากพอที่จะกว้านซื้อ ต่อให้ต้องใช้เงินถึงห้าพันเหรียญทองก็ตาม

 

ถ้าเคลื่อนไหวตั้งแต่ตอนนี้ การจะเตรียมเงินห้าพันเหรียญทองให้พร้อมทันวันประมูลก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

 

และเธอก็เงยหน้าขึ้นเมื่อนึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง

 

ถ้าหากในชีวิตก่อน ตระกูลลอมบาร์เดียเองก็เข้าร่วมการประมูลครั้งนี้ด้วยล่ะ

 

ฟีเรนเทียรู้สึกมึนไปหมด เหมือนกับข้างในหัวสมองมันมีความคิดพันกันยุ่งเหยิง เธอพยายามครุ่นคิดแล้วคิดอีกอย่างละเอียดถี่ถ้วน

 

พรึ่บ!

 

อะไรบางอย่างถูกวางลงบนหัวของเธอ

 

“…อะไรน่ะ”

 

ฟีเรนเทียลองยื่นมือไปสัมผัสของบนหัว มันเป็นของที่ให้สัมผัสเบาและนุ่มมาก

 

คนกำลังใช้ความคิดอย่างจริงจังอยู่แท้ๆ แล้วนี่มันอะไรล่ะเนี่ย

 

เพราะรู้สึกรำคาญเล็กน้อย เธอเลยถอดของที่สวมอยู่บนศีรษะออก ถึงได้พบว่ามันคือมงกุฎที่ทำจากดอกไม้สีขาว

 

“นี่ทำไม…”

 

“ข้าทำเองเลยนะ!”

 

เสียงใสอันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กตัวเล็กๆ ดังกระแทกแก้วหู

 

“เหมาะกับเทียสุดๆ ไปเลย!”

 

บนใบหน้าตกกระของเครนีย์แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง ในขณะที่ตะโกนเสียงดัง

 

อา ใช่แล้ว

 

ตอนนี้เธอกำลังออกมาชมดอกไม้อยู่นี่นะ

 

เธอมัวแต่ครุ่นคิดถึงบทสนทนาที่คุยกันในสำนักงานของร้านค้าเพลเลสเมื่อหลายวันก่อน ทำให้เผลอตกอยู่ในภวังค์ความคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ออกมาชมดอกไม้เนี่ยนะ

 

การเล่นบทเป็นเด็กอายุสิบเอ็ดขวบนี่ มันช่างเป็นเรื่องที่หนักหนาเสียจริง

 

“ใช่แล้วละ! เหมาะกับเทียจริงๆ!”

 

ลาลาเน่แย้มยิ้ม ในขณะเดียวกันก็ช่วยปัดเศษหญ้าสีเขียวออกจากมือเล็กของเครนีย์ไปด้วย

 

ตอนนี้พวกเราออกมายังทุ่งหญ้าในเขตคฤหาสน์ลอมบาร์เดียกันอยู่ ช่วงเวลาประมาณนี้ปกติแล้วดอกไม้จะบานอยู่เต็มทุ่งหญ้าเลยทีเดียว จึงได้พากันออกมาเล่น ถักแหวนดอกไม้ หรือไม่ก็นำดอกไม้พวกนั้นมาร้อยเป็นมงกุฎดอกไม้

 

มันเป็นหนึ่งในการเล่นสนุกของเด็กๆ ในยุคนี้ที่ไม่ค่อยมีอะไรให้ได้เล่นได้ทำกันหลากหลายเท่าไหร่นัก

 

“อา เหนื่อยจัง…”

 

เล่นบทเด็กเนี่ย

 

ในหัวสมองตอนนี้ก็พันกันยุ่งเหยิงไปหมด ทั้งเรื่องเหมืองลีลาร์ เรื่องอังเกนัส เรื่องลอมบาร์เดีย

 

ไหนจะต้องคำนวณให้ดีระหว่างเงินสองพันเหรียญทองกับเงินห้าพันเหรียญทองอีก

 

แต่ในความเป็นจริงกลับต้องมานั่งอยู่บนทุ่งหญ้า ชมนกชมไม้เสียได้

 

ช่องว่างระหว่างความกังวลกับความเป็นจริงที่กำลังทำอยู่ มันมากเสียจนทรมานใจจริงๆ

 

“เหมาะกับดอกไม้สีเหลืองมากเลย!”

 

“จริงด้วย”

 

“เพราะเทียสวยยังไงล่ะ!”

 

เครนีย์วางมงกุฎดอกไม้ชิ้นอื่นลงบนหัวของเธอตามอำเภอใจ แล้วก็ตบมือเสียงดังด้วยความชอบใจอีกรอบ

 

“เหมาะทุกอย่างแน่นอนอยู่แล้วสิ!”

 

“เครนีย์ชอบเทียมากเลยจริงๆ สินะเนี่ย”

 

ลาลาเน่ลูบผมสีแดงของเครนีย์พลางเอ่ยพูด

 

“อื้อ! ข้าจะแต่งงานกับพี่เทียละ!”

 

“อะไรนะ”

 

ลาลาเน่หันมามองเธอยิ้มๆ ด้วยนัยน์ตากลมโตกระจ่างใส หากมองเธอแบบนี้ หวังให้เธอมีปฏิกิริยากับคำพูดนั้นแบบไหนล่ะ

 

เฮ้อ

 

ฟีเรนเทียอยากจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ โยนความตั้งใจในการชมนกชมไม้นี่ทิ้ง แล้วล้มตัวนอนมันเสียตรงนี้แต่เพราะยังไงเธอก็ต้องปกป้องความใสบริสุทธิ์ของพวกเด็กๆ เอาไว้อยู่ดี

 

เธอตอบด้วยเสียงที่แม้แต่เธอฟังเองยังรู้สึกว่าเหมือนกับเครื่องจักร

 

“ว้าว ดีใจจัง”

 

แต่เครนีย์ที่กำลังตื่นเต้นสุดๆ เขากลับไม่ได้รู้สึกถึงอะไรแบบนั้นเลยสักนิด เด็กนั่นหัวเราะคิกคัก วิ่งออกไปบนทุ่งหญ้าอีกครั้ง พร้อมกับตะโกนเสียงดังปาวๆ ว่าจะไปทำแหวนดอกไม้มาให้เธอ

 

“เทีย มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

 

ลาลาเน่ช่วยหยิบเศษหญ้าที่เลอะติดแก้มเธอให้พลางเอ่ยถามขึ้น

 

เธอออกมาเที่ยวเล่นเพราะนี่เป็นเรื่องที่เด็กอายุสิบเอ็ดสมควรทำแต่ลาลาเน่มาเล่นด้วยกันก็เพื่อที่จะได้คอยช่วยดูแลเธอกับเครนีย์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ

 

ลาลาเน่เป็นคนที่มีจิตใจดีจริงๆ

 

“หืม? เปล่า ไม่มีเรื่องอะไรหรอก”

 

“สีหน้าดูไม่ค่อยดีตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้วนะ ถ้ามีเรื่องกลุ้มใจอะไร…ถึงข้าจะช่วยอะไรได้ไม่มากก็เถอะ”

 

ลาลาเย่ยิ้มอ่อนโยน

 

ในตอนนั้นเองสายลมก็พัดผ่านเข้ามาบนทุ่งหญ้าจากไกลๆ ทำให้เรือนผมสีน้ำตาลยาวสลวยน่ามองของลาลาเน่พลิ้วไปตามจังหวะสายลม

 

ถึงแม้เส้นผมที่หวีอย่างประณีตจะพันกันเล็กน้อยจนยุ่งเหยิง แต่ใบหน้ายิ้มแย้มที่หันไปรับสายลมที่พัดเข้ามานั่นกลับดูสดใสเป็นอย่างมาก

 

ใช่แล้วละ ลาลาเน่เป็นคนแบบนี้นี่นะ

 

พอนึกถึงลาลาเน่ในสมัยนั้นที่โอบกอดเพียงดอกไม้ช่อหนึ่งไว้บนหน้าอก เดินทางกลับมายังตระกูลด้วยร่างกายเย็นชืด หัวใจก็พลันรู้สึกเจ็บปวดไปหมด

 

เธอยิ้มพลางเอ่ยพูดกับลาลาเน่

 

“ไม่หรอก ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ไว้ถ้าข้ามีเรื่องกลุ้มใจ ถึงตอนนั้นช่วยรับฟังข้าทีนะ ลาลาเน่”

 

“อื้อ ได้เสมอเลย”

 

ลาลาเน่ดีใจกับคำพูดของเธอ