“เทีย! เทีย!”

 

เครนีย์ที่วิ่งไปเสียไกลวิ่งกลับมาด้วยใบหน้าร่าเริง

 

“เอามงกุฎดอกไม้ไปให้คิลลีวูกับเมโลนกันเถอะ!”

 

“ทำให้สองแฝดด้วยนี่เอง! เครนีย์ใจดีจังเลยนะ นี่ก็ถึงเวลาที่สองคนนั่นจะกลับบ้านหลังจากฝึกเสร็จพอดี เราไปกันเลยดีมั้ย”

 

“อื้อ!”

 

โล่งอกที่สถานที่ที่คู่สามีภริยาชานาเนสกับสองแฝดอาศัยอยู่ไม่ได้ไกลจากที่นี่เท่าไหร่นัก

 

เธอลุกขึ้นเดินตามหลังเครนีย์กับลาลาเน่ไป

 

โอ๊ย ปวดไปหมดทั้งตัว

 

เพราะนั่งเล่นอยู่บนพื้นทุ่งหญ้าแข็งๆ ตั้งหลายชั่วโมง ทำเอาปวดเมื่อยตามข้อต่อไปหมดเลย

 

ถึงแม้อายุจะอยู่ในช่วงที่ยังมีสปิริตสูงก็เถอะ แต่มันก็เป็นแบบนั้นไปแล้ว

 

“ข้าล้างมือให้เครนีย์ก่อน แล้วเดี๋ยวตามไปนะ เจ้าเอามงกุฎดอกไม้ล่วงหน้าไปก่อนเลย”

 

“อื้อ เข้าใจแล้ว”

 

ลาลาเน่กับเครนีย์จับมือกันเดินห่างออกไปเรื่อยๆ เธอเลยเดินมุ่งหน้าตรงไปยังห้องรับรองของสองแฝดคนเดียว

 

“ไม่มีใคร…”

 

ผลักประตูที่เปิดค้างไว้เดินเข้าไปหาคู่แฝด แต่กลับได้ยินเสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านใน

 

“…เหมืองถ่านหินลีลาร์…กำลังดำเนินการไปได้ด้วยดีตามที่คาดการณ์…”

 

เหมืองลีลาร์?

 

ฟีเรนเทียรีบซ่อนตัวหลังเสา จากนั้นก็พยายามเก็บซ่อนลมหายใจของตนให้แผ่วเบาที่สุด

 

‘คนแบบนี้เป็นหัวหน้ากลุ่มการค้าของอังเกนัสเนี่ยนะ’

 

เวสตินมองบุคคลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตน ในขณะที่ลอบยิ้มเยาะในใจ

 

คนคนนี้นอกจากเกิดในตระกูลที่ดีแล้ว ไม่ว่าจะด้านไหนๆ ก็ไม่มีด้านใดเลยที่ทำได้ดีกว่าเวสติน

 

เรื่องที่อีกฝ่ายทำได้ดี นอกจากเรื่องที่เกิดมาโดยมีสายเลือดของตระกูลชั้นสูงอย่างอังเกนัสแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีเลยแม้แต่เรื่องเดียว

 

หัวหน้ากลุ่มการค้าอย่างนั้นหรือ ช่างเป็นตำแหน่งที่มีค่าเกินกว่าจะได้รับจริงๆ

 

ทั้งลอมบาร์เดีย ทั้งอังเกนัส

 

พวกมันก็เป็นแค่พวกโง่เขลาที่ทุกคนประเมินค่าจนสูงเกินไปเท่านั้น

 

“ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจท่านชายนะครับ…”

 

“มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากจริงๆ แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ท่านนั้นเองก็ใส่ใจมากด้วยครับ”

 

เวสตินยิ้มเอาใจอีกฝ่ายพลางเอ่ยพูด

 

“วันจัดงานประมูลก็อย่างที่เคยแจ้งไปก่อนหน้านี้ครับ จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง”

 

“โล่งอกที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะครับ ถ้าอย่างนั้นราคาประมูลเองก็…”

 

“ไม่เปลี่ยนแปลงครับ ลอมบาร์เดียจะร่วมประมูลด้วยเงินจำนวนหนึ่งพันหกร้อยเหรียญทองตามที่สัญญาไว้ครับ”

 

หลังจากเรื่องนี้จบลง ฐานะของเขาคงจะเกิดปัญหาเล็กน้อย แต่เวสตินไม่คิดที่จะกังวลอะไรกับเรื่องนั้นมากนัก

 

ถึงยังไงเขาก็เป็นบุตรเขยเพียงคนเดียวของรูลลัก ลอมบาร์เดีย

 

รูลลักเป็นคนมีจุดอ่อนอยู่เรื่องหนึ่ง หากเป็นสมาชิกในครอบครัวแล้ว ชายชราจะไม่มีวันทิ้งขว้างอีกฝ่าย ทั้งยังคอยให้การคุ้มครองจนถึงที่สุด ดังนั้นเขาแค่แสร้งทำเป็นสำนึกผิดสักหลายเดือนหน่อยก็เพียงพอแล้ว

 

หากทำเช่นนั้น ตระกูลชูลส์ก็จะได้สัมปทานในการขุดเจาะเหมืองลีลาร์ ถือว่าไม่ได้เสียหายอะไรมากนัก

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราดิวรักแค่ประมูลด้วยราคาหนึ่งพันแปดร้อยเหรียญทองก็คงจะเพียงพอแล้วสินะ”

 

“ใช่แล้วละครับ อย่างที่ปรึกษากันไว้”

 

“ฮ่าฮ่า นี่มันช่างดีจริงๆ”

 

หัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักเกาศีรษะแกรกๆ หัวเราะด้วยใบหน้างุ่นง่าน

 

“ข้าเองก็แค่มาเพราะได้รับคำสั่งให้มาตรวจสอบสถานการณ์กับคุณชายเท่านั้นเองครับ น่าละอายใจจริงๆ เรื่องทุกอย่างก็ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรคแท้ๆ”

 

“ฮ่าๆ ชมกันเกินไปแล้วครับ แต่ก็อย่างที่บอกไป หวังว่าทางนั้นจะเชื่อใจและวางใจในตัวเวสติน ชูลส์คนนี้มากกว่านี้หน่อยนะครับ”

 

“นะ…นั่นสิ ข้าเองก็คิดเหมือนกัน ฮะฮะ”

 

หัวหน้ากลุ่มการค้าหลบสายตาอีกฝ่าย หัวเราะเสียงโง่เขลาตามความเคยชินที่ติดจนเป็นนิสัย

 

และเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงราวกับเป็นคนใจกว้างเสียเต็มประดา

 

“ไม่ต้องกังวลเรื่องสัมปทานขุดเจาะเหมืองแร่หรอกนะ หากพวกข้าชนะการประมูลเหมืองแร่ลีลาร์ละก็ มันจะกลายเป็นของตระกูลชูลส์ตามที่สัญญากันไว้”

 

แน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อนั่นเป็นเงื่อนไขของข้อตกลงนี่นา

 

เวสตินยิ้มกว้าง พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้หัวเราะเยาะหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรัก

 

“ข้าเชื่อในอังเกนัส…”

 

แกรก

 

เวสตินได้ยินเสียงที่แผ่วเบามากจนแทบไม่ได้ยิน

 

เขาหยุดพูดในทันทีนัยน์ตาแหลมคมดั่งนกฮูกเริ่มกวาดสายตามองสำรวจไปทั่วห้อง

 

เสียงหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดีบ้าบออะไรนั่น มันจางหายไปจนกลายเป็นเย็นชานานแล้ว

 

ในตอนนั้นเองเขาก็มองเห็นชายกระโปรงชุดเดรสสีฟ้าผลุบออกมาให้เห็นจากหลังเสาใกล้ๆ กับประตูเข้าออก

 

ตึก ตึก

 

เวสตินคว้าไหล่ของบุคคลตัวเล็กที่ซ่อนอยู่หลังเสาอย่างรุนแรง

 

สิ่งที่เขาคว้าติดมือออกมานั่นคือ เด็กผู้หญิงเจ้าของผมสีน้ำตาล สวมมงกุฎดอกไม้ที่ขนาดไม่ได้พอดีกับศีรษะเท่าไหร่นัก บุตรสาวของแคลอฮัน

 

“…เจ้า”

 

เวสตินตั้งใจจะลงมือสอบสวนด้วยใบหน้าขุ่นเคืองจนบิดเบี้ยวไม่น่ามอง

 

“คิลลีวูกับเมโลนอยู่มั้ยคะ เอามงกุฎดอกไม้มาให้น่ะค่ะ!”

 

ฟีเรนเทียชูมงกุฎดอกไม้สองชิ้นในมือ ในขณะที่ยิ้มกว้างด้วยใบหน้าสดใส

 

ให้ตายเถอะ โดนจับได้จนได้

 

เธอพยายามทำใจให้สงบ แสร้งยิ้มอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนมุมปากจะเอาแต่กระตุกไม่หยุด

 

เธออุตส่าห์อยู่เงียบๆ แล้วแท้ๆ นี่รู้ได้ยังไงกันเนี่ยว่าเธอซ่อนตัวอยู่ตรงนี้

 

ใบหน้าที่ดูใจดีเหมือนทุกวันนั่นหายไปแล้ว นัยน์ตาของเวสตินจ้องเธอเขม็งราวกับงูจงอางแผ่แม่เบี้ย

 

ใช่แล้ว นี่คือตัวตนที่แท้จริงของเขาสินะ

 

“เจ้าอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

“เพิ่งมาเมื่อครู่นี้เองค่ะ”

 

“ไม่เห็นจะได้ยินเสียงประตู”

 

“พอดีประตูเปิดอยู่ก็เลยเข้ามาน่ะค่ะ…ขอโทษค่ะ…”

 

เธอหดไหล่จนตัวลีบ แสร้งทำเป็นหวาดกลัว

 

ในตอนนั้นเองผู้ช่วยชีวิตของเธอก็เดินเข้ามา

 

“เทีย?”

 

เป็นลาลาเน่ที่จับมือเครนีย์เดินเข้ามานั่นเอง

 

“…ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ”

 

คงเพราะรู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวดูแปลกไป ลาลาเน่จึงหน้านิ่วลงเล็กน้อย

 

“เรื่องนั้น…”

 

“ไม่มีอะไรหรอก”

 

เวสตินปล่อยมือที่บีบไหล่เธอจนเจ็บออกพลางหัวเราะเสียงดัง

 

“ตายจริง แขกมาหลายคนเลยนะเนี่ย”

 

ชานาเนสปรากฏตัวขึ้นที่ทางเข้าออกที่อยู่อีกด้านของห้องรับรอง

 

“คุณก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอคะ ข้าเอาของว่างมาให้เทียกับพวกเด็กๆ พอดีเลย ให้เตรียมของคุณกับแขกด้วยมั้ยคะ…”

 

“ไม่ ไม่เป็นไรครับ พวกเรากำลังจะลุกกันพอดี”

 

เวสตินกลับมาเป็นคนเดิมเหมือนอย่างทุกวัน เขาตบไหล่หัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักพลางเอ่ยพูด

 

“วันนี้คงจะกลับดึกหน่อยนะครับ ไม่ต้องรอข้า เข้านอนก่อนได้เลยครับ”

 

เวสตินจุมพิตลงบนแก้มของชานาเนสอย่างอ่อนโยน แล้วเดินออกไปจากห้องรับรองในทันที

 

ฟีเรนเทียมองตามภาพด้านหลังท่าทางขลาดกลัวนั่นไป ก่อนจะหันกลับมามองชานาเนส

 

“สองแฝดยังไม่มาเลย…”

 

น้ำชากับขนมที่ชานาเนสยืนถืออยู่ยิ้มๆ มีเพียงแค่ส่วนสำหรับสองที่เท่านั้น ในถ้วยชาบนถาดที่ชานาเนสถืออยู่มีเศษใบชากระจายอยู่ทั่ว