ฟางเจิ้งเข้าใจแล้ว รู้สึกว่าเขาอ่อนโยนเกินไป!

เจ้าลิงพูดตัดรำคาญ “ตกลงนายยังมีข้าวปั้นนั่นอีกไหม? ถ้าไม่มีฉันจะไปละนะ! จริงๆ เลย ดึกดื่นป่านนี้ดันคิดถึงข้าวปั้นได้ นอนไม่หลับเลย”

ฟางเจิ้งกลอกตามองบน “ยังอยากกินอีก? ไม่มีแล้ว!”

“ไม่มีจริงๆ เหรอ?” เห็นได้ชัดว่าเจ้าลิงไม่เชื่อฟางเจิ้ง

ฟางเจิ้งมองแววตาชั่วช้าของลิงนั่น นึกอยากตบก้นมันให้เด้งขึ้นฟ้าจริงๆ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมพระยูไลถึงกำราบซุนหงอคง พวกลิงนี่ยั่วโมโหคนง่ายมากอย่างที่คิด

ฟางเจิ้งโบกๆ มือ “อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่มี นักบวชไม่พูดโกหก คนไม่โกหก จะหลอกลิงอย่างนายไปทำไม?”

“ขยะ ไม่มีแม้แต่ข้าวปั้น” เจ้าลิงพูดจบก็บิดก้นวิ่งจากไป

ฟางเจิ้งโกรธแล้ว อยากจะถอดรองเท้าเขวี้ยงไปจริงๆ ทำไมลิงนี่พูดจากวนโมโหนักนะ?

เมื่อกลับมาถึงกุฏิ ฟางเจิ้งขึ้นไปนอนบนเตียง หนึ่งคืนผ่านไปเงียบๆ

วันที่สอง ฟ้าสว่างเล็กน้อย ทั้งวัดเมฆาขาวคึกคักขึ้นมา เจ้าอาวาสและพระลูกวัดแต่ละวัดพากันเคลื่อนไหว ส่งเสียงตะโกน โหวกเหวกไม่ขาดสาย ดีที่ฟางเจิ้งชินกับการตื่นเช้าเลยไม่โกรธ แต่ออกไปช่วยงานแล้ว

จัดสถานที่พิธีสวดมนต์ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิเรียบร้อยนานแล้ว วันนี้เพียงแค่จัดวางแบบง่ายๆ เท่านั้น เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น ประตูใหญ่วัดเมฆาขาวเปิดออก

พริบตานั้นฟางเจิ้งอึ้งไป! เดิมทีคิดว่าตอนปีใหม่มีคนสองสามร้อยคนในวัดเอกดรรชนีก็โออ่ายิ่งใหญ่พอแล้ว แต่ตอนนี้เทียบกันไม่ได้เลย!

นอกประตูวัดเมฆาขาวมีเงาคนดำๆ ยืนซ้อนกันไม่รู้เท่าไร ประตูใหญ่เปิดออก หลั่งทะลักกันเข้ามาทั้งหมดภายใต้การนำของหลวงจีน! ตอนนี้เสียงผู้ชายคุยโม้ เสียงผู้หญิงพูดบ่น และเสียงเด็กร้องไห้ดังไม่ขาดสาย ในพื้นที่วุ่นวาย ทำเอาฟางเจิ้งหัวจะระเบิด!

ดีที่นักบวชวัดเมฆาขาวชินกับความวุ่นวายแบบนี้แล้ว แต่ละรูปต่างควบคุมสถานการณ์อย่างเป็นลำดับขั้นตอน แม้จะมีเสียงโวยวายแต่กลับไม่มั่วซั่ว ทุกอย่างเป็นไปตามลำดับ จุดนี้ฟางเจิ้งยังต้องเคารพ อย่างน้อยๆ เขาก็ทำไม่ได้ จึงปลงอนิจจังในใจอย่างอดไม่ไหว ‘สมกับเป็นวัดเมฆาขาว มีการจัดการที่ดีจริงๆ…’

ปากว่าแบบนี้ แต่นัยน์ตาฟางเจิ้งกลับฉายแววมั่นใจในตัวเอง ก่อนหน้านี้เขาไม่คิดว่าป้ายวัดเอกดรรชนีมีประโยชน์อะไร ตอนนี้มาเทียบกันแล้ว ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงประสิทธิภาพพิเศษจากป้ายวัด ทุกคนที่เข้าวัดจะได้รับผลจากป้ายวัด ไม่ว่าจิตใจจะกลัดกลุ้มแค่ไหนก็สงบลง ไม่ว่าจะฉุนเฉียวแค่ไหนจะสงบลง กระทั่งเกิดความเคารพยำเกรงต่อพุทธศาสนาเสี้ยวหนึ่ง

แน่นอนว่าผลแบบนี้มีขีดจำกัด ไม่ใช่ได้ผลแน่นอน ถ้าอีกฝ่ายไม่เชื่อพุทธศาสนาเลย มีนิสัยเกียจคร้าน หรือถูกคนมอมเมาให้ลุ่มหลง ผลก็จะไม่มากนัก

แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ป้ายวัดก็ลดปัญญาให้ฟางเจิ้งได้ไม่น้อย

‘ตอนนี้เครื่องใช้ในวัดต่างๆ ยังไม่ครบถ้วน ถ้าอนาคตมีครบแล้ว จะต้องเหนือกว่าวัดเมฆาขาวได้ง่ายๆ แน่’ เป็นครั้งแรกที่ฟางเจิ้งมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม!

นี่คือข้อดีของการออกมาข้างนอก ถ้าไม่เคยเห็นโลกก็จะไม่รู้ว่าตนแกร่งเพียงใดไปตลอดชีวิต ไม่มีวันรู้ว่าโลกข้างนอกใหญ่แค่ไหน

เดินผ่านประตูใหญ่วัดเมฆาขาวไปจะเป็นหอระฆังกับหอกลองแยกเป็นสองฝั่ง

เดินไปข้างในอีกจะเป็นลาน สองด้านของลานมีต้นสนใบพาย กิ่งไม้งอกงามใบไม้เขียวชอุ่ม ลำต้นใหญ่หนา ด้านบนแขวนป้ายไว้ อายุต้นไม้สูงถึงแปดสิบปี!

ตรงข้ามลานเป็นพระวิหารของวัดเมฆาขาว ในพระวิหารบูชาพุทธะตรีกาล ปากประตูวางกระถางทองสัมฤทธิ์ใบหนึ่งใบใหญ่ ในกระถางมีควันธูปลอยโชยขึ้นฟ้า…

อีกทั้งบนลานยังวางเบาะนั่งทรงกลมไว้เต็มไปหมด รอบๆ ขึงเชือกสีแดง ญาติโยมจะเข้าไปในเชือกสีแดงไม่ได้ ได้แต่มองอยู่ข้างนอกเท่านั้น

ฟางเจิ้งเดินวนรอบหนึ่งแล้ว ก็เห็นหลวงจีนรูปหนึ่งกำลังตะโกนชื่อของวัดใหญ่ต่างๆ ตะโกนถึงวัดไหนวัดนั้นก็จะเข้าไปในลาน แล้วนั่งตามตำแหน่งที่จัดไว้เมื่อสองวันก่อน ฟางเจิ้งเข้ามาใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เห็นอะไรสนุกๆ แล้ว

ตอนนี้เอง เสียงเณรรูปหนึ่งดังขึ้น “อารามไผ่ทอง!”

จากนั้นคนคุ้นเคยก็ปรากฎในสายตาฟางเจิ้ง นั่นคือหงจินคนที่ก่อนหน้าถามจี้เขา ฟางเจิ้งมีภาพจำที่ลึกซึ้งต่อหงจิน ปากบอกว่าเป็นไต้ซือ แต่ในใจไม่ใช่อย่างนั้น ก่อนหน้านี้หงจินเล่นงานเขาไม่น้อยและสร้างปัญหาให้ แน่นอนว่าต้องจำได้แม่น แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาแก้แค้น ฟางเจิ้งจึงได้แต่มอง

เวลานี้เอง เณรข้างๆ พลันเดินเข้ามาประนมสองมือให้ฟางเจิ้ง จากนั้นถามด้วยสีหน้าเคารพ “สวัสดีเจ้าอาวาสฟางเจิ้ง อาตมามีเรื่องหนึ่งที่ไม่รู้ ช่วยบอกทีได้ไหม?”

ฟางเจิ้งงงงัน มีหลวงจีนมาขอคำแนะนำจากเขา? เกรงว่าความรู้เขาคงจะสู้คนอื่นไม่ได้…ทว่าฟางเจิ้งก็ไม่ปฏิเสธ ดังนั้นจึงแสดงความเคารพกลับ ยิ้มตอบว่า “อมิตาพุทธ หลวงพี่ท่านนี้เกรงใจไปแล้ว อาตมาก็เดินบนเส้นทางหาความรู้เหมือนกัน มีหลายอย่างที่ไม่รู้ แต่ถ้าอาตมารู้จะบอกแน่นอน”

เณรอึ้งไป ไม่คิดเลยว่าหลวงพี่ฟางเจิ้งผู้สร้างปาฏิหาริย์ต้นกกข้ามฟากจะเป็นคนถ่อมตัวเหมือนที่เล่าลือกันจริงๆ ฉับพลันนั้นความตึงเครียดในใจคลายลงไม่น้อย เขาถามต่อ “เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ท่านดูอารามไผ่ทองสิ เห็นๆ อยู่ว่าเป็นผู้ชายทั้งหมด ทำไมถึงตั้งชื่อว่าอารามไผ่ทอง แต่ไม่ตั้งชื่อว่าวัดไผ่ทอง?”

ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นจึงถอนหายใจโล่งอกโดยพลัน เขารู้เรื่องนี้จริงๆ จึงยิ้มบอก “อมิตาพุทธ ศาลเจ้า วัด อาราม ผู้คนส่วนใหญ่เรียกรวมกัน แต่ความจริงแล้วต่างกัน ศาลเจ้าบูชาผีสางเทวดา วัดกับอารามบูชาเทพเจ้า พระโพธิสัตว์ แต่วัดกับอารามก็ต่างกันอีก

มองจากโครงสร้าง ในวัดจะมีอุโบสถ แต่อารามไม่มี ไม่ว่าจะสร้างใหญ่แค่ไหน ถ้าไม่มีอุโบสถนั่นไม่เรียกว่าวัด แน่นอนว่าตอนนี้มีบางแห่งที่ไม่ถือตามกฎข้อนี้แล้ว เลยแยกต่างหากไป

ถ้ามองจากมุมสมรรถนะ วัดเป็นที่ที่ให้นักบวชบำเพ็ญเพียร ใช้ชีวิต ให้ญาติโยมเข้ามาจุดธูป นักบวชเทศน์ให้ญาติโยมฟังและแก้ไขความทุกข์ยาก

แต่อารามเป็นที่ที่นักบวชบำเพ็ญเพียรอย่างแท้จริง ปกติห้ามคนนอกเข้าไป ดังนั้นภิกษุณีหรือแม่ชีนั้น ถึงยังไงก็เป็นผู้หญิง เพื่อไม่ให้เวลาบำเพ็ญเพียรถูกคนนอกรบกวน เหล่าภิกษุณีจึงมักจะอยู่ในอาราม พอนานเข้าทุกคนจึงคิดว่าอารามเป็นที่อยู่ของชี ฉะนั้นอารามไผ่ทองมีผู้ชายก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”

เณรได้ยินดังนั้นก็เข้าใจแจ่มแจ้ง รีบเอ่ยขอบคุณยกใหญ่ “ขอบคุณเจ้าอาวาสที่ไขปัญหาให้ครับ ขอถามเจ้าอาวาสหน่อยว่าในอวตังสกสูตร[1]…”

พอได้ยินว่าอวตังสกสูตร ฟางเจิ้งใจสั่น ไม่ต้องฟังก็มั่นใจว่าตอบไม่ได้ เขาไม่เคยอ่านมาก่อน! ขณะฟางเจิ้งกำลังตรึกตรองว่าจะถูไถไปยังไงนั้นเอง

“วัดเอกดรรชนี!” หลวงจีนที่อ่านชื่ออยู่ไกลๆ อ่านถึงวัดของฟางเจิ้งแล้ว ฟางเจิ้งถอนหายใจโล่งอกราวกับคนได้รับอภัยโทษ ทว่ากลับแสร้งทำหน้านิ่งยกมือขึ้นมาประนมให้เณร “อมิตาพุทธ อาตมาต้องไปก่อนแล้ว ถ้าเณรมีอะไรไม่เข้าใจก็ไปถามอาจารย์ของเณรได้ อาตมาเชื่อว่าท่านจะให้คำตอบที่น่าพอใจ”

พูดจบฟางเจิ้งก็รีบร้อนหนีไป

………………………………

[1] อวตังสกสูตร เป็นพระสูตรสำคัญของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน และถือเป็นพระสูตรที่มีขนาดยาวที่สุดสูตรหนึ่ง นิกายหัวเหยียนถือพระสูตรนี้เป็นหลัก มีคณาจารย์อธิบายหลักการอันลึกซึ้งมากมาย ทุกวันนี้นักวิชาการยกย่องให้เป็นหนึ่งในพระสูตรที่ลึกซึ้งที่สุดสูตรหนึ่งของพุทธศาสนา