ตอนที่ 152 งานใหญ่ที่เสื่อมลง

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

เณรมองเงาแผ่นหลังฟางเจิ้งด้วยอาการอึ้งเล็กน้อย จากนั้นยิ้มมุมปากบางๆ

ฟางเจิ้งเข้าประจำตำแหน่งแล้ว ที่เหลือไม่เกี่ยวกับเขาอีก เมื่อหลวงจีนไป๋อวิ๋นเจ้าอาวาสวัดเมฆาขาวขึ้นเวที กล่าวเปิดพิธีอะไรแล้ว ก็เริ่มพิธีสวดมนต์ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิอย่างเป็นทางการ!

โปรยกลีบดอกไม้ พรมน้ำมนต์ แสดงพระธรรม…

พิธีดำเนินมาจนถึงตอนกลางวัน จากนั้นวัดก็จัดเลี้ยง เชิญผู้คนรอบๆ มา…

ยามมองไปมีโต๊ะจัดวางไว้นอกวัด ญาติโยมที่มารับประทานอาหารมากันไม่ขาดสาย ปากประตูพระวิหาร อุโบสถกวนอิมและโถงพระอรหันต์เต็มไปด้วยควันธูป! หากมองไกลๆ จะเห็นควันลอยขึ้นฟ้า! เห็นความเรืองรองของแสงธูปกับความยิ่งใหญ่ของงานแล้ว ทำเอาฟางเจิ้งพูดไม่ออกด้วยความตกใจ แอบตัดสินใจภายในใจเงียบๆ ว่า ‘อนาคตวัดเอกดรรชนีจะต้องจัดพิธีใหญ่แบบนี้ให้ได้…ไม่ใช่ พิธีที่ใหญ่กว่านี้ต่างหาก!’

จนถึงเวลาบ่ายสามกว่า พิธีสวดมนต์ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิอันโอ่อ่าจบลง ญาติโยมก็เหนื่อยแล้ว จึงพากันแยกย้ายกลับไป

ช่วงบ่ายสี่โมงกว่า วัดเมฆาขาวปิดประตูใหญ่ แต่นักบวชทั้งหมดยังอยู่

ฟางเจิ้งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เดิมทีคิดจะสอบถามสักหน่อย กลับเห็นนัยน์ตานักบวชทั้งหมดฉายแววตื่นเต้น ขณะเดียวกันทุกคนต่างจริงจังไม่น้อยไปกว่าพิธีสวดมนต์เมื่อครู่เลย

‘หรือว่าจะมีรายการอื่น?’ ฟางเจิ้งพึมพำในใจ

บัดนี้เอง หลวงจีนหงเหยียนเดินมาอยู่ข้างฟางเจิ้ง นั่งขัดสมาธิลง ก่อนยิ้มกล่าว “เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง สงสัยอะไรหรือ?”

หลวงจีนหงเหยียนมาพอดี ด้วยความสงสัยเต็มอก ฟางเจิ้งเลยรีบถาม “เจ้าอาวาสหงเหยียน ดูจากท่าทีทุกคนแล้ว หรือว่าจะมีงานอะไรอีก? แล้วทำไมวัดเมฆาขาวถึงปิดประตูทั้งๆ ที่ยังไม่มืดล่ะ?”

หลวงจีนหงเหยียนยิ้ม “พิธีสวดมนต์อวยพรต้อนรับใบไม้ผมิจัดมาหลายปีแล้ว การอวยพรเป็นอย่างหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการแลกเปลี่ยนกันของทุกวัด หลังจากอวยพรให้ใต้ฟ้าแล้ว จะเป็นช่วงเวลาที่พวกเราสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กัน ดังนั้นเลยปิดประตูวัด ตั้งแต่ตอนที่ปิดประตูวัด ทั้งวัดจะมีเพียงนักบวช ไม่มีคนอื่นอีก”

ฟางเจิ้งเข้าใจชัดแจ้งแล้ว ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ เขาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “แล้วพิธีแลกเปลี่ยนนี่จะเริ่มยังไงครับ? แค่แลกเปลี่ยนกันตามใจชอบหรือว่ามีวิธีอื่นอีก?”

หลวงจีนหงเหยียนตอบ “นี่คืองานโต้วาทีของพระธรรม ทุกคนต่างแสดงความเห็นของตัวเอง แสดงความเข้าใจในพระธรรมของตน สนทนาแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน แบบนี้เรียกว่าร้อยสำนักประชันเสียง ร้อยบุปผาเบ่งบานประชัน หลังได้ประชันความคิดกันแล้วจะได้ตระหนักรู้มากมายเลย นี่เป็นสิ่งที่หลวงจีนไป๋อวิ๋นคาดหวัง แต่ว่า…มันก็มีผลด้านลบเช่นกัน วัดมากมายต่างคิดจะนำหลักการใหม่ๆ มาพูดในงานสนทนาแลกเปลี่ยน กดข่มอยู่เหนือคนอื่น คิดว่าเป็นวิธีสร้างชื่อเสียงให้กับวัดตัวเอง งานสนทนาแลกเปลี่ยนในสองปีมานี้จึงเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มมีคนจัดอันดับให้วัดใหญ่ อีกทั้งในทุกปีทุกคนจะไม่อภิปรายกันเรื่องพระธรรม แต่ประชันกันเรื่องจัดอันดับรายชื่อ เฮ้อ…เรื่องนี้หลวงจีนไป๋อวิ๋นเองก็คาดไม่ถึงในตอนแรกเหมือนกัน ตอนนี้กลายเป็นความเคยชินไปแล้ว อยากจะหยุดก็ไม่ได้แล้วล่ะ”

ฟางเจิ้งมองหลวงจีนหงเหยียนอย่างอึ้งๆ คาดไม่ถึงเลยว่าในแดนสนธยาพุทธศาสนาจะเกิดการแก่งแย่งทางโลกกันแบบนี้ แต่ฟางเจิ้งก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดี คนนี่น่ะ ที่ที่มีคนอยู่ต้องมีการแข่งขัน การจะให้คนเลิกแข่งกันก็เหมือนสงคราม ใครก็รู้ว่าการแข่งขันเป็นสิ่งไม่ดี แต่ต้องยอมรับว่าการแข่งขันเป็นสิ่งผลักดันให้มนุษย์ก้าวหน้าต่อไป! ตอนที่เทคโนโลยีข้าวของมากมายซึ่งผู้คนใช้ถูกสร้างออกมา ล้วนแต่มีการแข่งขันด้านการบริการกันทั้งนั้น

พุทธศาสนาก็เช่นกัน ถ้าทุกคนไม่แข่งขัน เอาแต่ตระหนักรู้ด้วยตัวเอง ไม่มีการประชันความคิด ไม่มีแรงบันดาลใจในการพัฒนาคอยค้ำจุน เกรงว่าคนส่วนใหญ่คงจะเข้าฌานอย่างสงบใจไม่ได้

แน่นอน นี่คือสิ่งที่ฟางเจิ้งคิด ไม่แน่ว่าจะถูกต้อง แต่อย่างน้อยเขาก็คิดว่ามันถูก เขาไม่บอกกับหลวงจีนหงเหยียน เพราะถ้าบอกไปจะถูกแย้งเอาได้ เขาไม่อยากโต้วาทีเรื่องประเภทนี้กับหลวงจีนหงเหยียน…

เห็นฟางเจิ้งเงียบไป หลวงจีนหงเหยียนคิดว่าฟางเจิ้งเห็นด้วยกับที่เขาพูด จึงส่ายหน้าเล็กน้อย “ช่างเรื่องนี้เถอะ พูดเรื่องต่อไปดีกว่า ช่วงสุดท้ายของงานแลกเปลี่ยนสนทนาจะเป็นการแสดงธรรมจากดาวเด่นในพุทธศาสนา ทุกปีจะคัดเลือกคนรุ่นเยาว์จากวัดใหญ่ต่างๆ โดยหลวงจีนไป๋อวิ๋น เลือกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดและอายุไม่เกินยี่สิบปีมาพูดอภิปรายแทนศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหมด ถือเป็นการบ่มเพาะศิษย์รุ่นเยาว์ก็ได้ แต่ว่าตอนนี้คนที่ขึ้นไปได้ล้วนเป็นผู้โดดเด่นในรุ่นเยาว์ ถ้าขึ้นไปเมื่อไร วัดตัวแทนจะมีชื่อเสียงตามไปด้วย นี่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงในตอนแรกเหมือนกัน”

ฟางเจิ้งส่ายหน้าเล็กน้อย ไม่สงสัยอะไรเลย หลวงจีนไป๋อวิ๋น หลวงจีนหงเหยียน ล้วนเป็นพระอาจารย์ที่บรรลุธรรมอย่างแท้จริง พวกเขาไม่แก่งแย่งชื่อเสียงและผลประโยชน์ แต่ต้องการแค่พัฒนาพระธรรมให้รุ่งเรือง สิ่งที่น่าเสียดายคือพวกเขาไม่เข้าใจสังคมสมัยนี้กับจิตใจคนมากเกินไป งานโต้วาทีครั้งนี้เดิมทีเป็นการแข่งขัน การแข่งขันมีแพ้มีชนะ พอมีแพ้ชนะก็มีการจัดอันดับเปรียบเทียบ ดังนั้นสุดท้ายแล้วจึงต้องกลายเป็นแบบนี้

ขณะเดียวกัน ฟางเจิ้งแค่ขบคิดเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไร

หลวงจีนไป๋อวิ๋นขึ้นไปกล่าวอีกครั้ง จากนั้นเข้าประเด็น โต้วาที!

ต่อมา เจ้าอาวาสจากวัดใหญ่ต่างๆ ขึ้นเวที บรรยายพระธรรมที่ตนเข้าใจ ทว่าไม่นานก็มีคนค้าน เริ่มสงครามน้ำลายกันระหว่างเจ้าอาวาสวัดกลุ่มใหญ่…

ฟางเจิ้งอ่านคัมภีร์มาไม่กี่ม้วน ในคำพูดเจ้าอาวาสบางคน สิบประโยคมีเก้าประโยคที่เขาฟังไม่เข้าใจ รู้สึกเหมือนฟังหนังสือที่เข้าใจยาก ประกอบกับคนเยอะมาก ฟางเจิ้งฟังสักครู่หนึ่งแล้วก็ฟังต่อไปไม่ไหว จึงแอบโดดหนีไป

ในที่สุด สองชั่วโมงต่อมาการโต้วาทีของเจ้าอาวาสก็จบลง นักบวชอ้วนผู้มีใบหน้าสุภาพอ่อนโยนรูปหนึ่งได้อันดับหนึ่ง เดินลงมาด้วยความดีใจยิ่ง

ตอนนี้เอง หลวงจีนไป๋อวิ๋นขึ้นเวทีอีกครั้ง พูดหลายประโยคแล้วก็เข้าประเด็นหลัก “ทุกท่าน ถึงช่วงเวลาที่ลูกศิษย์ในพุทธศาสนาจะกล่าวอภิปรายแล้ว ปีนี้มีคนลงชื่อคนเดียว นั่นคือหลวงพี่อี้หังจากอารามไผ่ทอง อาตมาเคยได้ยินการปฏิบัติธรรมของหลวงพี่อี้หังมานานแล้ว คิดว่าทุกคนท่านคงไม่แปลกตาเช่นกัน”

สิ้นเสียง ทุกคนมองไปยังอี้หังพร้อมกัน อี้หังมีสีหน้าถ่อมตัว ประนมสองมือแสดงความเคารพไปรอบๆ

ฟางเจิ้งมองตามสายตาทุกคนไปก็อึ้งทันที นี่มันเณรที่เพิ่งถามปัญหาเขานี่? เณรที่แม้แต่วัดกับอารามยังแยกไม่ออกเป็นดาวเด่นพุทธศาสนาที่พระธรรมลึกล้ำอย่างนั้นเหรอ?

ฟางเจิ้งพลันพบว่าเรื่องนี้เหมือนจะมีกลิ่นตุๆ เล็กน้อย เขาไม่รู้จริงๆ หรือว่าแสร้งถามเพื่อลองเชิง? แต่ลองเชิงเขาไปทำไม? เขาไม่รู้อะไรทั้งนั้นแค่แวะมานี่? หาประสบการณ์สักหน่อยก็พอ เสร็จงานก็กลับบ้านแล้ว

ขณะที่ฟางเจิ้งกำลังเหม่ออยู่นั้น ไม่รู้ว่าทุกคนพูดอะไร หลวงจีนไป๋อวิ๋นพลันเรียกชื่อฟางเจิ้ง “เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง?”

ฟางเจิ้งตะลึงงัน เงยหน้าขึ้นถามไปโดยจิตใต้สำนึก “อะไร?”

……………