ภาคที่ 2 บทที่ 171 เปิดโปง

มู่หนานจือ

ตระกูลเฉาจะตกต่ำลงไปตั้งแต่นี้หรือ?

เฉาไทเฮาจะเป็นอย่างไร?

เฉาเซวียนเหงื่อออกมากขึ้นเรื่อยๆ

เขามองเจียงเจิ้นหยวน สายตาฉายแววตื่นตระหนกเล็กน้อย

เหตุใดเจียงเจิ้นหยวนต้องบอกเรื่องพวกนี้กับเขา?

เจียงเจิ้นหยวนไม่กลัวว่าเขารู้ว่าตระกูลหลี่สมคบคิดกับเจียงเจิ้นหยวนมานานแล้วจะบอกเฉาไทเฮาหรือ?

เฉาเซวียนรู้สึกว่าตนเองเหมือนมาถูกทางแล้ว

คนอื่นต่างบอกว่าเจียงเจิ้นหยวนอ่อนโยนและเมตตาอย่างไร มีแต่เฉาไทเฮาป้าของเขาที่เคยบอกเขาว่า เจียงเจิ้นหยวนเผชิญทุกสิ่งอย่างเยือกเย็น วาจาคมกริบและแสบสัน เป็นคนที่เก่งมากคนหนึ่ง ตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจนัก คิดว่าเพราะท่านป้าเป็นสตรีมากุมอำนาจ เวลามองพวกผู้ชายที่ตำแหน่งสูงและมีอำนาจมากในราชสำนักก็ย่อมมีอคติบ้างไม่มากก็น้อย จนกระทั่งเจียงเจิ้นหยวนเป็นกองหน้าของจ้าวอี้อย่างเยือกเย็นและกักบริเวณป้าของเขาที่ภูเขาวั่นโซ่วแล้ว ก็ยอมกลับมาตำแหน่งเดิมของตนเองอย่างไม่อาลัยอาวรณ์ในอำนาจแม้แต่นิดเดียว รักษาหน้าที่ของขุนนางอย่างระมัดระวัง เหมือนสบายใจที่จะทำงานแม่ทัพภาคแห่งกองบัญชาการห้าทัพของตนเองต่อไป ทว่าเขากลับถูกผลักเข้าไปในสถานที่ที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดเช่นราชสำนักอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาถึงเข้าใจคำว่า ‘เก่งมาก’ ที่ท่านป้าเอ่ยก่อนหน้านี้แล้ว

เดินหน้าได้ถอยหลังได้ ป้องกันได้โจมตีได้ อดทนได้ชื่นชมได้ รู้ว่าตนเองทำอะไรได้ รู้ว่าสิ่งที่ตนเองต้องการคืออะไร…นี่ถึงจะเป็นลูกผู้ชายอย่างแท้จริง

คนแบบนี้จะคิดไม่ถึงว่าหากความสัมพันธ์ของตระกูลหลี่กับตระกูลเจียงถูกเปิดโปงแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหรือ?

เห็นได้ชัดมากว่า เจียงเจิ้นหยวนไม่เพียงแต่รู้ ทว่ายังไม่สนใจแม้แต่น้อย

แค่เผยความมั่นใจในตนเองที่เข้มแข็งแบบนี้ออกมานิดเดียว

เจียงเจิ้นหยวนช่วยจ้าวอี้กักบริเวณป้าของเขาได้ ก็ยุยงให้จ้าวอี้ฆ่าป้าของเขาได้

เจียงเจิ้นหยวนพูดออกมาแบบนี้ต่อหน้าเขาได้ ก็ไม่กลัวว่าเขาจะบอกเรื่องนี้กับป้าของเขา

เฉาเซวียนอยากเช็ดเหงื่อบนหน้าผากมาก

แต่เขาคิดว่าการกระทำแบบนี้จะทำให้เขาแลดูอ่อนแอและไร้ความสามารถต่อหน้าเจียงเจิ้นหยวน

เขาจึงฝืนอดทนไว้และไม่ยื่นมือออกมา ความคิดย้อนกลับไปยังสิ่งที่เจียงเจิ้นหยวนเอ่ยกับเขาเมื่อครู่อีกครั้ง

เจียงเจิ้นหยวนให้เจียงลวี่กับหวังจ้านรีบไปซานซีแล้ว แล้วนี่เขาต้องทำอะไร?

พาเจียงเซี่ยนกลับมา?

หรือว่าต้องฆ่าหลี่เชียน?

ไม่ถูก นี่ไม่ใช่จุดสำคัญที่เจียงเจิ้นหยวนบอกเรื่องนี้กับเขา

จุดสำคัญน่าจะเป็นหลี่เชียนหนีไปกับเจียงเซี่ยนแล้ว!

ทว่าเจียงเซี่ยนจะหนีตามหลี่เชียนไปได้อย่างไร นางไม่ค่อยรู้จักหลี่เชียนด้วยซ้ำ

เจียงเซี่ยนไม่กลัวหลี่เชียนทำร้ายนางหรือ?

ไม่ถูก นี่ก็ไม่ใช่จุดสำคัญเช่นกัน

จุดสำคัญคือ ด้วยความสามารถของเจียงเจิ้นหยวน เจียงเจิ้นหยวนสามารถปิดบังเขาได้อย่างสิ้นเชิง ฆ่าหลี่เชียนก่อน พาเจียงเซี่ยนกลับมา แล้วสร้างสถานการณ์ให้ตระกูลหลี่ตายในการแก่งแย่งชิงดีกันในราชสำนัก ต่อให้เขารู้ ไม่มีหลักฐาน ก็ทำได้เพียงสงสัยเช่นกัน…แล้วทำไมเจียงเจิ้นหยวนต้องบอกเขา แถมยังเป็นในเวลาที่เจียงเซี่ยนเพิ่งจะหนีตามหลี่เชียนไป และตระกูลเจียงเองก็ยังไม่ได้จับกุมผู้ต้องสงสัยด้วย…

เฉาเซวียนตกใจสะดุ้ง

ไป๋ซู่!

เป้าหมายของเจียงเจิ้นหยวนคือไป๋ซู่

เจียงเจิ้นหยวนบอกเรื่องพวกนี้กับเขา ไม่ได้อยากเตือนเขา แต่เพราะเขาเป็นคู่หมั้นของไป๋ซู่ เจียงเจิ้นหยวนมาเตือนไป๋ซู่ผ่านคู่หมั้นอย่างเขา

ในเมื่อเจียงเซี่ยนหนีตามหลี่เชียนไป ก็แสดงว่านางเชื่อใจหลี่เชียน

คนสองคนที่ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน จะเชื่อใจกันได้อย่างไร

เจียงเซี่ยนเติบโตมากับไป๋ซู่ตั้งแต่เด็ก แทบจะอยู่ด้วยกันทุกวันคืน ทุกคนต่างรู้ว่าพวกนางรักใคร่กันเหมือนพี่น้อง จู่ๆ ข้างกายเจียงเซี่ยนมีผู้ชายเพิ่มมาคนหนึ่ง คนอื่นอาจจะไม่รู้ ทว่าไป๋ซู่ต้องรู้อย่างแน่นอน

เจียงเจิ้นหยวนไม่ได้ให้ฮูหยินแซ่ฝางไปถามไป๋ซู่โดยตรง กลับให้คู่หมั้นอย่างเขาบอกต่อ ก็แสดงให้เห็นว่าเจียงเจิ้นหยวนไม่พอใจไป๋ซู่อย่างชัดเจนแล้ว

การแต่งงานของตระกูลเฉากับตระกูลไป๋ ที่แท้ก็เพื่อให้ตระกูลเจียงกับตระกูลเฉาผูกมิตรกัน

หากไป๋ซู่สูญเสียการสนับสนุนจากตระกูลเจียงแล้ว ตระกูลเฉากับตระกูลไป๋เกี่ยวดองกันจะมีความหมายอะไรอีก?

ด้วยนิสัยของท่านป้า หากรู้เรื่องนี้ เรียกไป๋ซู่ไปสั่งสอนอย่างรุนแรงนั้นคืออย่างเบา ไม่แน่นางยังอาจจะคิดหาทางถอนหมั้นนี้ด้วย

เฉาเซวียนอดที่จะฝืนยิ้มออกมาไม่ได้ และเอ่ยอย่างตอบไม่ตรงคำถามว่า “ท่านลุงเจียง ก็อย่ากังวลเลย เป่าหนิงเป็นคนฉลาด นางจะคิดเพื่อตนเอง” แล้วก็เอ่ยอีกว่า “ท่านก็รู้ว่าข้าไม่มีความสามารถอะไรเลย เช่นนั้นทางน้องเจียง…ข้าก็ไม่ตามไปถ่วงแข้งถ่วงขาพวกเขาแล้ว ข้าว่าเดี๋ยวข้าไปจวนเป่ยติ้งโหวดีกว่า แจ้งข่าวแก่ท่านหญิงชิงฮุ่ยสักหน่อย หลายวันนี้นางคอยเป็นห่วงท่านหญิง เกรงว่าคงจะนอนไม่ค่อยหลับเหมือนกัน”

เจียงเจิ้นหยวนยิ้มและพยักหน้า เหมือนปลื้มใจที่เขาเข้าใจความรู้สึกและเอาใจใส่ดีมาก

เรื่องราวเกี่ยวพันถึงสถานการณ์ทั้งหมดและสำคัญมาก เฉาเซวียนจึงไม่กล้าอยู่นาน หลังจากคุยกับเจียงเจิ้นหยวนอย่างเกรงใจไม่กี่คำ เขาก็ลุกขึ้นบอกลา

เจียงเจิ้นหยวนไม่ได้รั้งเขาไว้ และเรียกเด็กรับใช้คนหนึ่งให้ออกไปส่งเขาข้างนอก

จนกระทั่งเฉาเซวียนออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ก็ไม่ได้เจอเด็กรับใช้ที่คอยยกชากับของว่างเลย

เขาอดที่จะต่อว่าในใจไม่ได้

เจิ้นกั๋วกงก็ขี้เหนียวเกินไปหน่อย เขาเข้าไปในจวน ทว่ากลับไม่ได้ดื่มชาแม้แต่อึกเดียว

แต่ในใจเขาไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ นี่ก็เป็นหนึ่งในคำเตือนที่เจียงเจิ้นหยวนมีต่อเขาเช่นกันว่า…หากจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดี ต่อไปก็อย่าคิดที่จะมาเป็นแขกที่จวนเจิ้นกั๋วกงเลย

เช่นนั้นสามารถคิดได้หรือไม่ว่า ต่อไปไป๋ซู่ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเจียงแล้ว?

เฉาเซวียนออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ก็ให้คนไปที่จวนเป่ยติ้งโหว ทว่าในใจกลับคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างอดไม่ได้

ดูเหมือนตระกูลหลี่จะเป็นหมากที่ตระกูลเจียงวางไว้ที่ตระกูลเฉามานานแล้ว

แต่ว่า…ตระกูลเจียงกับตระกูลหลี่สมคบคิดกันได้อย่างไร?

หน้าที่ของหมากอย่างตระกูลหลี่คืออะไรกันแน่?

จับตาดูตระกูลเฉา? ควบคุมตระกูลเฉา? สร้างความขัดแย้งระหว่างป้าของเขากับจ้าวอี้ และได้ผลประโยชน์ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายมัวแต่ทะเลาะกันจนบาดเจ็บกันทั้งคู่?

เฉาเซวียนคิดแล้วคิดอีก ก็ไม่อาจหาคำตอบได้ ในใจรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย

บัณฑิตเจอทหาร ต่อให้มีเหตุผลแค่ไหนก็ใช้ไม่ได้ แม้เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นจะสำคัญก็จริง ทว่าพวกเขาก็ทำได้เพียงดีแต่พูดเช่นกัน พอเจอเหตุการณ์จริงๆ ก็ยังต้องพึ่งพาเหล่าแม่ทัพและทหารที่ออกรบทำสงครามและสังหารคนจำนวนมากได้อยู่ดี

หลังจากเหตุการณ์ที่ภูเขาวั่นโซ่ว ที่พึ่งพาที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาก็คือทหารในมือตระกูลหลี่แล้ว แต่ปรากฏว่าตระกูลหลี่กลับเป็นดาบที่ตระกูลเจียงจัดไว้ข้างกายพวกเขา ความจริงแล้วพวกเขาไม่มีอะไรเลย ป้าของเขายังถึงกับคิดหาทางจำนำเครื่องประดับของตนเองส่วนหนึ่ง เพื่อรวบรวมให้ได้ห้าหมื่นตำลึงและเพิ่มเงินเดือนทหารให้ตระกูลหลี่

ต้องบอกท่านป้าหรือไม่?

หากท่านป้ารับเรื่องนี้ไม่ได้จะทำอย่างไร?

ทว่าหากไม่บอกท่านป้า เรื่องนี้ควรจะทำอย่างไรเล่า?

หากตระกูลเจียงฆ่าหลี่เชียนจริง ท่านป้าจะต้องได้ข่าวและคาดเดาความจริงได้อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นเขาควรจะพูดอย่างไร?

ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ลำบากทั้งนั้น

เฉาเซวียนไปยังจวนเป่ยติ้งโหวด้วยสีหน้าสับสน

ผู้ติดตามยื่นเทียบขอพบไป คนเฝ้าประตูของจวนเป่ยติ้งโหววิ่งไปแจ้งเป่ยติ้งโหวอย่างรวดเร็ว

ไม่นาน จวนเป่ยติ้งโหวก็เปิดประตูข้างตะวันออก ซื่อจื่อเป่ยติ้งโหวซึ่งเป็นน้องชายของไป๋ซู่ ไป๋ซีที่อายุเพียงสิบปีก็พาเหล่าผู้ช่วยของเป่ยติ้งโหวออกมาต้อนรับ

หลังจากทักทายกันพักหนึ่ง เฉาเซวียนก็ถูกพาไปที่ห้องหนังสือที่เรือนด้านนอกของเป่ยติ้งโหว

เป่ยติ้งโหวสวมชุดผ้าดิ้นกลางเก่ากลางใหม่พบเฉาเซวียนที่ห้องหนังสือ

เฉาเซวียนเอ่ยว่าอยากพบไป๋ซู่เพียงลำพัง และบอกว่า “ข้าเพิ่งมาจากจวนเจิ้นกั๋วกงขอรับ”

ทั้งสองตระกูลไม่ได้เกี่ยวดองกันธรรมดา

เป่ยติ้งโหวอยากถามมากว่า ‘เกิดอะไรขึ้น’ แต่เขาก็ยังควบคุมความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ได้ และให้คนไปบอกไป๋ซู่ แล้วพาเฉาเซวียนไปยังโถงบุปผาที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่

แม้จะเป็นคู่หมั้น ก่อนแต่งงานก็ห้ามสนิทกันมากเกินไปเช่นกัน โถงบุปผาเปิดฉากกั้นทุกด้าน ในลานบ้านมีสาวใช้และแม่บ้านเฝ้าอยู่หลายคน

แสงแดดในฤดูใบไม้ผลิที่มาถึงช้าสาดส่องในลานบ้านที่ดอกไม้ ใบหญ้า ต้นไม้ กิ่งไม้ และใบไม้เจริญงอกงามดีจนแน่นขนัดอย่างอบอุ่น เป็นภาพทิวทัศน์ที่หลากสีสันสดใสและสวยงามมาก

ทว่าภาพทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้จะรักษาไว้ได้นานแค่ไหนกัน?

เฉาเซวียนกลับรู้สึกอ้างว้าง