ภาคที่ 2 บทที่ 170 ตามรอย

มู่หนานจือ

เรียกเฉาเซวียนมาทำไม?

หรือว่าจะสั่งสอนเขาด้วยอย่างนั้นหรือ?

แต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเฉาเซวียนล่ะ?

จินเซียวกับเติ้งเฉิงลู่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก

เจียงเจิ้นหยวนก็เอ่ยแล้วว่า “ตั้งแต่เมื่อวานถึงวันนี้ เกิดเรื่องขึ้นมากมาย พวกเจ้าก็น่าจะเหนื่อยแล้วเช่นกัน ก็พักที่ห้องพักแขกที่นี่แล้วกัน เดี๋ยวข้าจะให้คนไปเรียกพวกเจ้ามารับประทานอาหารเที่ยง”

ยังหาท่านหญิงเจียหนานไม่พบ สิ่งที่พวกเขาเอ่ยก็ยังต้องรอการตรวจสอบและพิสูจน์ความจริง

นี่คงจะเป็นการกักบริเวณพวกเขาที่จวนเจิ้นกั๋วกงใช่หรือไม่?

เติ้งเฉิงลู่คิดว่าแบบนี้ดีมาก จะได้กอบกู้ชื่อเสียงของตนเองให้ตรงกับความเป็นจริง ทว่าจินเซียวกลับขลาดกลัว จึงไม่กล้าแย้งเจียงเจิ้นหยวน

ทั้งสองคนขานรับพร้อมกัน และตามเด็กรับใช้ออกไป

จวนเจิ้นกั๋วกงก่อตั้งมาร้อยกว่าปี ต้นไม้เจริญงอกงามดี กิ่งไม้และใบไม้ลู่ลงมา ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นต้นไม้โบราณที่ใหญ่ขนาดหนึ่งคนโอบ เรียบง่าย มีความโบราณ แล้วก็เงียบสงบ

จินเซียวถอนหายใจและเอ่ยว่า “จวนเจิ้นกั๋วกงช่างงดงามจริงๆ! ที่จวนของพวกเราพบเห็นต้นไม้โบราณที่ใหญ่ขนาดนี้ได้น้อยมาก”

เติ้งเฉิงลู่เหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงไม่ได้สนใจจินเซียว

จินเซียวก็ไม่ได้ใส่ใจเช่นกัน และถอนหายใจอยู่ตรงนั้นต่อไป “มิน่าเล่าทุกคนต่างก็อยากมาเมืองหลวง เมืองหลวงเป็นขุมทรัพย์จริงๆ แต่จวนแบบเจิ้นกั๋วกงนี้ ที่เมืองหลวงก็พบเห็นได้น้อยมากเช่นกันใช่หรือไม่? ข้าได้ยินคนบอกว่า ตระกูลของพวกเขามีเบญจมาศสีดำอายุร้อยปีสองสามต้น เพียงแต่ตระกูลของพวกเขาไม่ค่อยชอบอวด คนมากมายจึงไม่รู้ก็เท่านั้น เดิมทีข้ายังอยากอาศัยท่านหญิงดูเบญจมาศสีดำที่มีชื่อเสียงโด่งดังสองกระถางนั้นสักหน่อย เกรงว่าตอนนี้คงไม่ได้เห็นแล้ว…”

เติ้งเฉิงลู่ยังคงใจลอยไปไกลเช่นเดิม

จินเซียวคิดว่าเติ้งเฉิงลู่เงียบๆ ทว่าสุดท้ายกลับลอบวางแผนทำร้ายเขา และเวลานี้ยังไม่อยากสนใจเขาเหมือนดูถูกเขาอีก ก็อดที่จะโกรธเล็กน้อยไม่ได้ จึงเอ่ยว่า “เฮ้” แล้วก็เอ่ยอย่างเยาะเย้ยปนประชดว่า “ซื่อจื่ออันลู่โหว เสียแรงที่ปกติข้าดีกับเจ้าขนาดนั้น นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะร้องเรียนข้าต่อหน้าเจิ้นกั๋วกง ตอนนี้เจ้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ คงจะไม่ได้กำลังวางแผนในใจว่าจะแทงข้างหลังข้าอย่างไรอีกใช่หรือไม่?”

เติ้งเฉิงลู่ได้ยินก็หัวเราะเยาะ และเอ่ยว่า “สิ่งที่ข้าเอ่ยต่อหน้าเจิ้นกั๋วกงไม่ใช่ความจริงอย่างนั้นหรือ? ข้าใส่ร้ายเจ้าสักคำหรือไม่? ข้าโกหกสักคำหรือไม่? เจ้าประพฤติมิชอบเอง ยังมาตำหนิคนอื่นที่เปิดเผยความผิดของเจ้า ข้าโตมาขนาดนี้ อ่านตำรามามากขนาดนี้ ก็ถือว่าเคยเจอคนมาไม่น้อยแล้ว ยังไม่เคยเจอคนแบบเจ้าเลย…”

คนๆ นี้ปกติไม่พูดไม่จา พอพูดขึ้นมาก็ฆ่าคนทั้งเป็นได้

จินเซียวจะเถียงก็เถียงไม่ได้ จึงทำได้เพียงเอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าสมกับที่เป็นบัณฑิต ไหวพริบดี คารมคมคาย ข้าเถียงสู้เจ้าไม่ได้ พอใจหรือไม่?”

เติ้งเฉิงลู่ก็ไม่ใช่คนที่เอาแต่กวนอย่างไม่มีเหตุผลเช่นกัน เขาเห็นจินเซียวยอมแพ้ ไม่เพียงแต่ไม่ภูมิใจที่ชนะแล้ว กลับรู้สึกว่าตนเองยึดติดกับเหตุผลมากไปเล็กน้อย เสียมาดของบัณฑิต

“ต่อไปเจ้าอย่าทำเรื่องแบบนี้เลย” เขาเตือนจินเซียวอย่างหวังดี “ความขัดแย้งในครอบครัวแบบนี้ ปกติต่างคนต่างก็บอกว่าตนเองมีเหตุผล ยังดีที่ท่านหญิงเจียหนานตามหลี่เชียนไปแล้ว หากหลี่เชียนหลอกเจ้าเล่า? จะไม่เป็นการทำร้ายท่านหญิงเจียหนานอย่างนั้นหรือ!”

จินเซียวเห็นเติ้งเฉิงลู่พูดอย่างจริงใจ ความไม่พอใจในใจก็ค่อยๆ หายไปเช่นกัน และคิดว่าทั้งสองคนถูกเจียงเจิ้นหยวนสงสัยในเวลาเดียวกัน ก็ถือว่าเป็นคนที่ร่วมทุกข์ด้วยกันแล้ว น้ำเสียงที่พูดจึงนุ่มนวลขึ้นไปด้วย “เรื่องนี้ยังต้องให้เจ้ามาบอกหรือ ข้าไม่มีทางที่จะช่วยหลี่เชียนเพราะคำพูดของเขาเพียงฝ่ายเดียวอยู่แล้ว แต่ข้าสืบมาแล้วว่า หลี่เชียนกับท่านหญิงเจียหนานสนิทสนมกันจริงๆ ไม่อย่างนั้นข้าจะลงมือช่วยหลี่เชียนได้อย่างไรเล่า!”

“แต่ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลเช่นกัน”

“ข้าไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้จริงๆ!”

“ทว่าเพียงแค่ข้าคิดถึงสิ่งที่จ้าวเซี่ยวทำต่อหน้าขุนนางที่ตำหนักเหรินโซ่วในวันนั้น ข้าก็รู้สึกอึดอัดใจมาก”

“ตอนเด็กๆ ท่านพ่อเคยบอกข้าว่า บนโลกใบนี้มีคนที่มีความสามารถมากมาย แต่ทำไมมีแค่คนเพียงหยิบมือนั้นได้เข้าสำนักราชเลขาธิการและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัครมหาเสนาบดี ได้รับบรรดาศักดิ์และภรรยาก็ได้รับบรรดาศักดิ์ไปด้วย…เพราะพวกเขาทุ่มเทและครุ่นคิดมากกว่าคนทั่วไป”

“ดังนั้นอย่าคิดว่าเรื่องราวควรจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป”

“ครั้งนี้ข้าถือว่าได้รับบทเรียนแล้ว”

เติ้งเฉิงลู่รู้ว่าจินเซียวกำลังพูดเรื่องที่จ้าวเซี่ยวเล่นลูกไม้ต่อหน้าฮ่องเต้

เขาคิดแล้วก็ยังตบบ่าของจินเซียว และปลอบจินเซียวว่า “คนที่ขี่ม้าเก่งตกม้า คนที่ว่ายน้ำเก่งจมน้ำ บางครั้งเรื่องบางเรื่องทำมากเกินไป ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดี”

จินเซียวตอบ “อืม” เบาๆ และรู้สึกว่าสนิทกับเติ้งเฉิงลู่ขึ้นมาเล็กน้อย

เขาถามเติ้งเฉิงลู่เสียงเบา “เจ้าว่า…เจิ้นกั๋วกงเรียกเฉาเซวียนมาจะคุยเรื่องอะไรบ้าง?”

“ไม่รู้!” เติ้งเฉิงลู่ตอบอย่างรวดเร็ว นี่ทำให้จินเซียวอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเติ้งเฉิงลู่รู้แต่กลับไม่อยากบอกเขา

เขารับรองกับเติ้งเฉิงลู่ “เจ้าแอบบอกข้าคนเดียวก็ไม่ได้หรือ? ข้ารับรองว่าจะไม่บอกคนอื่น!”

เติ้งเฉิงลู่เม้มปากแน่นสนิท ระหว่างทางไม่ว่าจินเซียวจะพูดอย่างไรก็ไม่บอกจินเซียวแม้แต่คำเดียว

เฉาเซวียนที่ถูกเจียงเจิ้นหยวนเชิญมานั้นกระวนกระวายเป็นอย่างมาก

ก่อนมาเขาถึงกับปรึกษากับผู้ช่วยของตนเองอยู่นาน ก็ยังเดาเจตนาที่เจียงเจิ้นหยวนเรียกเขามาพบเพียงลำพังไม่ออก

เฉาเซวียนยืนอยู่นอกห้องหนังสือของเจียงเจิ้นหยวนด้วยรูปร่างสูงโปร่งและท่าทางสง่างามและสูงศักดิ์ จนกระทั่งเด็กรับใช้แจ้งมา เขาถึงจัดแขนเสื้อให้เรียบร้อย และตามเด็กรับใช้เข้าไปในห้องหนังสืออย่างเยือกเย็น

บานหน้าต่างของห้องหนังสือปิดแน่น อากาศแลดูขุ่นมัวเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าหน้าต่างในห้องหนังสือไม่ได้เปิดระบายอากาศในตอนเช้า

ดูเหมือนจะมีเรื่องเกิดขึ้นเมื่อคืน?

ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเขา?

พูดอย่างไม่น่าฟังก็คือ ต่อให้หาเจียงเซี่ยนพบแล้ว เขาก็ไม่ใช่คนแรกที่จะดีใจกับนางเช่นกัน

และเวลานี้เกรงว่าเจียงเจิ้นหยวนนั้นนอกจากเรื่องนี้แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรสามารถทำให้เจียงเจิ้นหยวนเห็นอยู่ในสายตาได้อีกแล้ว

เช่นนั้นเจียงเจิ้นหยวนเรียกเขามาเพราะอะไรกันแน่?

เฉาเซวียนเข้าไปคารวะเจียงเจิ้นหยวน

เจียงเจิ้นหยวนนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเปิดเผยและยิ่งใหญ่ มองเขาด้วยสายตาเคร่งขรึม และเอ่ยเข้าประเด็นทันทีโดยไม่แม้แต่จะให้เขานั่งลง “เฉิงเอินกง พวกเรามีข่าวของเจียหนานแล้ว ว่ากันว่า นางถูกหลี่เชียนลูกชายคนโตของหลี่ฉางชิงแม่ทัพซานซีพาตัวไปซานซีแล้ว ข้าเรียกเจ้ามาก็เพราะอยากถามเจ้าว่า หลายปีมานี้ท่านหญิงชิงฮุ่ยอยู่ข้างกายเจียหนานตลอด ไม่รู้ว่านางรู้จักหลี่เชียนหรือไม่?” เหงื่อของเฉาเซวียนผุดออกมาอย่างเร็วมาก จนแผ่นหลังของเขาเปียกชุ่ม

เจิ้นกั๋วกง…กำลังบอกว่า…เจียงเซี่ยนหนีตามหลี่เชียนไปแล้วหรือ?

เขารู้สึกว่าในสมองส่งเสียงวิ้งๆ และฟังผิดไป

เฉาเซวียนมองไปทางเจียงเจิ้นหยวน

สายตาของเจียงเจิ้นหยวนแจ่มใสและจริงจัง เหมือนผู้อาวุโสที่มีสติปัญญามากและยุติธรรม

ทว่าเฉาเซวียนกลับรู้สึกแสบตา

เขาพึมพำว่า “ท่าน…ท่านพูดจริงหรือ? ท่านหญิงเจียหนานไปซานซี…กับหลี่เชียนแล้ว?”

“ข้าให้อาลวี่กับอาจ้านรีบไปแล้ว” เจียงเจิ้นหยวนเอ่ยอย่างเย็นชา “อย่างมากที่สุดห้าหกวันก็รับเจียหนานกลับมาได้แล้ว”

เฉาเซวียนพยักหน้าอย่างซึมกะทือ

ความคิดของเขาไม่ได้อยู่ที่ข่าวที่น่าตกใจมากอย่างเจียงเซี่ยนหนีตามผู้ชายไปเลย

แต่กำลังคิดว่า เจียงเซี่ยนสนิทกับหลี่เชียนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?

เจียงเซี่ยนถึงไปซานซีกับหลี่เชียน

ตระกูลหลี่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อตระกูลเฉา ไม่ว่าเขาหรือท่านป้าที่อยู่ภูเขาวั่นโซ่วต่างก็เห็นตระกูลหลี่เป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์แล้ว และหวังว่าหลี่ฉางชิงยืนหยัดที่ซานซีแล้วจะทำให้ตระกูลเฉาสามารถกลับมายังราชสำนักได้อีกครั้ง!

ทว่าเวลานี้หลี่เชียนกลับหนีไปกับท่านหญิงเจียหนานแล้ว!

เฉาเซวียนนึกถึงที่ตระกูลเจียงยอมอ่อนข้อให้ตระกูลเฉาหลายครั้ง และนึกถึงที่ตระกูลเจียงไม่เห็นด้วยกับการที่ตระกูลหลี่ไปซานซีในครั้งนี้

ตระกูลเจียงกับตระกูลหลี่…คนหนึ่งอยู่ฝ่ายหนึ่ง อีกคนอยู่อีกฝ่าย และสมคบคิดกันตั้งนานแล้วหรือไม่

เฉาเซวียนรู้สึกว่าตนเองเหมือนยืนอยู่ในทะเล และใกล้จะขาดอากาศหายใจตายแล้ว

หากตระกูลเจียงกับตระกูลหลี่สมคบคิดกันตั้งนานแล้ว เช่นนั้นกำแพงที่เขาคิดว่าเป็นทองแดงและเหล็กที่แท้ก็เป็นเพียงน้ำแข็งและหิมะ พอดวงอาทิตย์ออกมา ก็จะค่อยๆ หายไปจนหมดสิ้น