บทที่ 192 ระดับสูงมาก!

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

ในตอนค่ำระหว่างเดินทางกลับบ้าน จู่ๆ เฉินชางก็รู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเหมือนความฝัน คิดไม่ถึงว่าจะผ่าตัดเสริมหน้าอกได้ กลายเป็นบุคคลมั่งคั่งที่มีค่าตัวสูง ‘ระดับล้าน!’ จริงๆ แล้ว

ดูแล้วคำกล่าวของคนโบราณจะจริงแท้ไม่หลอกลวง แต่งงานกับผู้หญิงที่แก่กว่าสามปีแถมทองสามก้อน แต่งงานกับผู้หญิงที่แก่กว่าสามสิบปีโอนทรัพย์สมบัติให้ทั้งหมด

เฉินชางรู้สึกว่าหรือว่าเขาควรจะแต่งงานกับผู้หญิงที่แก่กว่าเขาสักสามพันปีดี ถึงอย่างไรเสีย…แต่งงานกับผู้หญิงที่แก่กว่าสามพันปี เขาจะได้ขึ้นสวรรค์กลายเป็นเทพไปเลย

เช้าวันรุ่งขึ้น เฉินชางลาหยุดกับหลี่เป่าซาน เขาต้องการไปพบศาสตราจารย์เมิ่งซีผู้มาจากมหาวิทยาลัยแพทย์แคโรลินสกา เมืองสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน

โรงพยาบาลตงต้าอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลอันดับสอง เฉินชางรีบไปที่นั่นแต่เช้า ถึงอย่างไรเสียก็เป็นการไปกราบอาจารย์เพื่อขอฝากตัวเป็นศิษย์ ไปเร็วหน่อยย่อมดีกว่า

เมื่อไปถึงโรงพยาบาลตงต้าแผนกศัลยกรรมหัวใจก็เพิ่งจะเจ็ดโมงยี่สิบนาที เฉินชางถือแบบฟอร์มสำหรับเซ็นชื่อเดินไปมาอยู่ตรงระเบียงทางเดิน

ตรงบริเวณระเบียงทางเดินของโรงพยาบาลมีผังรายชื่อพนักงานแขวนอยู่บนฝาผนัง เฉินชางเห็นชื่อของเมิ่งซีอยู่อันดับที่สาม

อันดับที่หนึ่งเป็นซย่าเกาเฟิง หัวหน้าใหญ่ประจำแผนกศัลยกรรมหัวใจ อันดับที่สองรองหัวหน้าโจวฉี่เหวิน

แล้วเฉินชางก็เข้าใจภาพรวมทั้งหมดของแผนกศัลยกรรมหัวใจผ่านผังรายชื่อพนักงานบนฝาผนังนี้

ในผังรายชื่อพนักงานนี้ มีทั้งประวัติมีทั้งเนื้อหาข้อมูลที่แฝงอยู่ แผนกนี้เป็นแผนกที่มีความแข็งแกร่งมาก โครงสร้างพนักงานในแผนกแบ่งลำดับขั้นอย่างชัดเจนตามช่วงอายุ ผู้อาวุโส วัยกลางคน วัยหนุ่มสาว อัตราส่วนของแพทย์กับพยาบาลมีความเหมาะสม

โรงพยาบาลตงต้าเป็นโรงพยาบาลที่จัดอยู่ในสามอันดับต้นของมณฑลตงหยาง แต่ไม่ได้หมายความว่าโรงพยาบาลตงต้าจะสู้โรงพยาบาลประชาชนกับโรงพยาบาลตงต้าสาขาสองไม่ได้ เหตุผลสำคัญคือการจัดอันดับเหล่านี้จะมีการเปลี่ยนแปลงในทุกๆ ปี ดังนั้นโรงพยาบาลที่ติดอันดับหนึ่งก็ใช่ว่าจะคงอยู่ตลอดไป เมื่อเทียบกันแล้ว เฉินชางยังรู้สึกว่าโรงพยาบาลอันดับสองของเขายอดเยี่ยมที่สุด ทุกปีโรงพยาบาลอันดับสองจะติดอยู่อันดับที่สิบเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลงสักนิด

โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนในเครือมหาวิทยาลัยถูกจัดไว้อยู่อันดับที่สิบเอ็ดไม่เคยตีตื้นอันดับที่สิบของโรงพยาบาลอันดับสองได้เลย ส่วนโรงพยาบาลอันดับสองก็ไม่เคยตีตื้นโรงพยาบาลเทศบาลที่ครองอันดับเก้ามาเป็นเวลายาวนานได้เลยเช่นกัน ดังนั้นอับดับที่สิบของโรงพยาบาลอันดับสองจึงมั่นคงดั่งหินผา

ตอนเจ็ดโมงครึ่ง ซย่าเกาเฟิงในวัยเกือบหกสิบปีเดินเข้าไปในห้องทำงานอย่างกระฉับกระเฉง การเปลี่ยนเวรอย่างเป็นทางการจึงเริ่มขึ้น

เฉินชางยืนแอบฟังอยู่ข้างนอกห้อง แล้วเขาก็ถึงกับตกตะลึงตาค้างในเวลาต่อมา!

เจ๋งสุดๆ เลย!

เปลี่ยนเวรใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร?

สิ่งนี้ทำให้เฉินชางถึงกับตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าการเปลี่ยนเวรจะใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร!

ใช้ได้ๆ ไฮเอนด์ๆ

ในความเป็นจริงแล้ว การสื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่เห็นได้บ่อยในวงการแพทย์ เฉินชางเคยไปมาหลายโรงพยาบาล ก็ใช้ภาษาอังกฤษในตอนเปลี่ยนเวรเหมือนกัน แต่นั่นก็เป็นแค่โครงสร้างประโยคเดิมๆ แค่จำได้ก็ใช้ได้แล้ว

แต่ข้างในห้องนี้ไม่แบบนั้น

ในห้องนี้การเปลี่ยนเวรใช้ภาษาอังกฤษในการพูดคุยทั้งหมด ทำให้เฉินชางค่อนข้างรู้สึกเคารพเลื่อมใสด้วยรู้สึกประทับใจยิ่งในเวลาต่อมา

นี่คือผู้เชี่ยวชาญ…

การเปลี่ยนเวรกินเวลาต่อเนื่องไม่กี่สิบนาที หลังจากที่คนทั้งหลายทำความเข้าใจกับสภาวะของผู้ป่วยเมื่อคืนนี้แล้ว ก็เริ่มร่วมกันหารือเกี่ยวอาการของผู้ป่วยของเมื่อวานนี้ จากนั้นแพทย์ท่านหนึ่งก็รายงานบทความวิจัยจากวารสาร ‘การแพทย์นิวอิงแลนด์’ เกี่ยวกับการผ่าตัดหลอดเลือดด้วยเทคนิคใหม่

ตลอดการเปลี่ยนเวรกับรายงานบทความวิจัยทางการแพทย์ใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมด กล่าวตามความจริง เฉินชางรู้สึกประทับใจอย่างลึกซึ้ง

ถ้าคนคนนี้เป็นแค่หมอธรรมดาทั่วไปยังเก่งขนาดนี้ แล้วตัวคุณจะเอาอะไรไปเทียบชั้นกับเขาได้!

มิน่าเล่า ปัจจุบันนี้โรงพยาบาลตงต้ารับแต่คนจบปริญญาเอกเท่านั้น ทั้งยังจบมาจากสถาบันการศึกษาต่างประเทศที่มีชื่อเสียง ไม่ได้กล่าวว่าสถาบันการศึกษาอื่นไม่ดี แต่หลังจากที่คุณเข้ามาทำงานในโรงพยาบาลแล้ว มีความเป็นไปได้ที่จะตามคนอื่นไม่ทัน

ในตอนนี้มีบรรดาแพทย์ชายหญิงที่มีอายุพอๆ กันกับเฉินชางยืนอยู่ที่หน้าประตู ทุกคนสวมชุดกาวน์สีขาวของโรงพยาบาลตงต้า คงจะเป็นนักศึกษาแพทย์ปริญญาโทกับแพทย์ที่เข้ามาฝึกอบรบที่โรงพยาบาล

มีไม่กี่คนในกลุ่มนั้นที่กำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่รายงานในห้อง ซึ่งเฉินชางที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่ได้รู้สึกอยากรู้อะไรมากนัก ช่วงนี้เป็นช่วงเปิดภาคเรียนของนักศึกษาปริญญาโท ส่วนใหญ่แล้วคนที่มาที่นี่ต่างก็มาหาอาจารย์ที่ปรึกษากันทั้งนั้น ทุกคนในโรงพยาบาลต่างก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไม่ได้สนใจอะไร

เวลาแปดโมงตรง ประตูห้องทำงานเปิดออก พยาบาลเดินออกมาจากข้างในห้อง เฉินชางเลยไปยืนอยู่ตรงบริเวณที่ไกลออกไป

รอให้ทุกคนเดินออกไปหมดแล้ว เฉินชางจึงค่อยเดินเข้าไป

เฉินชางกวาดตามองไปรอบๆ หนึ่งรอบ ทันใดนั้นสายตาของเขาก็หยุดชะงักอยู่ที่หญิงสาวคนหนึ่ง

เมิ่งซี

ไม่ผิดคนแน่ ถึงจะสวมชุดกาวน์สีขาว แต่ยังคงดูโดดเด่นสะดุดตาแม้จะยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก

ความประทับใจแรกของเฉินชางที่มีต่อเมิ่งซีคือรู้สึกได้ถึงความเป็นผู้หญิงที่ดูสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยและแข็งแกร่ง

เฉินชางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที แล้วจึงเดินตรงไปข้างหน้า ไหนๆ ก็มาถึงแล้วจะประหม่าไปทำไมกัน

เฉินเพิ่งจะเดินไปถึงตรงหน้าเมิ่งซี เขาก็ก้มศีรษะพร้อมโค้งคำนับเล็กน้อย “สวัสดีครับอาจารย์เมิ่ง ผมชื่อเฉินชาง เป็นนักศึกษาปริญญาโทปีนี้ ผมอยากฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เมิ่งครับ”

ทันทีที่เฉินชางกล่าวประโยคนี้ออกไป บรรยากาศภายในห้องก็เงียบกริบ…

เฉินชางพลันรู้สึกใจคอไม่ดี

เกิดเรื่องอะไรขึ้น

ทำไมบรรยากาศเงียบไป

เฉินชางเงยหน้าขึ้น เห็นเมิ่งซีกำลังวางของในมือลง

เมิ่งซีพินิจพิเคราะห์เฉินชางหนึ่งรอบ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เชิญนั่งค่ะ”

เฉินชางพยักหน้า “ขอบคุณครับอาจารย์”

หลังจากที่นั่งลงด้วยความเคารพนบนอบแล้ว เฉินชางก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศความเงียบสงัดภายในห้องจนรู้สึกพะว้าพะวัง

ช่วงระยะนี้ นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา มีนักศึกษาปริญญาโทมาหาเมิ่งซีเยอะมาก ทยอยกันมาไม่ขาดสาย แต่มากันกลุ่มหนึ่งแล้วก็พากันกลับไปทั้งกลุ่ม จนช่วงนี้ไม่ค่อยมีคนมาแล้ว

เมื่อแพทย์ท่านหนึ่งที่อยู่ในห้องทำงานเห็นคนไม่กลัวตายอย่างเฉินชาง แพทย์ท่านนั้นก็เลยดูจะสนใจเป็นอย่างยิ่ง รอดูว่าศาสตราจารย์เมิ่งจะจัดการอย่างไร

เช้าวันจันทร์ แผนกศัลยกรรมหัวใจไม่มีผ่าตัดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ นอกเสียจากมีเคสฉุกเฉิน หลังวันหยุดสุดสัปดาห์ ทุกคนต่างก็จัดระเบียบข้อมูลกับประวัติผู้ป่วยจำนวนหนึ่งให้เรียบร้อย แล้วช่วงบ่ายถึงเริ่มผ่าตัดต่อ

ในช่วงระยะนี้ เมิ่งซีกำลังเผชิญกับเรื่องหนึ่ง ถ้าตนไม่รับลูกศิษย์ สุดท้ายจะต้องมีการจัดนักศึกษามาให้เธอหนึ่งคนแน่นอน

แทนที่จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ ก็สู้หานักศึกษาสักคนที่ถูกชะตามาเป็นลูกศิษย์ยังจะดีกว่า

ตอนที่เฉินชางเดินเข้ามากล่าวทักทาย ในใจของเมิ่งซีตอบรับแล้ว เป็นหนุ่มน้อยที่มีหน้าตาหล่อเหล่า กริยาท่าทางสง่าผ่าเผย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งสำคัญที่สุดคือเมิ่งซีพบว่าก่อนที่เธอจะมาถึงห้องทำงาน เธอเห็นเขายืนอยู่ที่หน้าประตูแล้ว มาก่อนเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง

เมิ่งซีให้ความสำคัญกับเรื่องเวลามาก มีวินัยกับตนเองมากเป็นพิเศษ เข้มงวดกวดขันกับเป้าหมายของตนเอง เรื่องในวันนี้ไม่ยืดเยื้อถึงพรุ่งนี้แน่

อีกทั้งในวันนี้เฉินชางก็มาแต่เช้าตรู่ สร้างความประทับใจให้กับเมิ่งซี บวกกับเฉินชางเป็นคนบุคลิกดี กล่าวโดยสรุปคือเมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว เฉินชางได้คะแนนพิเศษ

เมิ่งซีเผยรอยยิ้มออกมา “คุณไม่ต้องประหม่าขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ปีนี้คุณอายุเท่าไหร่แล้ว”

เฉินชางตอบอย่างซื่อๆ “ยี่สิบเจ็ดครับ”

เมิ่งซีพยักหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “อายุยี่สิบเจ็ดคุณก็ทำงานแล้ว แล้วถึงค่อยมาเรียนปริญญาโท งั้นคุณก็มีประสบการณ์ทำงานแล้ว?”

เฉินชาง “ครับ หลังจากที่เรียนจบผมก็เข้าไปทำงานที่โรงพยาบาลอันดับสอง อยู่แผนกฉุกเฉิน ทำมาเกือบสามปีแล้วครับ”

หลังจากที่ฟังประโยคนี้ทั้งประโยคแล้ว เมิ่งซีก็พยักหน้า “ภาษาอังกฤษของคุณเป็นยังไงบ้างคะ”

การที่เธอถามคำถามนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะว่าทักษะภาษาอังกฤษของเธออยู่ระดับค่อนข้างสูง แต่ต้องการที่จะตรวจสอบประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของเฉินชาง เพราะคนที่เข้าทำงานแล้วยังสมัครใจที่จะเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มมีน้อยมาก

ปัจจุบันวิทยานิพนธ์กับวารสารทางการแพทย์เป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้น และที่สำคัญคือจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร

ประเด็นสำคัญคือ เมิ่งซีอยากรู้ว่าเฉินชางจะหยุดเรียนรู้หรือไม่

ประเด็นนี้สำคัญมาก

เฉินชางพยักหน้า “พอใช้ได้ครับ”

เมื่อเฉินชางพูดคำนี้ออกไป เมิ่งซีก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่