บทที่ 299 อัดอยู่ฝ่ายเดียว + บทที่ 300 สมบัติล้ำค่าของข้า

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 299 อัดอยู่ฝ่ายเดียว

ขณะนี้ชีวิตของนางกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น ฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ให้เขาต้องมาคิดถึงนางอีก

หลิงหลัวมองหนิงเมิ่งเหยาอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เหยาเอ๋อร์ กลับมาอยู่ข้างกายข้า”

บรรยากาศรอบตัวของเฉียวเทียนช่างเย็นยะเยือกขึ้นมาในทันที คนผู้นี้เห็นเขาตายไปแล้วหรือจึงกล้าคิดจะแย่งภรรยาของเขาต่อหน้าต่อตาเช่นนี้

เฉียวเทียนช่างก้าวเท้าเพียงสองสามก้าวก็มาถึงตัวหลิงหลัว เขากระชากคอเสื้อของหลิงหลัวขึ้นก่อนต่อยหมัดหนักๆ เข้าใส่ใบหน้านั้นหนึ่งที

เขามองหลิงหลัว “ข้าไม่สนว่าเมื่อก่อนเจ้าจะเคยมีความสัมพันธ์กันเช่นไร แต่ตอนนี้เหยาเหยาเป็นภรรยาของข้า หลิงหลัว เจ้าควรจะอยู่ให้ห่างจากนางมากที่สุดจะดีกว่า”

หนิงเมิ่งเหยายืนมองอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเรียบเฉย นางไม่ได้ดูเหมือนคนที่เพิ่งเห็นหลิงหลัวถูกต่อยเลยแม้แต่น้อย

“เทียนช่าง ไปกันเถอะ” จู่ๆ หนิงเมิ่งเหยาก็เอ่ยขึ้น นางไม่ปรารถนาที่จะเข้าไปยุ่งกับคนผู้นี้อีกต่อไป

เฉียวเทียนช่างพยักหน้า เขากลับหลังหันและเดินตรงไปหาหนิงเมิ่งเหยา ทว่าในวินาทีที่เขาหันหลังให้ เขาก็ได้ยินเสียงลมดังขึ้นจากทางด้านหลังของตน

เขาหรี่ตาลง แผ่ไอเย็นราวกับน้ำแข็งออกมาจากร่าง และก่อนที่ฝ่ามือของหลิงหลัวจะทันได้แตะแผ่นหลังของเฉียวเทียนช่าง เฉียวเทียนช่างก็หมุนตัวกลับไปแล้วยกมือขึ้นหยุดการโจมตีของเขาเอาไว้

เดิมทีเขาต้องการจะรักษาหน้าของหนิงเมิ่งเหยาและไม่คิดจะทำอะไรมากเกินไปนัก ทว่าหลิงหลัวกลับรนหาเรื่องเอง เฉียวเทียนช่างมองเขาก่อนเย้ยขึ้น “หากเจ้าอยากตายนัก ข้าจะช่วยสงเคราะห์ให้”

เฉียวเทียนช่างดันหนิงเมิ่งเหยาไปด้านข้างเพื่อกันไม่ให้นางโดนลูกหลง แล้วเขาก็หันไปประจันหน้ากับหลิงหลัว

แม้หลิงหลัวจะฝึกวรยุทธ์ตั้งแต่มาที่นี่ แต่เขาก็ไม่ได้มีประสบการณ์ในการต่อสู้มากเท่าเฉียวเทียนช่าง

เฉียวเทียนช่างเป็นผู้ใดกัน เขาคือแม่ทัพแห่งเมืองเซียว เป็นผู้ที่สามารถเทียบเคียงได้กับเทพแห่งสงคราม ความสามารถด้านวรยุทธ์ของเขาอาจกล่าวได้ว่าถูกขัดเกลามาจากประสบการณ์เฉียดตายอันนับไม่ถ้วน แล้วหลิงหลัวจะสามารถเอาชนะเฉียวเทียนช่างที่ก้าวขึ้นมาจากกองซากศพเหล่านั้นได้อย่างไร

ในไม่ช้าเฉียวเทียนช่างก็เป็นฝ่ายคุมเกม ไม่สิ หากจะพูดให้ชัดเจนคือหลังจากที่พวกเขาเริ่มชกต่อยกันนั้น หลิงหลัวไม่มีโอกาสแม้เพียงเสี้ยวให้โต้กลับเลยต่างหาก เขาถูกกดดันและโดนเฉียวเทียนช่างอัดจนน่วม

ท้ายที่สุด เฉียวเทียนช่างก็คว้าคอของหลิงหลัวเอาไว้ และแล้วการต่อยตีก็สิ้นสุดลง

เฉียวเทียนช่างมองหลิงหลัวที่มีสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยสายตาเย็นชา “หลิงหลัว ความอดทนข้าไม่มากเท่าใดนัก อย่าคิดจะท้าทายขีดความอดทนของข้าอีก” เขาผลักหลิงหลัวออกไปอย่างแรงหลังจากพูดจบ แล้วจึงเดินกลับไปหาหนิงเมิ่งเหยา “เหยาเอ๋อร์ ไปกันเถอะ”

“อืม” หนิงเมิ่งเหยายิ้มและพยักหน้าตอบ นางใช้ผ้าเช็ดหน้าในมือเช็ดคราบเปื้อนบนใบหน้าของเขา

หน้าของหลิงหลัวปกคลุมไปด้วยหมอกควันแห่งความอาฆาตเมื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยาไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย แต่กลับทำตัวสนิทสนมกับเฉียวเทียนช่างแทน

เขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดได้ในสิ่งที่เขาไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม

หลิงหลัวมองผู้คนรอบข้างที่มามุงดูเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเจ้ามองอะไรกัน ไสหัวไปซะ!”

ชาวบ้านรอบ ๆ ต่างตกใจท่าทางน่ากลัวของหลิงหลัว พวกเขาแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว ทว่าต่างก็ซุบซิบนินทากันอยู่ในหมู่พวกตน

ขณะเดินเคียงกันบนถนน เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยา

“เจ้าไม่โทษข้าที่ไปต่อยเขาหรือ”

“ข้าจะโทษเจ้าทำไม” หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่างด้วยสายตาแปลกๆ ดวงตาของนางมีความสงสัย ดูเหมือนนางจะไม่เข้าใจว่าเฉียวเทียนช่างหมายถึงอะไร

เฉียวเทียนช่างชะงัก เขาถามคำถามนั้นออกไปเพราะเห็นว่าหนิงเมิ่งเหยานิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

“หากไม่มีอะไรก็ไปกันเถิด” ตราบใดที่นางไม่ได้กล่าวโทษหรือโกรธเขา เช่นนั้นก็ดีไป

หนิงเมิ่งเหยารู้สึกขบขันเมื่อนางมองเฉียวเทียนช่าง “เจ้าเป็นสามีของข้า ส่วนเขานั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าเลย ดังนั้นถึงเจ้าจะทำอะไรลงไป ข้าก็ไม่ถือโทษโกรธเจ้าหรอก” ยิ่งกว่านั้น เป็นหลิงหลัวต่างจากที่ไปยั่วโมโหเขาก่อน

เมื่อได้ยินหนิงเมิ่งเหยาพูดว่า ‘เจ้าเป็นสามีของข้า’ รอยยิ้มแห่งความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉียวเทียนช่าง ความกังวลใจทั้งหมดทั้งปวงภายในใจของเขามลายหายไปในทันที

เมื่อทั้งสองมาถึงร้านอาหาร เหมยรั่วหลินและอวี้เฟิงนั้นมาถึงแล้ว พวกเขามองคนมาสายทั้งคู่ก่อนอวี้เฟิงจะยกยิ้มบางเมื่อเห็นพวกเขา “มาช้าขนาดนี้ พวกเจ้าไปทำอะไรมิดีมิงามกันมาหรือ” หน้าตาของเขายียวนชวนโดนต่อยยิ่งนัก

หนิงเมิ่งเหยามีสีหน้าเอือมระอาขณะมองอวี้เฟิง นางเอ่ยกับเขาด้วยท่าทางจนปัญญาว่า “พี่เขย ท่านจะช่วยคิดเรื่องดีๆ กับเขาบ้างได้หรือไม่”

อวี้เฟิงกะพริบตาอย่างใสซื่อ “ความคิดของข้ามันไม่ดีตรงไหนกัน เจ้าเองไม่ใช่หรือที่ตีความสิ่งที่ข้าพูดผิดไปเอง”

เส้นเลือดในสมองหนิงเมิ่งเหยาเต้นตุบๆ นางชักอยากจะซัดอวี้เฟิงเข้าสักหมัดจริงๆ

“เหยาเหยา อย่าสนใจเขาเลย เขาก็แค่เก็บกดทางเพศเท่านั้น” เฉียวเทียนช่างเอ่ยถ้อยคำอันน่าตกตะลึงออกมา

อวี้เฟิงที่เพิ่งจิบชาเข้าไปถึงกับพ่นชาออกมาจากปากหลังได้ยินคำพูดของเฉียวเทียนช่าง เขาชี้นิ้วอันสั่นเทาของตนใส่เฉียวเทียนช่าง “ไอ้เด็กเวร เจ้าว่าอะไรนะ ไหนพูดอีกทีสิ!”

บทที่ 300 สมบัติล้ำค่าของข้า

เฉียวเทียนช่างมองอวี้เฟิงก่อนจะกล่าวเสียงดังขึ้น “ข้าจะพูดอีกทีก็แล้วกัน ท่านเก็บกดทางเพศ”

“ไอ้เด็กนี่ เจ้าวอนหาเรื่องซะแล้ว” อวี้เฟิงผุดลุกขึ้นและมองเฉียวเทียนช่างอย่างไม่พอใจ

“พี่เขย ท่านอับอายที่เขาพูดถูกเลยโมโหขึ้นมาหรือ” หากเขาไม่ได้โกรธเพราะรู้สึกอับอาย เหตุใดจะต้องเดือดเนื้อร้อนใจขนาดนี้ด้วย

“เสี่ยวเหยา เจ้าเริ่มน่ารักน้อยลงเรื่อยๆ แล้วนะ ระวังตัวไว้เถอะถ้าไม่มีใครเอาขึ้นมา” อวี้เฟิงกัดฟันกรอด เขาไม่สามารถหาเรื่องหรือขึ้นเสียงใส่หญิงผู้นี้ได้ แต่ทำไมเขาจะติเตียนนางบ้างไม่ได้เล่า

ทว่าหนิงเมิ่งเหยาไม่ให้โอกาสเขาได้ทำเช่นนั้น นางพูดออกมาห้วนๆ ว่า “ข้าแต่งงานแล้ว”

มุมปากของอวี้เฟิงกระตุกขณะมองหนิงเมิ่งเหยา เขาลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท

“พวกเราหรืออุตส่าห์รีบมาหาเจ้า แต่ดูเจ้าปฏิบัติกับเราสิ ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย” อวี้เฟิงกล่าวอย่างโศกเศร้า ทำท่าราวกับว่าตนโดนใส่ร้าย

ท่าทางที่เขาแสร้งทำทำเอาเส้นเลือดบริเวณหน้าผากของหนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างเดือดปุด

“พี่หญิงเหมย ท่านควรล่ามปีศาจตนนี้ไว้เสีย กันไม่ให้เขาไปทำร้ายผู้ใดเข้า” พี่เขยของนางมักจะทำตัวผีเข้าผีออก มีเพียงเหมยรั่วหลินผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถจัดการเขาในเวลาที่ทำตัวบ้าบอเช่นนี้ได้

เหมยรั่วหลินตวัดสายตามองอวี้เฟิง “พอแล้ว ถ้าเจ้ายังทำตัวเช่นนี้ต่อ ก็กลับไปยังที่ที่เจ้าจากมาเสีย”

อวี้เฟิงรีบนั่งลงและปิดปากเงียบในทันที ท่าทางดูแตกต่างจากคนสติแตกเมื่อครู่อย่างลิบลับ

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำเอาเฉียวเทียนช่างถึบกับใบ้กิน คนผู้นี้ช่างไม่มีความพอดี

“เสี่ยวเหยาเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงมาช้าถึงเพียงนี้หรือ” เหมยรั่วหลินนิ่วหน้าแล้วถามขึ้น สายตาจับจ้องไปยังทั้งสองคน

ตอนที่ยังไม่ได้เอ่ยถึงสาเหตุขึ้นมานั้น หนิงเมิ่งเหยาก็ยังอารมณ์ดีอยู่ ทว่าเมื่อถูกถามถึงต้นเหตุของเรื่อง ดวงตาของหนิงเมิ่งเหยาก็เต็มไปด้วยความขยะแขยง

“พวกเราเจอหลิงหลัวระหว่างทาง” ในเวลานี้หนิงเมิ่งเหยาไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยชื่อหลิงหลัวขึ้นมา

สีหน้าของเหมยรั่วหลินบูดบึ้งในทันที “เขามาหาเรื่องเจ้าสองคนหรือ”

หนิงเมิ่งเหยารู้สึกหงุดหงิด นางยกมือขึ้นนวดขมับตัวเอง “อย่าพูดถึงมันเลย แค่พูดข้าก็รู้สึกแย่ขึ้นมาแล้ว”

บุรุษน่ารังเกียจผู้นั้นยังคงคิดที่จะพยายามขอให้นางกลับไปอยู่กับเขา ช่างไร้ยางอายเสียจริง เหตุใดในอดีตนางจึงไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่าหลิงหลัวมีคุณสมบัติชั้นเลวแบบนี้ซ่อนอยู่

“ในเมื่อพวกเจ้าไม่อยากพูดถึง เช่นนั้นข้าก็จะเลิกถาม แต่อย่าให้ตัวเองถูกรังแกได้ล่ะ” เหมยรั่วหลินหยุดขุดเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อเห็นว่าหนิงเมิ่งเหยาไม่อยากพูดถึง นางจึงทำได้เพียงให้คำแนะนำเล็กน้อย

หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า “ท่านพี่อย่ากังวลไปเลย แน่นอนว่าข้าไม่ยอมให้ใครมารังแกอยู่แล้ว” แค่ปัจจุบันนางไม่ได้ไปหาเรื่องใคร คนพวกนั้นก็แทบจุดธูปกราบไหว้และขอบพระคุณฟ้าดินกันอย่างล้นหลามแล้ว คนโง่เขลาที่ไหนจะกล้ามารังแกนางได้

เหมยรั่วหลินยื่นมือไปหยิกแก้มหนิงเมิ่งเหยา “เจ้านี่นะ ยังไงเจ้าก็ต้องระวังตัวเอาไว้ อย่าให้คนอื่นมาวางแผนเล่นงานเอาได้ล่ะ”

หญิงผู้นี้ทั้งบริสุทธิ์และไร้เดียงสายิ่งนัก นางกลัวจริงๆ ว่าหนิงเมิ่งเหยาจะตกเป็นเป้าให้คนอื่นวางแผนเล่นงานได้ เมื่อถึงเวลานั้นนางกลัวว่าจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น

“ข้ารู้ แต่เทียนช่างก็อยู่ด้วยมิใช่หรือ” หนิงเมิ่งเหยาเข้าใจสิ่งที่เหมยรั่วหลินต้องการสื่อ นางเป็นสาวน้อยแสนบริสุทธิ์และไร้เดียงสาในสายตาพวกเขา ไม่ว่านางจะทำอะไรพวกเขาย่อมรู้สึกเป็นห่วง หากนางยังไม่ได้แต่งงาน เหมยรั่วหลินและอวี้เฟิงคงจะบังคับพานางไปกับพวกเขาด้วยเป็นแน่

หนิงเมิ่งเหยาคิดถูก ในตอนแรกนั้นเหมยรั่วหลินและคนอื่นๆ ต่างมีความคิดเช่นนั้นอยู่จริงๆ แต่พวกเขาก็ยอมแพ้ไปในที่สุด ในเมื่อหนิงเมิ่งเหยาแต่งงานและมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว พวกเขาจึงไม่สามารถทำเหมือนว่านางยังตัวคนเดียวและพานางติดสอยห้อยตามไปด้วยได้

หนิงเมิ่งเหยาเดินไปยืนข้างเหมยรั่วหลิน ก่อนเอื้อมมือออกไปกอดแขนของนางไว้ “พี่เหมย ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงข้า แต่ตอนนี้ข้ามีเทียนช่างแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถทำอันตรายข้าได้หรอก”

เหมยรั่วหลินมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยสีหน้าซับซ้อน แล้วนางก็พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “ในเมื่อเจ้าว่าเช่นนั้น ข้าก็จะเชื่อใจเขาดู”

อวี้เฟิงมองเฉียวเทียนช่างก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก “ข้าไม่สนว่าหลังจากวันนี้ไปเจ้าจะวางแผนอะไรไว้ ข้าหวังเพียงแค่เจ้าจะถือความปลอดภัยของเสี่ยวเหยาเอ๋อร์มาก่อนเป็นอันดับแรก นางเป็นสมบัติล้ำค่าของพวกข้า”

“นางก็เป็นสมบัติล้ำค่าของข้าเช่นกัน” เฉียวเทียนช่างกล่าวเพียงแค่นั้น และไม่ได้ให้คำมั่นอะไรกับอวี้เฟิง

เขายอมให้หนิงเมิ่งเหยาบาดเจ็บมาครั้งหนึ่งแล้ว และเขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายนางได้อีก ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม ตราบใดที่พวกมันคิดจะทำร้ายนาง พวกมันจะต้องเตรียมใจตายเสียก่อน

อวี้เฟิงมองเฉียวเทียนช่างครู่หนึ่งก่อนเบนสายตาไปทางอื่น