บทที่ 188
สูญหาย
เพื่อที่จะไม่ให้ผู้คนจำเขาได้และสร้างปัญหาไปมากกว่านี้ เขาจึงได้เปลี่ยนเป็นชุดสีดำแล้วปิดใบหน้าของเขาด้วยผ้าพันคอ สีดำ แล้วจงซู่เฟิงก็ได้มองไปที่คนที่อยู่ในกระจกทองแดง แล้วจากนั้นก็ได้หันหัวแล้วจากไป
ณ โรงเตี๊ยมซื่อฟาง หลินซีเหยียนกับเจียงหวายเย่นั้นต่างก็เตรียมที่จะพักผ่อนในโรงเตี๊ยมซื่อฟาง
ในกลางดึกของคืนนั้น เจียงหวายเย่ที่กำลังนอนหลับไปพักใหญ่ๆนั้น ก็ได้ลืมตาขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงเบาๆดังมาจากบนหลังคา เจียงหวายเย่ก็ได้สวมหน้ากากแล้วจับกระบี่ยมโลกที่อยู่ข้างตัว
เทียนเอ๋อกับหลินซีเหยียนนั้นพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมซื่อฟางคืนนึงด้วย ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าเป้าหมายของคนคนนั้นคืออะไร แต่ไม่ว่าเป้าหมายของเขาจะคืออะไร เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ใครมาทำร้ายพวกเขาได้
หลังจากที่เอาผ้าพันตัวเองหลายทบ เจียงหวายเย่ก็ได้เปิดหน้าต่างและเหาะไปบนหลังคา ดวงตาของเขานั้นเย็นยะเยือกมากและได้แผ่บรรยากาศสังหารรอบตัวเขาออกมาแรงมาก
“เจ้ามาที่นี่ทำไม?” เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่อีกฝ่ายและรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมารางๆ จึงได้ถามขึ้นมา
จงซู่เฟิงก็ได้คิดที่จะหาเรื่องขึ้นมา เขาจึงได้พูดยั่วโมโหแล้วกล่าว “ข้ามาที่เพื่อฆ่าเจ้า”
จึงได้หยุดพูดคุยทันทีแล้วขว้างอาวุธลับอย่างรวดเร็ว แต่จงซู่เฟิงนั้นไม่ได้คิดที่จะสังหารอีกฝ่าย ทำให้จุดที่เขาซัดอาวุธลับไปนั้นทำให้บาดเจ็บสาหัสได้ แต่จะไม่ถึงแก่ชีวิต
ซึ่งอย่างเจียงหวายเย่นั้นมีหรือที่จะไม่ทราบเรื่องนี้ จึงทำให้เขารู้สึกสงสัยในตัวตนของคนคนนั้นมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้คลายการป้องกันลงเลย อย่างไรก็ดีเพราะในเวลานี้เขาได้พนันเอาไว้กับเสี่ยวเหยียนเอ๋ออยู่
แต่ในขณะที่ทั้งสองคนนั้นกำลังต่อสู้กันอย่างหนักอยู่นั้น ในห้องของหลินซีเหยียนนั้นก็ได้มีการเคลื่อนไหวบางอย่างเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าจะเล็กน้อยแต่ทั้งสองคนนั้นก็รู้สึกได้
เจียงหวายเย่ก็ได้ปรากฏแววตาสังหารขึ้นมาในดวงตาของเขา แล้วเขาก็ได้จ้องไปที่ชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างกระหายเลือด เขารู้สึกได้รางๆว่าอีกฝ่ายนั้นใช้แผนล่อเสือออกจากถ้ำ
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร หากแต่ เสี่ยวเหยียนเอ๋อเป็นอะไรไปแม้แต่ปลายเส้นผม ข้าจะเอาคืนเจ้าเป็นร้อยเท่าพันเท่า”
จงซู่เฟิงเองก็มีสีหน้าไม่ดีขึ้นมาเช่นกัน ในขณะที่เขาอยากจะรู้เรื่องของหลินซีเหยียนนั้น เขาก็ถูกขวางโดย เจียงหวายเย่เสียก่อน แล้วอีกฝ่ายก็ได้กล่าวด้วยเสียงเบาๆที่ราวกับปีศาจร้าย เขาจึงได้โกรธขึ้นมาแล้วถามกลับไป “ข้าก็แค่มาหาเจ้าเท่านั้น ไม่ได้คิดที่จะทำร้ายแม่นางหลินเลยแม้แต่นิดเดียว”
หลังจากที่มองไปที่ชายชุดดำอยู่พักใหญ่ เจียงหวายเย่ก็ได้เก็บกระบี่จองเขาเข้าในไปฝักแล้วจากนั้นก็ได้ชี้ไปที่ชายชุดดำ แล้วเขาก็ได้เข้าไปในห้องของหลินซีเหยียนก่อน แต่โชคร้ายที่ทั้งสองร่างใหญ่กับเล็กในห้องนั้นหายไปแล้ว
“ในขณะที่ข้าถูกดึงตัวมาโดยเจ้า พวกเขาก็ถูกชิงตัวไปแล้ว แล้วเจ้าบอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคนพวกนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่องั้นเหรอ?” ในเวลานี้เจียงหวายเย่ได้โกรธขึ้นมาจริงๆแล้ว แต่เขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือต้องตามหาหลินซีเหยียนให้พบก่อน ไม่ใช่มาเสียเวลากับการฆ่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขานี้
สีหน้าของจงซู่เฟิงนั้นก็ได้แย่ขึ้นมาอย่างมาก เขารู้สึกตัวว่าตัวเขานั้นอาจจะถูกหลอกใช้ เขาจึงได้กล่าวอย่างอ้ำอึ้ง “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะตามหาตัวพวกเขาให้พบแน่นอน”
เจียงหวายเย่นั้นไม่แม้แต่จะมองมาที่จงซู่เฟิง แล้วเขาก็ได้เรียกเชียนอี้แล้วสั่งให้คนของเขาออกไปตามหารอบๆ จงซู่เฟิงก็ได้คิดที่จะไปเช่นกัน แต่แล้วขาของเขาก็รู้สึกอ่อนแรงขึ้นมา แล้วก็มองไปที่เจียงหวายเย่ด้วยความตกใจ “นี่เจ้าใช้พิษกับข้าทำไม?”
“หึ ก่อนที่เรื่องนี้จะกระจ่าง เจ้าคิดเหรอว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปง่ายๆน่ะ” เจียงหวายเย่ก็ได้เดินเข้าไปหาจงซู่เฟิงก่อนที่ปลายกระบี่ของเขาจะแทงจงซู่เฟิง ซึ่งจงซูเฟิงก็ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดได้ที่อกขวาของเขา แค่จงซู่เฟิงก็ได้ไม่ได้ส่งเสียงออกมา
ในขณะที่เจียงหวายเย่นั้นคิดที่จะส่งตัวเขาให้เชียนอี้นั้น ก็ได้มีชายชุดดำอีกคนที่โผล่เข้ามา เขาได้โปรยผงยาออกมาแล้วก็ฉวยโอกาสหนีไปพร้อมกับจงซู่เฟิง
หลังจากที่ผงยานั้นถูกโปรยออกมา เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่นอกหน้าต่าง โชคยังดีที่พวกที่ลักพาตัวหลินซีเหยียนไปนั้นไม่รวดเร็วมากนัก ไม่นานนักเชียนอี้ก็พบว่าหลินซีเหยียนนั้นถูกพาไปที่ไหน หลังจากที่เขากลับมารายงานให้เจียงหวายเย่ฟังแล้ว ซึ่งเจียงหวายเย่ก็ได้คิดเอาไว้แล้วในใจ
“ในเมื่อเป็นฝีมือของมหาเสนาบดี ตอนนี้คงยังไม่มีปัญหาอะไร กลับไปที่พระราชวังกันก่อนเถอะ” เจียงหวายเย่จึงได้คิดที่จะถอยกลับไปที่พระราชวังก่อน เขาจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงให้ได้เสียก่อน
เมื่อกลับไปที่พระราชวังรัตติกาลแล้ว อันอี้ก็ได้คุกเข่าลงตรงหน้าเจียงหวายเย่และรายงานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงอย่างละเอียดยิบ
“ฮ่องเต้นั้นต้องการที่จะสร้างพระราชวังขึ้นที่เฉิงเต๋อ แต่เสนาบดีกรมพระคลังกลับกล่าวว่ามีเงินในท้องพระคลังนั้นว่างเปล่าและมีเงินไม่เพียงพอ เมื่อฮ่องเต้ทราบว่าท้องพระคลังว่างเปล่าก็ได้เดือดดาลขึ้นมาแล้วสั่งให้ทำการตรวจสอบบัญชีให้ถี่ถ้วนภายในสามวัน ซึ่งภายในสามวันนี้หากว่ายังแก้ปัญหาไม่ได้ มหาเสนาบดีก็จะถูกลงโทษอย่างหนักขอรับ”
เจียงหวายเย่ก็ได้หรี่สายตาลงมา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น มหาเสนาบดีหลินจึงได้ตามหาเสี่ยวเหยียนเอ๋อเพื่อขอยืมเงินสินะ?”
อันอี้นั้นไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่นางหลินกันแน่จึงได้ไม่ตอบอะไรกลับไป แต่ที่เจียงหวายเย่คาดเดาเอาไว้นั้นก็ไม่ผิดเสียทีเดียว ในเวลานี้มหาเสนาบดีหลินได้พูดกับหลินซีเหยียนด้วยคำพูดที่หอมหวาน
“นี่ซีเหยียน ได้โปรดช่วยท่านพ่อเถอะนะ!” ตระกูลของ ฮูหยินอวี้นั้นแม้จะร่ำรวยมาก แต่จำนวนที่มหาเสนาบดีหลินติดค้างเอาไว้นั้นก็เป็นจำนวนมหาศาลมากเช่นกัน ต่อให้ตระกูลของนางยอมจ่ายก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี
หลังจากที่คิดได้เช่นนั้น ทั้งฮูหยินอวี้และมหาเสนาบดีหลินก็ได้พุ่งเป้าไปที่หลินซีเหยียน
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ใบหน้าหน้าไหว้หลังหลอกของพวกเขาทั้งคู่อย่างเย็นชาและไม่ขยับเขยื้อนใดๆ ทั้งที่เขามหาเสนาบดีหลินนั้นยอมลดตัวให้ขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่นังลูกไม่รักดีตรงหน้าเขานั้นก็ยังไม่พอใจอยู่ดี เขาจึงได้เริ่มขุ่นเคืองขึ้นมา “เจ้าเองก็เป็นบุตรีของบ้านมหาเสนาบดี ทั้งๆที่บ้านมหาเสนาบดีนั้นอยู่ในสภาวะจะรอดหรือไม่แท้ๆ แต่เจ้าก็ยังกลับทำเป็นลังเลทั้งๆที่ควรจะรู้ว่าจะต้องทำอะไรแท้ๆ”
เมื่อนางเห็นท่าทีที่ดูเย่อหยิ่งของมหาเสนาบดีหลินแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มอย่างเย็นชา “จากที่มหาเสนาบดีว่ามา นี่ข้าต้องขอร้องท่านให้เอาเงินของข้าเพื่อไปใช้หนี้ให้ท่านอย่างนั้นเหรอ?”
“ถ้าเช่นนั้นก็รอให้จวนมหาเสนาบดีล่มจมก็แล้วกัน แล้วพวกเราก็ตกเป็นทาสไปด้วยกันหมดนี่แหละ!” มหาเสนาบดีหลินนั้นรู้สึกได้ว่าที่หลินซีเหยียนยังคงปีกกล้าขาแข็งอยู่ได้นั้น อาจเป็นเพราะยังไม่รู้ถึงบทลงโทษที่จวนมหาเสนาบดีจะได้รับก็ได้
หลินซีเหยียนที่ได้ยินที่กล่าวก็ได้ลดคิ้วของนางลงมา ฮูหยินอวี้ก็ได้จ้องไปที่นาง เมื่อเห็นสีหน้านางเช่นนี้แล้ว นางก็ได้รู้สึกยินดีขึ้นมาในใจที่ดูเหมือนว่ายังจะพอมีหวังในเรื่องนี้แล้ว แต่ไม่นานนักรอยยิ้มที่มุมปากของนางก็ได้กลายเป็นเยือกเย็นขึ้นมา
หลินซีเหยียนได้จ้องไปที่มหาเสนาบดีหลินอย่างครุ่นคิดแล้วกล่าว “ถ้าไม่ใช่เพราะคำเตือนของท่านมหาเสนาบดีแล้ว ซีเหยียนก็คงไม่รู้ถึงความหนักหนาของเรื่องนี้”
มหาเสนาบดีหลินก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาแล้วความไม่พอใจของเขาก็ได้ลดลงไปบ้าง แต่น้ำเสียงที่เย็นชาของหลินซีเหยียนก็ได้ดังเข้ามาในหูของเขา “ทำไมพวกเราไม่ตัดความสัมพันธ์กันซะตอนนี้เลยล่ะ? ภาระของทางจวนมหาเสนาบดีจะได้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับข้า”
“เจ้า….เจ้า…นังลูกไม่รักดี! เจ้านี่มันช่าง…อกตัญญูจริงๆ” มหาเสนาบดีหลินนั้นโกรธจนแทบจะสลบ แต่เขาก็ยังไม่ได้รับความสงสารจากหลินซีเหยียนเลยแม้แต่นิดเดียว
หลินซีเหยียนนั้นจะได้คิดที่จะพาเทียนเอ๋อหนีไป แต่ ฮูหยินอวี้ก็ได้ขวางนางเอาไว้แล้วกล่าวอย่างเศร้าๆ “นี่ซีเหยียน ข้ารู้ว่าในใจของเจ้านั้นยังคงเกลียดชังพวกเรา แต่ข้าคงต้องบอกกับเจ้าว่ามีคนของเรามากมายอยู่ที่นี่ ข้ารู้ว่าเจ้านั้นมีพิษอยู่รอบตัวของเจ้า แต่เจ้านั้นไม่กังวลลูกชายของเจ้าบ้างเหรอ?”
ดวงตาของหลินซีเหยียนก็ได้เยือกเย็นทันที เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นได้พุ่งเป้าไปที่เทียนเอ๋อแทนแล้ว