บทที่ 189 การบีบบังคับของฮูหยินอวี้

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 189

การบีบบังคับของฮูหยินอวี้

เทียนเอ๋อนั้นเปรียบเสมือนกับเกล็ดย้อนของ หลินซีเหยียนซึ่งไปแตะต้องส่งเดชไม่ได้ ในเวลานี้นางนั้นเหมือนกับผีที่กำลังเดินเข้าไปหาฮูหยินอวี้แล้วบีบคอของนาง เสียงที่เย็นยะเยือกของนางนั้นทำให้ฮูหยินอวี้ถึงกับหนาวสั่น

นางมองไปที่หลินซีเหยียนด้วยสายตาที่หวาดกลัวแล้วกล่าว “ข้าเป็นฮูหยินของจวนมหาเสนาบดีนะ เจ้าคิดที่จะทำอะไรน่ะ?”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มขึ้นมาเป็นรอยยิ้มที่อันตรายและชั่วร้าย ราวกับดอกพลับพลึงที่บานอยู่ริมแม่น้ำยมโลกซึ่งถ้าหากไม่ระวังก็อาจจะโดนกิน 7 จิต 8 วิญญาณได้ง่ายๆ

ในขณะที่แขนของฮูหยินอวี้มาจับแขนของนาง นางก็ได้ออกแรงที่แขนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าใบหน้าของฮูหยินอวี้นั้นดำและม่วงเพราะหายใจไม่ออกแล้ว หลินซีเหยียนก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา

นางนั้นไม่ได้ปิดบังจุดประสงค์ที่มีต่อฮูหยินอวี้เลย อย่างไรเสียในสายตาของนางนั้นฮูหยินอวี้นั้นสมควรตายอยู่แล้ว เพราะไม่ว่าจะแม่ของเจ้าของร่างนี้หรือตัวเจ้าของร่างเองก็ดี ต่างก็เป็นหนี้แค้นนางอย่างมาก ไม่ว่าจะให้ชดใช้เท่าไรก็คงไม่พอ

ด้วยความโกรธนี้ ดวงตาของหลินซีเหยียนนั้นเต็มไปด้วยเลือดแดงก่ำ เมื่อรวมกับจิตสังหารที่เยือกเย็นของนางแล้ว ทำให้ในขณะนั้นไม่มีใครที่กล้าห้ามนางเลยแม้แต่น้อย

จนสุดท้ายมหาเสนาบดีหลินก็ได้ตะโกนขึ้นมา “หยุดเดี๋ยวนี้” หลินซีเหยียนจึงได้รู้สึกตัว

แล้วนางก็ได้ปล่อยคอของฮูหยินอวี้ และปรากฏรอยนิ้วมือทั้ง 5 เห็นได้อย่างชัดเจนบนผิวที่ทะนุถนอมที่คอนั้น ในขณะที่ฮูหยินอวี้กำลังหายใจอย่างหืดหอบอยู่นั้น หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวด้วยเสียงที่ได้ยินแค่สองคนนั้น “ไม่ต้องห่วง ข้ายังไม่ฆ่าเจ้าหรอก เพราะมันตายง่ายเกินไป สิ่งที่พวกเจ้าทำกับข้าและท่านแม่ของข้าเมื่อหลายปีก่อนนั้น ข้าจะเอาคืนพวกเจ้าให้ครบต้นครบดอกเลย”

แม้จะลดเสียงลงมาและเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่เมื่อเข้าหูมาก็ไม่อาจทำให้ทั้งคู่หยุดหนาวสั่นได้

ฮูหยินอวี้ที่ได้ยินที่หลินซีเหยียนกล่าวก็รู้สึกหวาดกลัวและอดไม่ได้ที่จะคิด “หรือว่านางจะรู้แล้วถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น?”

แต่ทว่าฮูหยินอวี้ก็ได้โยนความคิดนี้ทิ้งไป เพราะมหาเสนาบดีหลินเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถ้าหลินซีเหยียนรู้เรื่องนี้หลินซีเหยียนคงไม่เกลียดชังนางคนเดียวแน่

เมื่อเห็นว่าหลินซีเหยียนยอมปล่อยฮูหยินอวี้แล้ว มหาเสนาบดีหลินก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ “ข้ารู้ว่าข้าเป็นหนี้เจ้ามากนัก แต่ซีเหยียน เจ้าจะให้โอกาสพ่อของเจ้าสักครั้งไม่ได้เหรอ?”

หลินซีเหยียนก็ได้จ้องไปที่ฮูหยินอวี้ด้วยสีหน้านิ่งๆแล้วจากนั้นก็มองไปที่มหาเสนาบดีหลินแล้วกล่าว “ขอเวลาข้าคิดสักหน่อยแล้วข้าจะให้คำตอบท่านพรุ่งนี้”

ดวงตาของมหาเสนาบดีหลินก็ได้ส่องแสงขึ้นมา แต่ก่อนนั้นหลินซีเหยียนนั้นเปรียบเสมือนห้องน้ำที่เขารู้สึกเหม็นและไม่อยากเข้าใกล้ แต่ในเวลานี้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมา และมีสีหน้าที่ยินดีแล้วโบกมือใหญ่ๆทั้งสองข้างของเขา แล้วคนรับใช้สองคนที่ดูแปลกหน้าก็ได้มาหา “ส่งคุณหนูรองกลับไปที่เรือนเชียนเหยียน”

หลินซีเหยียนก็ได้จากไป แล้วทั้งสองคนนั้นก็ได้ตามนางไปด้วยความเงียบ ฟังจากเสียงฝีเท้ามั่นคงของทั้งสองคนข้างหลังนางแล้ว นางก็รู้ได้ทันทีว่าทั้งคู่นั้นจะต้องมาจากสำนักฝึกวรยุทธ์เป็นแน่ ซึ่งทำให้นางต้องคิดในใจ “สองคนนี้มาจากสำนักไหนกัน? คงต้องคอยจับตาดูให้รู้ชัดเจนเสียแล้ว….”

ที่เรือนเชียนเหยียนนั้นก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปตั้งแต่ที่หลินซีเหยียนจากไป ยังคงเรียบง่ายและสะอาดเช่นเคย มีสถานที่อยู่เพียงไปกี่ที่เท่านั้นที่ทำให้นางรู้สึกเหมือนกับอยู่บ้าน

ทันทีที่นางกลับมาถึงเรือน นางก็พบจงซู่เฟิงที่มีสีหน้าซีดเซียวหน่อยๆ แต่เพราะมีเรื่องมากมายที่นางต้องคิด นางจึงได้ทักทายเขาด้วยเสียงอ่อนแรงแล้วจะเดินกลับไปที่ห้อง แต่ก็ถูกเรียกโดยจงซู่เฟิงเสียก่อน

“เกิดอะไรขึ้นเหรอแม่นางหลิน? ทำไมสีหน้าของท่านถึงได้ดูไม่ดีนัก?”

หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มอย่างฝืนๆแล้วกล่าว “องค์ชายจงอย่าได้กังวล ซีเหยียนเองก็เป็นหมอคนหนึ่ง ข้าสามารถดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว”

แล้วนางก็ได้หยุดพูดแล้วพาเทียนเอ๋อกลับไปที่ห้องของนาง

“ท่านแม่ เทียนเอ๋อเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ข้าสามารถนอนด้วยตัวเองคนเดียวได้แล้ว” เทียนเอ๋อที่เห็นแม่ของเขาหยิบเอาหมอนออกมาสองใบก็ได้รีบกล่าวขึ้นมา ครั้งหนึ่งอาจารย์ของเขาเคยบอกกับเขาเอาไว้ว่าผู้ชายที่นอนแยกกับแม่ไม่ได้นั้นจะถูกหัวเราะเยาะเอาได้

เทียนเอ๋อนั้นถูกเลี้ยงดูโดยหลินซีเหยียน นางย่อมเดาได้ว่าเขานั้นต้องการอะไรเพียงแค่มองปราดเดียว นางจึงได้ยกมือขึ้นมาแล้วเคาะศีรษะเทียนเอ๋อ “เจ้าเด็กตัวแสบ นี่เจ้ารังเกียจแม่ของเจ้าแล้วงั้นเหรอ?”

เทียนเอ๋อก็ได้ลูบหัวของเขาที่เจ็บแล้วกล่าวอย่างโมโห “เทียนเอ๋อไม่ได้รังเกียจท่านแม่เสียหน่อย เทียนเอ๋ออยากนอนกับท่านแม่มากที่สุดแล้ว”

ตั้งแต่กลับมาที่จวนมหาเสนาบดีหลิน หลินซีเหยียนก็ได้เพิ่งได้ยิ้มขึ้นมา ความโมโหในดวงตาของนางก็ได้หายไป แล้วเขาก็ได้ขึ้นมายืนบนเตียงแล้วลูบหัวหลินซีเหยียนราวกับผู้ใหญ่ “ท่านแม่อย่าได้เสียใจ, อย่าได้โกรธเคือง และอย่าหวาดกลัวไปเลย เพราะลูกของท่าน อัจฉริยะผู้ไร้เทียมทานคนนี้จะคอยปกป้องท่านแม่เอง”

ถ้านางไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง หลินซีเหยียนก็คงจะไม่เชื่อว่าเด็กอายุเพียงแค่ 5 ขวบจะพูดเช่นนี้ออกมา ด้วยเหตุนี้นางจึงได้รู้สึกปลื้มมากและที่ปลายจมูกของนางก็รู้สึกเหมือนจะร้องไห้

ด้วยความรู้สึกเช่นนี้หลินซีเหยียนก็ได้เป่าเทียนแล้วกล่าวด้วยเสียงเบาๆ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จะต้องแข็งแกร่งขึ้น เพราะแม่ของเจ้าคาดหวังวันที่เจ้าจะมาปกป้องแม่”

ในค่ำคืนที่มืดมิดนั้น ดวงตากลมโตของเทียนเอ๋อก็ได้ฉายแสงออกมาอย่างตั้งมั่น เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอนแล้วจากนั้นจะต้องปกป้องท่านแม่จากความโศกเศร้าอย่างในวันนี้ให้จงได้

แล้วเสียงลมหายใจก็เทียนเอ๋อก็ได้สงบนิ่ง หลินซีเหยียนก็ได้ลืมตาขึ้นมาแล้วเปิดประตูออกไปข้างนอก

จี๋เฟิงกับชิงอวี่ก็ได้ปรากฏตัวทีละคน แล้วคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหลินซีเหยียนแล้วจากนั้นนางก็ได้กล่าวบางอย่างที่ข้างหูของทั้งสอง แล้วจากนั้นจี๋เฟิงกับชิงอวี่ก็ได้หายไปในค่ำคืนนั้น

หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ที่ทั้งสองคนได้จากไป แล้วก็มีรอยยิ้มที่ชั่วร้ายปรากฏที่มุมปากของนาง แล้วพูดออกมาลอยๆ “คิดจะให้ข้าออกหน้าเพื่อให้เรื่องนี้สงบงั้นเหรอ ขอดูหน่อยเถอะว่าเจ้าจะมีความสามารถมากพอรึเปล่า? ฮูหยินอวี้”

ไม่รู้ว่านางนั้นออกมายืนข้างนอกห้องนานแค่ไหนแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้รู้สึกถึงสายลมเย็นที่พัดเข้ามา ทำให้นางจามออกมา นางจึงได้รีบกลับเข้าห้องแล้วหลับข้างๆเทียนเอ๋อ

เช้าตรู่วันต่อมา มหาเสนาบดีหลินก็ไม่ได้รอช้าได้ส่งคนมาเชิญหลินซีเหยียน ถึงแม้ว่าจะตามให้มาทานอาหารเช้าร่วมกัน แต่นางก็รู้ดีว่าเพื่ออะไรกันแน่

หลังจากที่ล้างหน้าล้างตาเสร็จ หลินซีเหยียนก็ได้ออกจากห้องมาเงียบๆขณะที่เทียนเอ๋อยังหลับอยู่ แต่ก่อนที่จะออกมาจากเรือนเชียนเหยียน นางก็ได้บอกให้จิ่งชุนทำข้าวต้มเมล็ดดอกบัวให้เทียนเอ่อ

ถึงแม้ว่าจิ่งชุนจะรับคำสั่ง แต่ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความกังวลราวกับว่าหลินซีเหยียนนั้นจะจากไปตายเยี่ยงทหารหาญที่จากไปแล้วไม่กลับมา

“คุณหนู ได้โปรดให้ข้าไปกับคุณหนูด้วยเถอะ! เรื่องที่เรือนปล่อยรั่วฉุ่ยจัดการได้เจ้าค่ะ” หลังจากที่ลังเลอยู่สักพัก จิ่งชุนก็ได้พูดขึ้นมา “ที่นี่มีแต่ข้ารับใช้และสาวใช้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ จิ่งชุนก็ยังสามารถช่วยปกป้องคุณหนูได้เจ้าค่ะ”

ดวงตาของหลินซีเหยียนก็ได้เต็มไปด้วยความอบอุ่น แล้วนางก็ได้ส่ายหัวแล้วเผยรอยยิ้มที่มั่นใจที่มุมปากของนาง “อย่าได้กังวลไป ในจวนมหาเสนาบดีแห่งนี้ ไม่มีใครที่สามารถทำร้ายคุณหนูของเจ้าได้หรอก”

จิ่งชุนก็ได้ลังเลอยู่พักใหญ่แล้วจากนั้นก็ได้ผงกหัวอย่างเชื่อฟัง “ข้าน้อยเชื่อท่านเจ้าค่ะ ข้าจะคอยดูแลนายน้อยเป็นอย่างดีเองเจ้าค่ะ”

ทันทีที่หลินซีเหยียนเดินออกมาจากเรือนเชียนเหยียน ก็ได้มีเสียงฝีเท้าที่ตามหลังนางมาอย่างรวดเร็ว เมื่อหันหน้ากลับไปก็พบว่าเป็นจงซู่เฟิง

มองไปที่ใบหน้าของจงซู่เฟิงที่ดูซีดเซียวมากกว่าเมื่อวานแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวด “ไม่ทราบว่าร่างกายของคุณชายจงมีอาการอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”