บทที่ 189 ดาบระบำแห่งความตาย

ไหปีศาจ

บทที่ 189
ดาบระบำแห่งความตาย

หลังจากที่เดินกลับออกไปจี๋กุยก็ออกอาการหดหู่เล็กน้อย
อย่างไรก็ตามสำนักโล่พิทักษ์นั้นดูเหมือนได้รับความนิยมอย่างมากจนไม่มีใครกล้าดูถูกอีก

ซึ่งเมื่อข่าวเหล่านี้กลับมาสู่ตระกูลลั่ว มันก็ทำให้หลายคนประหลาดใจ ใครจะไปคิดว่าร้านเล็ก ๆ นั่นจะมีอิทธิพลได้มหาศาลขนาดนี้
อีกทั้งยังเป็นร้านของบุตรชายที่ถูกเนรเทศเสียด้วย
ลั่วฮันเชียงผู้นำตระกูลคนปัจจุบันดูเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมบรรพบุรุษของเขาถึงให้ความสำคัญกับลั่วอู๋มาก ดังนั้นเขาจึงสั่งให้หยางกู่หลงไปเชิญเขากลับมา
อย่างไรก็ตามหยางกู่หลง ที่ได้รับคำสั่งมาก็ยิ่งหัวใจสลาย
อย่าขอให้เขาพาลั่วอู๋กลับมาเลย ตอนนี้แค่เดินเข้าประตูเขายังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
ณ คฤหาสน์ตระกูลลั่ว
ชายคนหนึ่งกำลังนั่งดื่มสุราเมามาย เดิมทีเขาเป็นคนที่ใจเย็นและมีความคิดซับซ้อนมาก แต่ตอนนี้เขากลับปล่อยตัวเองไปเรื่อยเปื่อย
ชายคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นไปนอกเสียจากลั่วฮั่นฮั๊ว อดีตผู้นำตระกูลลั่ว
หลังจากที่เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้นำตระกูลลั่วเขาก็เปลี่ยนไป เขากลายเป็นคนหดหู่ ดื่มสุราทั้งวัน หมดสิ้นศักดิ์ศรีในอดีตทั้งหมด
อย่างที่ทุกคนในตระกูลรู้กันว่า เขาได้หมดสิ้นหนทางทุกอย่างแล้ว เมื่อไปทำให้ท่านบรรพบุรุษโกรธ

“หยุดดื่มสุราเถอะเจ้าค่ะ” หญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น
เสื้อผ้าของผู้หญิงนั้นงดงามและมีท่าทางดูสง่างาม นางสวมชุดผ้าไหมที่ละเอียดอ่อน นางดูเป็นห่วงจนสามารถเห็นริ้วรอยชัดเจนบนใบหน้าของนางได้
ผู้หญิงคนนี้คือภรรยาลำดับหนึ่งของลั่วฮั่นฮั๊ว ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นนายหญิงของตระกูลลั่ว – เหวินหรง

“อย่ามายุ่งกับข้าน่า!” ลั่วฮั่นฮั๊วคำรามและผลักเหวินหรง ออกไป
เหวินหรงล้มลงกับพื้นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

ลั่วฮั่นฮั๊วจ้องมองไปที่เหวินหรงอย่างโกรธเคือง “เจ้าบอกข้ามาได้ไหมล่ะว่าทำไมเจ้าถึงสั่งการให้คนของเราไปลอบสังหารลั่วอู๋ ทำไม!”
ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงโง่คนนี้ที่ตัดสินใจออกคำสั่งในนามของเขาสิ่งต่าง ๆ ก็คงไม่มาถึงจุดนี้

“ข้ากลัวว่าเขาจะกลับมาแก้แค้นข้าเจ้าค่ะ” ใบหน้าของเหวินหรงมีร่องรอยของความกลัวปรากฏอยู่ “เขาเติบโตเร็วเกินไป ข้าต้องฆ่าเขาก่อนจะสายเกินไป”
ลั่วฮั่นฮั๊วอยากจะตบผู้หญิงข้าง ๆ เขาสักที “เจ้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ใช่รึไง เขาต้องการแก้แค้นทั้งตระกูลลั่ว แล้วเจ้าไปเกี่ยวอะไรกับเขาเล่า?”
ใบหน้าของเหวินหรงมีน้ำตาใส ๆ ไหลลงมาสองเส้น นางดูสิ้นหวังมาก“ ที่เมืองไฉฟางตอนที่เขาเกิด ข้าเพิ่งทำธุระเสร็จ เสียงร้องไห้ของเขาทำให้ข้าหงุดหงิด และข้าจำได้ว่าเขาเป็นลูกของท่านกับหญิงอื่น ด้วยความโกรธข้าเลยไปขอให้ใครสักคนทำลายสะพานแห่งพันธสัญญาของเขา ทำให้เขาไม่สามารถฝึกฝนพลังวิญญาณได้ตลอดชีวิต ทว่าตอนนี้เขากลับได้เดินไปบนเส้นทางแห่งการฝึกฝนพลังวิญญาณอีกครั้ง เขาจะต้องกลับมาแก้แค้นข้าแน่ ๆ ”
“ เจ้าโง่!” ลั่วฮั่นฮั๊วโกรธมาก
เขาไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นแบบนี้
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้หญิงคนนี้จะเสนอให้เนรเทศลั่วอู๋ ไปยังที่ห่างไกลถึงขนาดนั้น นางคงอยากให้เขาไม่สามารถกลับมาที่นี่ได้อีกทั้งชีวิต
“ท่านพี่ข้าควรจะทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ” เหวินหรงตัวสั่นด้วยความกลัว

อย่างไรก็ตามลั่วฮั่นฮั๊ว ได้สงบลงแล้วในขณะนี้ เขาเดินไปที่เหวินหรงอย่างช้า ๆ จากนั้นก็นั่งยอง ๆโดยใช้มือวางเบา ๆ ที่ด้านหลังคอของนางอย่างอ่อนโยน
“เจ้าต้องจัดการปัญหาที่ตัวเองก่อไม่ใช่เหรอ?” น้ำเสียงของลั่วฮั่นฮั๊ว สงบลงอย่างมากและยังเผยให้เห็นร่องรอยของความอ่อนโยนอันน่ากลัว
รูม่านตาของเหวินหรงขยายออกจากนั้นนางก็หน้ามืดและเป็นลมไป
ลั่วฮั่นฮั๊วตะคอก “มัดนางไว้ให้ข้า แล้วส่งนางไปที่ห้องเก็บฟืน”
……
……

ลั่วอู๋ขอให้หลี่หยินไปซื้อรองเท้าหนังมาให้เขาอีกในวันเดียวกัน แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป ตามคำสั่งของลั่วอู๋หลี่หยินได้ซื้อรองเท้าหนังมาหนึ่งคันเกวียน

ในมิติไหลั่วอู๋กำลังยุ่งมาก
เขาไม่ได้สนใจดาบเลือดเดือดระดับธรรมดา ๆ เขาคิดถึงสิ่งที่จี๋กุยบอกว่าดาบเลือดเดือดสามารถพัฒนาได้
แน่นอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนมีกฎเกณฑ์ในตัวเอง ที่เขาสนใจก็คือเขาจะทำให้ดาบเลือดเดือดธรรมดากลายเป็นอาวุธในตำนานได้อย่างไร
แม้ว่ามันจะสามารถดื่มเลือดและวิวัฒนาการได้อย่างอิสระเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด แต่การวิวัฒนาการก็น่าจะถูกจำกัดด้วยระดับของคุณสมบัติอยู่ดี
ดังนั้นสิ่งที่ลั่วอู๋ต้องการก็คือการสร้างดาบเลือดเดือดที่มี่ “คุณสมบัติ” ดีมากพอนั่นเอง

แต่มันก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างลำบาก
ก่อนอื่นเขาควรใช้ไม้แดงและชวนมิงเพื่อช่วยเสริมพลังในการสังเคราะห์ให้กับสมุนไพรเลือดปะทุ
จากนั้นก็สังเคราะห์ดาบเลือดเดือดด้วยสมุนไพรเลือดปะทุนั้นและรองเท้าหนังวัว
เมื่อได้ดาบเลือดเดือดมาแล้วก็เอามันสองอันมาสังเคราะห์เข้าด้วยกัน เพื่อค้นหาเป็นไปได้หนึ่งในร้อยเพื่อที่จะสร้างดาบเลือดเดือดที่ได้ถูกยกระดับ
ล้มเหลว
ล้มเหลว
ล้มเหลว
……
ความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดา ลั่วอู๋เคยชินกับมันแล้ว เขายังคงสงบนิ่งและสังเคราะห์ต่อไป
เมื่อพลังวิญญาณหมดลงหลาย ๆ ครั้งลั่วอู๋ก็จะไปทำสมาธิและฟื้นพลังวิญญาณ หลังจากฟื้นพลังวิญญาณแล้วเขาจะใช้พลังวิญญาณทั้งหมดไปกับการสังเคราะห์ดาบเลือดเดือดอีก
ท้ายที่สุด
หลังจากการสังเคราะห์หลายพันครั้ง
ดาบเลือดเดือดที่เต็มไปด้วยกลิ่นกระหายเลือดก็ปรากฏขึ้นมา

[ได้รับ ดาบเลือดเดือดแห่งราชา (ระดับ สวรรค์ สูงสุด), แต้มเซียน + 5]

เขาได้ผลิตดาบเลือดเดือดที่มีระดับสูงยิ่งกว่า “ความเป็นเอกลักษณ์” เสียอีก
ดาบนี้มีความยาวมากกว่าดาบเลือดเดือดธรรมดาเพียงครึ่งนิ้ว แต่มันมีลมปราณที่รุนแรงกว่ามาก มีรอยเลือดมังกรบนใบดาบและร่องที่ด้ามก็เปล่งแสงไอเย็นอันน่ากลัวออกมา
คุณสมบัติพื้นฐานของดาบนี้ดีกว่าดาบเลือดเดือดธรรมดามาก

“เป็นดาบที่ดีเลย”
ลั่วอู๋ลูบไปที่ดาบเลือดเดือดแห่งราชา

“ในอนาคตคงจะเรียกมันว่าดาบเลือดเดือดไม่ได้แล้ว ต่อไปนี่เจ้านี่คือดาบระบำแห่งความตาย”
หลังจากได้อาวุธใหม่แล้วลั่วอู๋แทบรอไม่ไหวที่จะถือมันไว้ในมือ เขาสัมผัสได้ถึงจังหวะและลมหายใจอันเป็นเอกลักษณ์ของมันราวกับเขากำลังค่อยๆสร้างการพันธสัญญาเบื้องต้นกับดาบ

ตอนนี้ลั่วอู๋นั้นมีโล่สองชั้นในมือซ้ายและดาบระบำแห่งความตายในมือขวาของเขา นอกจากนี้เขายังคงมีธนูเจียวหลงอยู่บนหลังของเขา เรียกได้ว่าตอนนี้เขาจึงมีอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครัน
“ข้ารู้สึกแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้” ลั่วอู๋งงงวยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ล้อเลียนตัวเอง “ถ้าข้ามีชุดเกราะด้วยละก็ ข้าคงจะลงไปสู้ในสนามรบได้สบาย ๆ”

เขาดูไม่เหมือนผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณสักเท่าไหร่ในตอนนี้
เขาดูเหมือนกับพวกทหารในสนามรบเสียมากกว่า
แต่เขาก็ไม่สนใจหรอก เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ได้สร้างอาวุธดี ๆ มาเพื่อจัดแสดงแสนยานุภาพเฉย ๆ อยู่แล้ว
ลั่วอู๋ตื่นเต้นมากที่ได้ลองใช้ดาบในมิติไห เขาค้นหาสัตว์วิญญาณที่อ่อนแอมาไม่กี่ตัวและฆ่าพวกมันลงอย่างง่ายดาย
ใบดาบนี้คมกริบ อะไรก็ตามที่สัมผัสเขากับมันจะขาดออก ทว่าเหล่าสัตว์วิญญาณที่ตายลงด้วยดาบระบำแห่งความตายนั้นดูเหมือนจะไม่มีเลือดเพียงพอ
ลั่วอู๋รู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณที่ได้กลับมานั้นอ่อนแอมาก เขาแทบจะไม่รู้สึกถึงอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อเขาลองเทียบกับความรู้สึกในตอนที่เขาได้ใช้ดาบเลือดเดือดดูดซับเลือดของจี๋กุยก่อนหน้านี้ ลั่วอู๋ก็เข้าใจ
ยิ่งคู่ต่อสู้แข็งแกร่ง พลังที่ได้กลับมาก็จะยิ่งแข็งแกร่ง

หรือก็คือดาบเลือดเดือดจะต้องได้ลิ้มรสเลือดของผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถพัฒนาตัวเองได้
“ข้าพอจะรู้แล้วว่าทำไม วิธีการหลอมดาบเลือดเดือดถึงได้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์” “คงจะเป็นเพราะว่าดาบในตำนานสามในสิบเกิดมาจากดาบเลือดเดือดเนี่ยแหละ” ลั่วอู๋พึมพำกับตัวเอง
“ต้องมีการสังเวยชีวิตมนุษย์ไปกี่คน ถึงจะสร้างดาบมนตราในตำนานทั้งสามเล่มนั้นขึ้นมาได้กัน”
“นี่ยังไม่นับคนฝึกฝนอย่างหนักเพื่อครอบครองดาบมนตราด้วยซ้ำ”
“บางทีแม้แต่ตัวนักดาบเองก็คงคิดว่าการสังหารเพื่อประสิทธิภาพของดาบนั้นหนักหนาเกินไป เขาจึงได้ทำลายวิธีในการหลอมดาบทิ้งไป”

แต่ลั่วอู๋ไม่ได้คิดได้เพียงแค่นั้น
ในอนาคตเขาคงจะไม่มีความคิดที่จะริเริ่มขายมันอีก นอกจากส่งให้หน่วยสยบมังกร เพราะพวกเขาคงจะไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจและคงไม่ส่งผลร้ายแรงอะไรย้อนกลับมา
“จะว่าไปแล้วข้าไม่ค่อยได้มีเรื่องให้ฆ่าคนแล้ว แบบนี้ดาบระบำแห่งความตายจะวิวัฒนาการขึ้นได้อย่างไรกัน” ลั่วอู๋รู้สึกปวดหัว
ดังนั้นเขาคงต้องทำอะไรสักอย่าง

วันต่อมาทีมคุ้มกันคมมีดแห่งสำนักโล่พิทักษ์ก็ได้รับข้อความมาจากเจ้าของร้านหลัก
หากพวกเจ้าจับมือสังหารหรือคนที่มีเจตนาแอบแฝงได้ ให้จับพวกเขาทั้งหมดขังไว้และอย่าฆ่าพวกเขาโดยเด็ดขาด

สำนักโล่พิทักษ์ เป็นที่นิยมมากจนทำให้หลายคนให้ความสนใจ
มันเป็นผลให้สถานการณ์แปลก ๆ ดังกล่าวมักปรากฏขึ้นไม่ว่าจะเป็นโจรหรือผู้ไม่หวังดี

ตกดึกหลังจากที่ทีมคุ้มกันคมมีดได้รับข้อความ เขาก็จับผู้ที่มีเจตนาแอบแฝงประสงค์ร้ายได้
ลั่วอู๋พุ่งเข้าไปหาเขาคนนั้นพร้อมตะโกนว่า “ให้ข้าจัดการเอง” แล้วเขาก็วิ่งไปจนสุดทางด้วยดาบระบำแห่งความตายในมือ ปลิดชีวิตของคนผู้นั้นลงและเดินจากไปอย่างพึงพอใจ
เกิดเรื่องแบบนี้เป็นชั่วครั้งชั่วคราวจนชาวสำนักโล่พิทักษ์รู้สึกงงงวยกันไปตาม ๆ กัน

นายน้อยกำลังทำอะไรของเขาอยู่กันแน่?
เขาอารมณ์ไม่ดี จนต้องการคลายความเครียดอย่างนั้นเหรอ?