เล่มที่ 7 บทที่ 192 พวกท่านสองคนชิดกันหน่อย

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เซียวหยวนรู้สึกไม่อาจทนดูได้ “ท่านลุง…”

“เจ้าเป็นเด็กดี หากเจ้าเป็นบุตรชายข้า เช่นนั้นคงดี แต่ข้าไม่มีวาสนาดีถึงเพียงนั้น! ” ท่านลุงสี่ทอดถอนใจอีกทีหนึ่ง

“ท่านลุง ท่านคิดเสียว่าข้าเป็นบุตรชายของท่านก็ได้ขอรับ หากครั้งหน้าท่านอยากดื่มสุรา ข้าก็จะมาดื่มกับท่าน ถึงแม้ข้าไม่สามารถดื่มกับท่านโดยใช้ถ้วยสุราได้เหมือนอายวี่ แต่จิบสักสองคำจากถ้วยเล็กนี่ก็ยังพอได้ พวกเราดื่มสุราไปพลางคุยกันไปพลาง”

“ได้! ” ท่านลุงสี่มีความสุขจนดื่มหมดเกลี้ยงอีกหนึ่งถ้วย เซียวหยวนไม่ได้รินให้เขาต่อ

สุราสมุนไพรที่เขานำมามอบให้วางอยู่ริมเตียงเตา เซียวหยวนหรี่ตามองสุราไหนั้น แววตาฉายประกายแสงระริก

หลังจากทำอาหารเสร็จหมดแล้ว ท่านป้าสี่จึงขึ้นมาบนเตียงเตา เซียวหยวนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านป้า เหตุใดหมิงจูถึงไม่มากินข้าวขอรับ? ”

เมื่อครู่ท่านป้าสี่ไปเรียกเซียวหมิงจู เซียวหมิงจูไม่ยอมมา นางจึงคิดจะปล่อยให้เซียวหมิงจูทนหิวสักหนึ่งมื้อ

พอเซียวหยวนเอ่ยถามขึ้นมา ท่านป้าสี่ก็ไม่อยากบอกว่าเซียวหมิงจูกำลังโมโหอยู่ จึงกล่าว “วันนี้นางเก็บผักตี้เอ่อมาจึงเหนื่อย กลับมาก็กลับห้องไปพักผ่อน กำลังพักผ่อนอยู่! ”

เซียวหยวนรีบเอ่ยถามด้วยความวิตก “น้องหมิงจูไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ขอรับ? ต้องเชิญท่านหมอมาดูอาการหรือไม่? ”

“ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องเป็นห่วง แค่เหนื่อยเท่านั้น พักผ่อนหน่อยก็หาย” ท่านป้าสี่ลอบถอนใจอยู่ในใจ ชายหนุ่มดีถึงเพียงนี้ บุตรสาวของตนเองตาบอดหรืออย่างไร

เมื่อได้ยินว่าไม่เป็นอะไร เซียวหยวนจึงไม่วิตกอีก รีบตักข้าวหนึ่งถ้วย ก่อนคีบอาหารใส่ถ้วยไม่น้อย แล้วจึงยื่นให้ท่านป้าสี่ “ท่านป้า น้องหมิงจูเหนื่อยมาตลอดช่วงบ่าย ไม่กินอาหารหากป่วยจะแย่เอาได้ขอรับ! ”

ท่านลุงสี่และท่านป้าสี่หันสบตากัน ภายในใจรู้สึกหวานละมุนราวกับได้กินน้ำผึ้งก็มิปาน

ว่าที่ลูกเขย เป็นห่วงบุตรสาวของตัวเอง ช่างดีจนไร้ที่ติจริงๆ

ท่านป้าสี่ยกอาหารเข้าไปในห้อง เซียวหมิงจูยังนอนอยู่บนเตียง นอนนิ่งไม่ไหวติง ชามกับตะเกียบถูกวางกระแทกลงบนโต๊ะอย่างรุนแรง ท่านป้าสี่กล่าวอย่างเย็นชา “หากเจ้าไม่อยากกินข้าว ข้าคิดจะปล่อยให้เจ้าทนหิวสักหนึ่งมื้อ แต่อาหยวนเป็นห่วงเจ้า พอรู้ว่าเจ้ายังไม่ได้กินข้าว เขาก็กินไม่ลง ตักให้เจ้าก่อนหนึ่งชาม ข้าวางข้าวไว้ตรงนี้ เจ้าอยากกินก็กิน ไม่กินก็ช่าง”

เซียวหมิงจูยังคงไม่ขยับเขยื้อน ท่านป้าสี่โมโหจนหันขวับจากไปทันที

ภายในห้องเหลือเพียงเซียวหมิงจูคนเดียวอีกครั้ง เซียวหมิงจูพลิกตัวกลับมาช้าๆ เห็นชามบนโต๊ะที่มีอาหารพูนชาม ไม่รู้สึกอยากอาหารแม้แต่น้อย

กินอาหารเย็นเสร็จ ท่านป้าสี่เก็บชาม ไปล้างที่ห้องครัว เดิมต้องไปเก็บโต๊ะอีก ทว่าเซียวหยวนกลับยกชามที่ใช้แล้วมา

ท่านป้าสี่ “เจ้าเป็นแขก จะให้เจ้ามาทำได้อย่างไร รีบวางลงเร็ว! ”

เซียวหยวนวางชามลงในกระทะ ถกแขนเสื้อขึ้นอย่างคล่องแคล่ว เริ่มล้างชาม เขาเร็วจนท่านป้าสี่ห้ามไม่ทันด้วยซ้ำ

“ท่านป้า ท่านกับหมิงจูง่วนกับงานมานานขนาดนั้น พวกท่านรีบไปพักผ่อนเถอะขอรับ ข้าจะล้างชามเอง! ” เซียวหยวนกล่าวอย่างเอาใจใส่

ภายในใจท่านป้าสี่รู้สึกตื้นตันนัก “เจ้าเด็กคนนี้นี่ เจ้าเป็นแขก มีใครที่ไหนให้แขกมาล้างชาม! ”

เซียวหยวน “ท่านป้า ท่านอย่าคิดว่าข้าเป็นแขกเลยขอรับ ต่อไปในบ้านมีงานหนักอะไรท่านก็ไปเรียกข้า ท่านลุงอายุมากแล้ว งานหนักไม่ดีต่อร่างกาย! ”

ท่านป้าสี่รีบขานตอบ “เจ้าเป็นเด็กดีจริงๆ ” นางตบบ่าเซียวหยวนเบาๆ แทบจะสะอื้นขณะออกจากห้องครัวไป

ท่านป้าสี่เข้าไปในห้อง ก็รีบถามสถานการณ์จากท่านลุงสี่ ท่านลุงสี่กล่าวอย่างพึงพอใจ “เด็กคนนั้นอยู่ข้างนอกไม่มีหญิงสาวที่ถูกใจ! ”

ท่านป้าสี่ตบต้นขาทีหนึ่ง รู้สึกยินดีนัก “เช่นนั้นก็จัดการได้ง่าย! ”

อาหยวนเด็กคนนั้นอยู่ข้างนอกไม่มีหญิงสาวที่ถูกใจ แววตาที่เขามองหมิงจู ก็บ่งบอกได้ว่าถูกใจบุตรสาวของนางไม่ใช่หรือ!

ท่านป้าสี่ไปส่งเซียวหยวนกลับบ้านด้วยตัวเอง

ระหว่างทางกลับ ท่านป้าสี่เอ่ยถามเซียวหยวน “อาหยวน มีเรื่องหนึ่งเดิมทีข้าควรปรึกษากับบิดามารดาของเจ้า แต่พวกเขาล้วนไม่อยู่แล้ว ข้างกายเจ้าก็ไม่มีญาติผู้ใหญ่ ป้าคิดไปคิดมา ก็ได้แต่ถามเจ้า”

“ท่านป้า เชิญถามขอรับ”

ท่านป้าสี่ยิ้มทีหนึ่ง เอ่ยถามด้วยท่าทีจริงจัง “อาหยวน เจ้าบอกป้ามาตามตรง เจ้าชอบพอหมิงจูหรือไม่? ”

เซียวหยวนตกใจ “ท่านป้า ข้า…”

ท่านป้าสี่ “เจ้าเพียงบอกว่าชอบหรือไม่ชอบ…”

เซียวหยวนก้มหน้าลงด้วยความเหนียมอาย จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างแรง “ชอบขอรับ! ” จากนั้นก็รู้สึกหดหู่ “แต่น้องหมิงจู… เหมือนจะไม่ค่อยสนใจข้านัก”

“เป็นสาวเป็นนาง ก็ต้องเขินอายอยู่แล้ว! ” ท่านป้าสี่ได้รับคำตอบจากเซียวหยวน จึงยิ้มพร้อมกล่าว “เจ้าวางใจได้ หมิงจูเพียงแค่หน้าบางขี้อาย เด็กดี ป้ายิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกถูกใจเจ้า หมิงจูถูกป้ากับท่านลุงของเจ้าตามใจจนเสียคนตั้งแต่เด็ก หากเป็นคนอื่น ข้าอาจไม่วางใจ แต่หากได้แต่งกับเจ้า เช่นนั้นก็เหมือนออกจากโถน้ำผึ้งหนึ่งร่วงลงไปในโถน้ำผึ้งอีกโถหนึ่ง ป้ากับลุงล้วนวางใจได้”

เซียวหยวนกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “ท่านป้า ท่านวางใจได้ หากน้องหมิงจูแต่งกับข้า ข้าจะทำให้นางกลายเป็นสตรีที่มีความสุขที่สุดบนโลกใบนี้แน่ขอรับ”

“ป้ารู้ ป้าเข้าใจ! ” ท่านป้าสี่มีความสุขไปตลอดทาง ดีอกดีใจจนแทบจะวิ่งแล้ว

เซียวหยวนยืนอยู่หน้าบ้านตัวเอง ไม่ได้เข้าไป มองส่งท่านป้าสี่เดินจากไป

เขาเผยรอยยิ้มอ่อนโยนที่มุมปาก ตอนท่านป้าสี่หันกลับมามองเขา เขาปริปากยิ้มอย่างใสซื่อ ท่านป้าสี่ก็ยิ้มเช่นกัน นางโบกมือให้เขา “รีบเข้าไปพักผ่อนได้แล้ว”

เซียวหยวนยิ้มพร้อมพยักหน้า

เมื่อนางเดินไปไกลแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าเซียวหยวนค่อยๆ หายไป ใบหน้าอ่อนโยนใสซื่อเหมือนจะเปลี่ยนหน้าเป็นอย่างไรอย่างนั้น ชั่วพริบตาเดียวก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

ดูเย็นชาและโหดเหี้ยม

ทางเซี่ยยวี่หลัว ไม่ได้ออกบ้านตลอดช่วงบ่าย ต้องเตรียมอาหารเย็นสำหรับหกคน หลังจากเซี่ยยวี่หลัวตื่นจากนอนกลางวันก็เริ่มตระเตรียมทันที

มื้อเย็นยังคงเป็นปลาสองตัว ปลาตุ๋นน้ำแดงใส่หน่อไม้ดองที่ทำให้เด็กๆ กินเมื่อหลายวันก่อนประสบความสำเร็จมาก วันนี้ยังคงทำปลาตุ๋นน้ำแดงใส่หน่อไม้ดอง เนื้อหมูที่ซื้อมาเมื่อสองวันก่อนยังเหลืออีกหนึ่งชิ้น เซี่ยยวี่หลัวหั่นเป็นแผ่นบาง หมักด้วยเกลือและซีอิ๊ว เด็ดพริกจำนวนหนึ่งจากสวนหลังบ้าน หั่นเป็นเส้นเฉียง คิดจะทำหมูผัดพริก

นำผักตี้เอ่อที่ตากแห้งไปแช่น้ำและล้างจนสะอาด วางเตรียมไว้ข้างๆ หยิบไข่มาหกฟอง ใช้สามฟองทำไข่ผัดพริก อีกสามฟองทำไข่ตุ๋น ให้สองพี่น้องเซียวจื่อเซวียนกิน

เซี่ยยวี่หลัวทำอาหารเจ็ดถึงแปดชนิดออกมาอย่างคล่องแคล่ว เมื่อพระอาทิตย์เคลื่อนไปทางทิศตะวันตกจนใกล้ลับขอบฟ้า เสียงเคาะประตูจึงดังขึ้นจากข้างนอก ท่านปู่เซียวและเซียวเหลียงมาแล้ว

ทั้งสองคนมาแล้วจึงพูดคุยกับเซียวยวี่

เซียวเหลียงเพิ่งได้เห็นเรือนหลังใหม่ของเซียวยวี่เป็นครั้งแรก มองดูจนทั่วรอบหนึ่ง พอรู้ว่าเรือนหลังนี้เซี่ยยวี่หลัวเป็นคนปลูก ก็ตกตะลึงอ้าปากค้างจนแทบใส่ไข่ไก่ได้หนึ่งฟอง

เซียวจื่อเซวียนที่อยู่ข้างๆ กล่าวด้วยท่าทางได้ใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าเก่งมากทีเดียว ทำเป็นทุกอย่างเลยขอรับ! ”

เซียวเหลียงเห็นด้วยกับวาจานี้เป็นอย่างยิ่ง “เป็นเช่นนั้นจริง อายวี่ เจ้าได้แต่งภรรยาดีจริงๆ ทำอะไรก็ยอดเยี่ยมทุกอย่าง! สตรีทั้งหมู่บ้านของเราไม่มีใครเทียบนางได้เลย! ”

ถือว่าประเมินนางสูงมาก

ถึงแม้เซียวยวี่จะไม่รู้ว่าเซี่ยยวี่หลัวทำอะไรไปบ้าง ทว่า เมื่อท่านปู่เซียวและท่านอาเซียวเหลียง รวมทั้งท่านลุงสี่ต่างบอกว่าเซี่ยยวี่หลัวดี เซียวยวี่ย่อมน้อมรับคำชมทั้งหมด จิตปรปักษ์และความรู้สึกละเหี่ยใจที่มีต่อเซี่ยยวี่หลัว กำลังค่อยๆ สลายหายไปโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ

เซี่ยยวี่หลัวว่องไวมาก เพียงครู่เดียว ก็ยกอาหารไปไว้บนโต๊ะทั้งหมดแล้ว

กับข้าวเจ็ดอย่าง น้ำแกงหนึ่งชาม เดิมทีเซี่ยยวี่หลัวจะไปหยิบสุรา แต่เซียวเหลียงนำสุรามาแล้ว จึงได้แต่ปล่อยไป

สุราหยางเหมยที่นางหมักไว้ยังดื่มไม่ได้ อย่างไรก็ยังต้องรออีก จึงไม่ได้นำออกมา!

เซี่ยยวี่หลัวไปห้องครัวเพื่อล้างมือให้สะอาด ล้างหน้าเสร็จ จึงกลับไปยังห้องโถง

พอเข้าห้องโถงไปดู ก็ถึงกับผงะไป

โต๊ะเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยม วางเก้าอี้ไว้หกตัว ท่านปู่เซียวและเซียวเหลียงนั่งด้วยกัน เด็กสองคนนั่งตำแหน่งสองข้างของท่านปู่เซียวและเซียวเหลียง ตอนนี้ตำแหน่งที่ว่าง ก็เหลือเพียงที่นั่งด้านขวาของเซียวยวี่

โต๊ะไม่กว้างนัก นั่งหกคนค่อนข้างแออัด ต้องนั่งเบียดชิดกัน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ที่นั่งข้างกายเซียวยวี่ ทั้งสองคนจะเบียดชิดกัน

นี่มันวิธีนั่งอะไรกัน?

เซี่ยยวี่หลัวผงะไป ให้นางนั่งใกล้ท่านราชบัณฑิตน้อยขนาดนั้น เช่นนี้ยังเรียกว่ากินข้าวอีกหรือ?

กินข้าวคุกล่ะสิไม่ว่า!

ท่านปู่เซียวไม่คิดมากถึงเพียงนั้น เพียงกวักมือ “ยวี่หลัว ทำไมถึงไม่มานั่งอีก รีบมานั่งลง! ”

เหลือเพียงที่นั่งเดียว เซี่ยยวี่หลัวได้แต่ฝืนยิ้มออกมา แฝงเร้นด้วยความกล้าหาญประหนึ่งทำใจแล้วว่าตายเป็นตาย นั่งลงข้างกายเซียวยวี่ช้าๆ จากนั้นวางมือไว้บนเก้าอี้ ขยับไปข้างๆ เล็กน้อย ด้านขวาของนางคือเซียวจื่อเมิ่ง พอนางขยับ ทั้งสองคนจึงเบียดชิดกันยิ่งขึ้น

เซียวจื่อเมิ่งกล่าวเสียงใส “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเบียดข้าแล้วเจ้าค่ะ! ท่านเขยิบไปทางพี่ใหญ่หน่อยสิเจ้าคะ! ”

เซียวจื่อเซวียนก็กล่าวอย่างไม่พอใจ “พี่ใหญ่ เบียดข้าทำไมขอรับ ท่านเขยิบไปข้างๆ หน่อย ข้าขยับมือไม่ได้แล้วขอรับ! ”

ท่านปู่เซียวรีบกล่าว “ตรงกลางยังเหลือที่อีกหน่อยไม่ใช่หรือ? อายวี่ ยวี่หลัว พวกเจ้าเขยิบเข้าตรงกลาง ชิดกันหน่อย อย่าเบียดโดนเด็กสองคน! ”

จากนั้นภายใต้การจับตามองของท่านปู่เซียว เซียวเหลียง และเด็กสองคน เซียวยวี่ยกเก้าอี้ไปทางขวาเล็กน้อย เซี่ยยวี่หลัวก็ขยับไปทางซ้ายเล็กน้อย

เมื่อเห็นทั้งสองคนชิดกันแล้ว ทุกคนต่างแสดงสีหน้ายินดี “อาจจะเบียดกันไปบ้าง แต่เช่นนี้สิถึงจะเรียกว่ากินข้าว คึกคัก มีความสุข! ”

เซียวจื่อเซวียนปรบมือตะโกนว่าดีอย่างร่าเริง “ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ! ”

เซียวยวี่กล่าวอะไรไม่ออก …

เขาคงไม่ได้เลี้ยงน้องชายตัวปลอมไว้ใช่ไหม เบียดที่ไหนกัน เบียดที่ไหนกัน ไม่ได้แตะมือของเขาด้วยซ้ำไม่ใช่หรือ?

เซี่ยยวี่หลัวกุมขมับ …

ทำไมนางถึงมีความรู้สึกเหมือนถูกลูกแกะที่นางเลี้ยงจนเชื่องทรยศเอา!

เป็นลูกแกะที่ไร้พิษสงที่ไหนกัน เป็นเจ้าหนูกับนางหนูมากเล่ห์ที่ปกติไม่เผยธาตุแท้ พอลงมือก็ปราบทุกคนจนเรียบเลยไม่ใช่หรือ!