ในเดือนสาม หลังจากฝนแรกแห่งฤดูใบไม้ผลิหยุดลง อากาศก็เริ่มอบอุ่นขึ้น

ภายในห้องหนังสือของเฉิงเจียวเหนียงเฉินตันเหนียงวางพู่กันในมือลง

นางถูจมูกไปมา มองดูเฉิงเจียวเหนียงและแม่นางเฉินสิบแปดที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังตั้งใจเขียนหนังสืออยู่ ตันเหนียงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกกระโปรงขึ้นเดินย่องออกมา

กลิ่นดินโคลนอันเปียกชุ่มของฤดูใบไม้ผลิยังคงอบอวลอยู่ภายในเรือนหลังเล็ก หญ้าเขียวชอุ่มขึ้นมาปกคลุมแปลงดอกไม้

เฉินตันเหนียงสูดหายใจเข้าลึก

“แม่นางสิบเก้า” สาวใช้ที่นั่งทำถุงเท้าอยู่ตรงทางเดินของเรือนเห็นนางออกมาก็รีบลุกขึ้น “แม่นางเขียนเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ”

เฉินตันเหนียงเดินเข้าไปนั่งลงบนเบาะนั่ง มองดูในเรือนแล้วถอนหายใจ

“ข้าเขียนไปหนึ่งแผ่นแล้ว” นางเอ่ยพลางสะบัดข้อมือ “ข้าทำการบ้านที่บ้านเสร็จแล้วจึงมาที่นี่น่ะ”

พูดพลางทำหน้ามุ่ยน้อยใจ

มาแล้วก็ไม่ได้เล่นแถมยังต้องฝึกเขียนหนังสืออีก รู้เช่นนี้แต่แรกก็คงไม่มาแล้ว

“แม่นางสิบเก้ายังเด็กอยู่ เขียนหนึ่งแผ่นก็พอแล้วเจ้าค่ะ รออีกสักครู่ นายหญิงและแม่นางสิบแปดก็เขียนเสร็จแล้วอีกเดี๋ยวก็คงมาเล่นกับแม่นางได้แล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยพลางวางเข็มกับด้ายลง “ข้าเอาของว่างให้กินดีหรือไม่เจ้าคะ เมื่อวานนายหญิงทำเองกับมือเลยนะเจ้าคะ”

เฉินตันเหนียงปรบมือขานรับ มองดูสาวใช้ลุกขึ้นแล้วยกจานมาจากในห้อง

ขนมเปียกปูนหลากทรงทั้งเหลี่ยมทั้งกลม สีสันละลานตาทั้งเหลืองดำขาวกระจัดกระจายอยู่ในจาน นุ่มนิ่ม หอมหวานน่ากิน

“ว้าว” เฉินตันเหนียงเอ่ย ก่อนจะยื่นมือมารับช้อนเงินที่สาวใช้ส่งให้แล้วไม่พูดอะไรอีก จากนั้นจึงเริ่มกินอย่างดีอกดีใจ

เมื่อแม่นางเฉินสิบแปดและเฉิงเจียวเหนียงฝึกเขียนหนังสือเสร็จแล้วเดินออกมา เฉินตันเหนียงก็กินแทบจะหมดจานแล้ว

“แม่นางสิบเก้า กินอีกไม่ได้แล้วนะเจ้าค่ะ” สาวใช้แย่งจานมาแล้วเอ่ย “จะกินของวางแทนข้าวมิได้นะเจ้าคะ”

“พี่สาว ให้ข้ากินอีกสักชิ้นเถิด” เฉินตันเหนียงชูช้อนขึ้นขอร้อง

“ตันเหนียง อย่าเสียมารยาท” แม่นางเฉินสิบแปดรีบพูดขึ้น

“ท่านพี่ แม่นางเฉิงทำของว่างอร่อยมากเลยเจ้าค่ะ” เฉินตันเหนียงดึงนางไว้แล้วเอ่ยด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ข้ารู้” แม่นางเฉินสิบแปดยิ้มพลางเอ่ย

เรื่องราวที่นายใหญ่เฉินและเฉินตันเหนียงบังเอิญเจอกับเฉิงเจียวเหนียงระหว่างทาง กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่คนในบ้านพูดถึงไปเสียแล้ว แม้แต่รายละเอียดก็ไม่ได้ตกหล่นเลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่เรื่องตอนที่เฉินตันเหนียงกินขนมถั่วแดงของคนอื่นเท่านั้นที่ขาดหายไป

ถึงแม้จะเป็นเด็กแต่เฉินตันเหนียงก็ได้รับการอบรมจากที่บ้านไม่ให้นางตะกละตะกลาม อีกอย่างตระกูลเฉินเองก็ไม่ใช่ตระกูลที่ขาดแคลนเสื้อผ้าอาหาร รสชาติที่ยากจะลืมเช่นนี้ ต้องเป็นรสชาติที่แสนอร่อยและไม่เคยลิ้มลองมาก่อนอย่างแน่นอน

ขณะที่แม่นางเฉินสิบแปดพูดอยู่ สายตาก็เหลือบไปเห็นถาดในมือของสาวใช้ ในถาดเหลือเพียงกระบอกไม้ไผ่สองกระบอก

“นี่คือบ๊ะจ่างในกระบอกไม้ไผ่เจ้าค่ะ” สาวใช้เห็นสายตาของนางจึงอมยิ้มแล้วอธิบายให้ฟัง

“อืมๆ อร่อย ข้างในมีพุทราจีนกับเกาลัดด้วย” เฉินตันเหนียงรีบเอ่ย

ด้านเฉิงเจียวเหนียงก็วางแก้วน้ำในมือลง

“นายหญิงจะออกไปข้างนอกแล้วหรือเจ้าคะ” สาวใช้รีบทิ้งของว่างในมือลงแล้วเอ่ยถามขึ้น

นี่คือกิจวัตรของเฉิงเจียวเหนียงในช่วงนี้ ทุกวันหลังอาหารเช้าจะฝึกเขียนหนังสือกับแม่นางเฉินสิบแปด จากนั้นจะออกไปที่เรือนสะพานอวี้ไต้ กินอาหารเย็นเสร็จแล้วจึงกลับมา

เฉินตันเหนียงได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้เซ้าซี้ร้องขอของกินอีกก่อนจะลุกขึ้นตามมา

“พี่เฉิง พี่ไปเล่นบ้านข้าเถิด” นางเอ่ย

“วันหลังแล้วกัน” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

“เช่นนั้นวันหลังข้าเชิญแม่นางออกไปเที่ยวเล่นแล้วกัน” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย

พวกนางพูดพลางเดินออกไปข้างนอก

“ตอนนี้เดือนสามเป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว เหมาะแก่การเดินเล่นแถวชานเมืองพอดี”

“นั่นสิ นั่นสิ พี่เฉิง พวกเราไปเที่ยวด้วยกันเถิด” เฉินตันเหนียงดึงแขนเสื้อของเฉิงเจียวเหนียงแล้วเงยหน้าขึ้นพูด

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

“ได้” นางเอ่ย

รถม้าของบ้านตระกูลเฉินมาถึงนอกประตูสองก่อนแล้ว แต่รถม้าของบ้านตระกูลเฉิงยังไม่มา

“นายหญิง เนื่องจากวันนี้ฮูหยินและเหล่าแม่นางทั้งหลายออกไปข้างนอกกันหมด ก็เลย…” แม่นมคนหนึ่งเอ่ยอย่างกระวนกระวาย

“ไม่มีรถม้าแม้แต่คันเดียวเลยหรือ” สาวใช้ยกคิ้วถามอย่างไม่พอใจ

“มีแต่รถที่สาวใช้แม่นมนั่งกัน…” แม่นมเอ่ย

“เช่นนั้นก็นั่งคันของข้าแล้วกัน” แม่นางเฉินสิบแปดรีบเอ่ย “แม่นางจะไปไหนข้าไปส่งท่านเอง”

“ได้” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว นางพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยขอบคุณ

เหมือนว่าฤดูใบไม้ผลิจะมาถึงในชั่วพริบตา บนท้องถนนเต็มไปด้วยความสดใสงดงาม เหล่าชายหนุ่มเริ่มประดับดอกไม้บนหมวกมากขึ้นเรื่อยๆ

“นายหญิง ด้านหน้าไปไม่ได้ขอรับ เปลี่ยนเส้นทางเถิดขอรับ”

คนบังขับรถเอ่ย

สาวใช้ที่เปิดม่านดูทิวทัศน์บนท้องถนนรีบมองไปด้านหน้า เห็นกลุ่มคนมากมายอยู่เบื้องหน้าจริงๆ

“ข้าลืมไป” นางนึกได้ในทันทีจึงเอ่ยขึ้นแล้วหันมามองเฉิงเจียวเหนียง “นายหญิง วันนี้ประกาศผลสอบเจ้าค่ะ”

เฉิงเจียวเหนียงมองออกไปข้างนอกเช่นกัน

“ยังไม่ถึงราชวิทยาลัยเลย มีคนมากมายเพียงนี้แล้วหรือ” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยถาม

สาวใช้เหลียวหลังมายิ้ม

“นายหญิงเฉินคงไม่ทราบสินะเจ้าคะ มีคนมาจองที่ตั้งแต่กลางดึกแล้วเจ้าค่ะ คนจะมาเบียดเสียดกันที่ถนนสายนี้เต็มไปหมดเลยเจ้าค่ะ” นางป้องปากยิ้มเอ่ย

แม่นางเฉินสิบแปดอดไม่ได้ที่จะมองออกไปเช่นกัน นางเห็นฝูงคนมากมายหลั่งไหลไปตามถนนสายนี้จริงๆ เสียงโห่ร้องตะโกนโหวเหวกลอยมาเป็นพักๆ รวมกับเสียงร้องไห้ดังขึ้นเป็นครั้งคราว

สาวใช้กระโดดลงรถม้า เหลียวซ้ายแลขวาแล้วบอกกับคนบังคับรถว่าควรไปทางไหน

“ปั้นฉินดูคุ้นเคยกับเมืองหลวงนัก” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย มองดูสาวใช้ที่อยู่ด้านนอก

“นางใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาหลายปี” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

“นี่ พี่สาวก็ใช้ชีวิตที่นี่มาหลายปีแล้วหรือ” เฉินตันเหนียงเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

“เปล่า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย สายตาหยุดอยู่ที่ด้านนอก

แม่นางเฉินสิบแปดปรามเฉินตันเหนียงที่กำลังจะพูดต่อ แล้วมองไปตามเฉิงเจียวเหนียง นางเห็นชายหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ข้างปั้นฉิน

“บังเอิญนัก พบกันอีกแล้ว” หันหยวนเฉายิ้มพลางเอ่ยขึ้น

“ท่านชายหัน ท่านมาดูประกาศผลสอบหรือเจ้าคะ” สาวใช้อมยิ้มพลางเอ่ย สีหน้านบนอบและเป็นกันเอง

นายหญิงทุ่มเททำเพื่อท่านชายท่านนี้มากมายเพียงนี้ แสดงว่าจะต้องสำคัญกับนายหญิงไม่น้อย

หันหยวนเฉาพยักหน้า

“แต่ว่า อีกสามปียังต้องมาอีกครั้ง” เขายิ้มเอ่ย

“ท่านชายหัน อย่าท้อใจไปนะเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยปลอบใจ

หันหยวนเฉาพยักหน้า

“ไม่ท้อหรอก ข้าไม่ใช่คนเก่งอะไร จะสอบได้ในครั้งเดียวได้อย่างไรเล่า” เขาอมยิ้มเอ่ย

เห็นเขาไม่ได้เสียใจอะไรมากนัก สาวใช้ก็วางใจ

สายตาของหันหยวนเฉามองไปทางรถม้า

“ข้าออกมาข้างนอกกับเหล่านายหญิงเจ้าค่ะ” สาวใช้รีบเอ่ย นางลังเลอยู่สักพัก เมื่อเห็นว่าในรถไม่มีสัญญาณของเฉิงเจียวเหนียงว่าอยากจะพบท่านชายหัน จึงไม่ได้มีปฏิกิริยาใด

หันหยวนเฉาก้าวถอยไป

“อีกไม่กี่วันก็จะจากเมืองหลวงแล้ว ได้พบกันในเมืองหลวงก็ถือเป็นพรหมลิขิต เช่นนั้นก็ลากันตรงนี้เลยแล้วกัน” เขาเอ่ยพลางคำนับ “ขอให้พี่สาวฝากคำทักทายไปถึงองค์หญิงด้วย”

สาวใช้รีบคำนับกลับ

หันหยวนเฉาอมยิ้มพยักหน้าแล้วหันหลังกลับ เหล่าสหายที่รออยู่ด้านข้างก็รีบเดินตามไป

“ท่านชาย” สาวใช้รีบตะโกนเรียก

หันหยวนเฉาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก่อนจะหยุดยืนแล้วหันหลังกลับมา

“ท่านชายจะไปเมื่อใดเจ้าคะ” สาวใช้อดเอ่ยถามขึ้นไม่ได้

“อีกสามวันห้าวันกระมัง” หันหยวนเฉาเอ่ยก่อนจะยกมือคำนับแล้วหันหลังกลับเดินจากไป

“นี่ ไม่รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ในรถนั่นใช่นายหญิงที่จะมาจับเขยหรือไม่” สหายยิ้มเอ่ย

หันหยวนเฉาเหลียวไปมอง ไม่รู้ว่าสาวใช้และรถม้าคันนั้นเลี้ยวเข้าไปในซอกซอยใดจึงมองไม่เห็นเสียแล้ว ชายหนุ่มส่ายหน้าพลางยิ้ม

ไม่รู้ว่ายิ้มให้กับคำพูดของสหาย หรือยิ้มให้กับความเข้าใจผิดตอนที่สาวใช้มาหาในร้านกันแน่

“ตอนนี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะ” เขาเอ่ยพลางมองเนื้อตัวของตนเอง “ไม่มีใครจะจับซิ่วไฉสอบตกหรอก”

ทุกคนก็หัวเราะขึ้นมา แต่เสียงหัวเราะกลับมีความเศร้าแฝงอยู่

“รถม้าคันนั้น” สหายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นแล้วเงียบไป

“รถม้าทำไมหรือ” คนอื่นๆ มองไปทางเขาแล้วเอ่ยถาม

“เหมือนว่าจะเป็น รถของบ้านอำมาตย์เฉินเซ่า” สหายผู้นั้นลังเลไปสักครู่แล้วเอ่ยขึ้น

อำมาตย์เฉินหรือ

คนในที่นั้นต่างตกตะลึง ก่อนจะหันหลังไปมองอย่างอดไม่ได้ แต่ทว่ารถม้าคันนั้นก็หายไปเสียแล้ว

“อ้อ จริงสิ ข้านึกออกแล้ว ข้าก็ว่าทำไมตราสัญลักษณ์นั้นคุ้นตานัก”

เสียงดังขึ้นต่อเนื่อง

สายตาของทุกคนหันไปมองหันหยวนเฉาในทันใด หันหยวนเฉาเองก็ตกตะลึงเช่นกัน

ตระกูลเฉินหรือ

“หยวนเฉา เจ้าเกือบจะได้เป็นลูกเขยบ้านอำมาตย์เฉินแล้ว…” สหายผู้หนึ่งเอ่ยพึมพำ

หันหยวนเฉาตั้งสติได้

“อย่าพูดจาเหลวไหล!” เขาเอ่ย “ไม่มีเรื่องเช่นนั้นเสียหน่อย!”

เหล่าสหายไม่ได้สนใจ เรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นขับไล่ความผิดหวังในใจของทุกคน ต่างคนต่างหัวเราะกันคิกคัก

บนถนนอีกเส้นหนึ่ง ฝูงชนและขบวนรถม้าหยุดลงมองดูผู้คนที่กำลังหลั่งไหลไปในทางเดียวกัน

“ถ้าเข้าไปอีกก็จะถึงราชวิทยาลัย บนถนนนั้นเป็นคนที่มาดูผลการสอบกัน ตอนนี้เส้นทางคงติดขัดเป็นแน่ จะไล่ไปก็คงไม่ง่าย” สองคนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยเสียงแผ่วเบาแล้วหันหัวม้ากลับ

คนและขบวนม้าที่สะดุดตาห้อมล้อมรถม้าคันหนึ่งไว้

“จวิ้นอ๋อง ทางราชวิทยาลัยนี้ผ่านไปไม่ได้ เราต้องอ้อมไปขอรับ” ทั้งสองเอ่ยรายงาน

“อ้อมไปแล้วกัน” เสียงชายในรถเอ่ยขึ้น

องครักษ์รับบัญชาแล้วเลี้ยวรถม้า ขณะที่กำลังจะวิ่งตรงไป ม่านรถก็เปิดออกมากะทันหัน

“ช้าก่อน” เด็กหนุ่มเผยรูปลักษณ์ออกมาแล้วเอ่ยขึ้น

ทุกคนต่างชะงักไปแล้วรีบหยุดรถลง

จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองไปด้านข้าง จุดนี้เป็นสะพานหินข้ามแม่น้ำ แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันประกาศผลสอบ ผู้คนทั้งเมืองหลวงต่างก็ทะลักไปที่ราชวิทยาลัย ทำให้หัวสะพานที่ปกติคึกคักกลับเงียบเหงาลง

รถม้าคันหนึ่งจอดอยู่หน้าเรือนตรงหัวสะพาน สาวใช้สามคนกำลังพยุงหญิงสาวสองคนและเด็กหญิงคนหนึ่งลงจากรถ

ยามเห็นหญิงสาวหนึ่งในนั้น จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็หรี่ตาขึ้นมาทันใด

“ในเมื่อมาแล้ว ก็เข้ามานั่งก่อน” เฉิงเจียวเหนียงหันหน้ากลับมาแล้วเอ่ยขึ้น

การที่จะได้รับคำเชิญชวนจากหญิงผู้นี้นั้นยากนัก แม่นางเฉินสิบแปดและเฉินตันเหนียงย่อมตอบรับอยู่แล้ว

ทั้งสามกำลังจะก้าวเท้าออก ก็ได้ยินเสียงกีบม้าดังขึ้น

“นี่ รถม้าใครกัน ขวางทางเสียจริง!” ชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนอย่างหยาบคาย

เนื่องจากกำลังลงจากรถม้าทั้งยังไม่ได้เดินอยู่ข้างนอก หญิงสาวทั้งสองจึงก็ไม่ได้บดบังใบหน้าของตน เสียงตะโกนทำให้นางเงยหน้าหันไปมอง

รูปร่างหน้าตาของเหล่าหญิงสาวเปิดเผยสู่สายตาคนนอก

“นี่ เจ้าเดินไม่เป็นหรือไร” บ่าวรับใช้ของตระกูลเฉินยกคิ้วตะคอกใส่ แล้วชี้ไปยังถนนอันกว้างขวาง “จะมีรถที่ไหนมาชนกัน”

ชายหนุ่มที่ขี่ม้ามาส่งเสียงโกรธเคือง หรี่ตามองดูตราสัญลักษณ์ที่แขวนอยู่บนรถ

“เกลียดนักพวกตระกูลมีอำนาจอย่างพวกเจ้า” เขาเอ่ยพึมพำ แล้วตบม้าวิ่งผ่านไป

“แปลกคนนัก!” สาวใช้เอ่ยแล้วพยุงเฉิงเจียวเหนียง “นายหญิง เราเข้าไปกันเถอะเจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นเหล่าหญิงสาวเดินตามกันเป็นพรวนเข้าไปแล้ว รถม้าก็ถูกบังคับให้เข้าไปเช่นกัน ก่อนประตูเรือนจะถูกปิดลง

จิ้นอันจวิ้นอ๋องเบนสายตากลับมา

“จวิ้นอ๋อง เป็นรถม้าของบ้านเฉินเซ่าขอรับ” องครักษ์คนหนึ่งเข้ามาเอ่ยเสียงแผ่วเบา

“ข้ารู้” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยแล้วปล่อยม่านลง “ไปเถิด”

องครักษ์โบกมือ รถม้าก็วิ่งไปต่อ

ในรถที่โคลงเคลงไปมา ใบหน้าของเด็กหนุ่มปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา

ข้ารู้

เฉินซู่ แม่นางเฉินสิบแปด

คนที่หน้าตาประหลาดน่าเกลียดเช่นนั้น ช่างทำให้อยากลืมแต่กลับลืมไม่ลง

……………………………………………..