สายฝนยามฤดูใบไม้ผลิโปรยปราย ดอกไม้ใบหญ้าในเรือนแตกกล้าเขียวขจีหนาแน่นมากขึ้นกว่าเดิม
สาวใช้ยกถาดออกมาจากห้องครัวอย่างรีบร้อน
“พี่สาว ข้าช่วยถือร่มให้เอง” ปั้นฉินเอ่ยแล้วรีบกางร่มเดินตามไป
ทั้งสองเดินผ่านทางเล็กๆ ที่ปูด้วยกรวดแล้วก้าวขึ้นบันไดไป เมื่อถึงทางเดินปั้นฉินหุบร่มลงแล้วเปิดประตูห้องออก
“นายหญิง ข้าทำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ย
สาวใช้ก้าวเข้าไป ปั้นฉินก้มหน้าแล้วปิดประตู สายตาเหลือบไปเห็นเฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ในห้องกำลังวางหนังสือลง
นางเหม่อไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวถอยออกไปยืนอยู่ตรงทางเดิน มองดูสายฝนเสียงแผ่วเบา
“นายหญิง อันนี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“อันนี้ ไฟแรงไป”
“อ้อ เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ ข้าจะจำไว้เจ้าค่ะนายหญิง อีกเดี๋ยวข้าจะลองใหม่”
“อันนี้ทำได้ไม่เลว”
“จริงหรือเจ้าคะ ขอบคุณเจ้าค่ะนายหญิง”
“ขอบคุณข้าทำไม เจ้าตั้งใจทำเองต่างหากเล่า”
เสียงพูดคุยถามตอบลอยมาจากในห้อง เสียงหัวเราะของสาวใช้ลอยมาเป็นพักๆ
ปั้นฉินเหลียวกลับไปมองอย่างอดไม่ได้ ความรู้สึกนั้นยากจะอธิบาย
ถ้าหากเกิดไม่เรื่องในตอนนั้น คนที่หัวเราะพูดคุยกับนายหญิงในตอนนี้คงจะเป็นตนเองกระมัง
บนโลกใบนี้ไม่มีคำว่าถ้าหาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ควรรักษาช่วงเวลาตรงหน้าเอาไว้ให้ดี
นางสูดหายใจลึก เปิดประตูอีกบานแล้วเดินเข้าไปเก็บเสื้อผ้าที่ซักแห้งดีแล้ว ก่อนจะก่อไฟเผาถ่านใส่ลงในเตารีดแล้วค่อยๆ รีดรอยยับให้เรียบ
ณ เรือนตระกูลจางนั้น สาวใช้หุบร่มลง เหล่าแม่นมและสาวใช้บริเวณทางเดินอมยิ้มแล้วเดินตรงมา
“พี่ซู่ซิน วันนี้ฝนตกแท้ๆ เหตุใดถึงมาได้เล่า” พวกนางเอ่ยถามพลางยิ้ม
“มาเยี่ยมนายใหญ่น่ะ” สาวใช้ยิ้มเอ่ยแล้วก้าวเข้าห้องโถงไป ทว่าเหมือนนางนึกอะไรขึ้นได้จึงเหลียวหลังมากำชับ “เรียกข้าว่าปั้นฉิน”
สาวใช้และแม่นมมองหน้ากัน ชื่อปั้นฉินไพเราะนักหรือ เหตุใดสาวใช้ทั้งสองคนต่างใช้ชื่อนี้
นายใหญ่จางที่ในห้องโถงวางหนังสือในมือลง มองดูสาวใช้ที่ก้มหัวคำนับ
“หายากนัก เจ้ายังจำนายเก่าอย่างข้าได้หรือ” เขายิ้มเอ่ย
สาวใช้ก็ยิ้มออกมา
“นายใหญ่พูดเสียจนบ่าวดูเป็นคนไม่มีหัวจิตหัวใจเลยนะเจ้าคะ” นางยิ้มเอ่ยพลางยื่นมือออกมาหยิบหนังสือเล่มบางแล้วยื่นให้ “ไม่ใช่แค่บ่าวที่คิดถึงนายใหญ่นะเจ้าคะ นายหญิงก็คิดถึงเช่นกันเจ้าค่ะ”
นายใหญ่จางอมยิ้มแล้วมองมา
นั่นเป็นหนังสือทำมือเล่มหนึ่ง ขอบกระดาษจึงตัดแต่งไม่เรียบร้อยนัก
“นายหญิงตั้งใจเขียนวิธีการทำของว่างให้นายใหญ่เอาไว้แกล้มน้ำชาเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ย “นายหญิงบอกว่านายใหญ่ไม่อยากอาหาร จึงต้องกินทีละน้อย แบ่งเป็นหลายมื้อ ดื่มชาให้มาก ดื่มเหล้าให้น้อย ของว่างเหล่านี้นายหญิงปรุงขึ้นเพื่อนายใหญ่โดยเฉพาะ สามารถบรรเทาอาการวิงเวียนของนายใหญ่ได้เจ้าค่ะ”
นายใหญ่จางหัวเราะเสียงดัง
“ว่ามา เจ้าอยากได้อะไร” เขาเอ่ยถาม
สาวใช้ก็หัวเราะเช่นกัน
“มีซิ่วไฉคนหนึ่ง ปีนี้สอบไม่ติด เขาชื่นชมนายท่านมาตลอด นายหญิงถามว่า จะขอหนังสืออธิบายตำราสักเล่มจากนายท่านได้หรือไม่” นางเอ่ยถาม
นายใหญ่จางรู้สึกสงสัยก่อนขยับนั่งหลังเหยียดตรง
“คนตระกูลเฉิงหรือ” เขาเอ่ยถาม
สาวใช้ส่ายหน้า
“เช่นนั้นก็ประหลาดนัก นายหญิงของเจ้ามีเมตตาขนาดนั้นเชียวหรือ” นายใหญ่จางยิ้มเอ่ย
“นายใหญ่เจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “นายหญิงข้ามีเมตตามาตลอดนะเจ้าคะ”
นายใหญ่จางหัวเราะออกมา
“ใครก็ได้เข้ามาที” เขาตะโกนเรียก
สาวใช้ที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูรีบขานรับ
“ไปบอกกับนายท่านของเจ้าที ว่าให้เขาเอาหนังสือให้ซู่ซินเล่มหนึ่ง” นายใหญ่จางเอ่ย
สาวใช้หน้าประตูขานรับ นางเองก็รีบลุกขึ้นตามไป
“ข้าตามไปด้วยก็แล้วกันเจ้าค่ะ ถึงแม้จะขอผ่านนายใหญ่แล้ว แต่บ่าวไปคำนับขอบคุณนายท่านเองจะดีกว่าเจ้าค่ะ” นางยิ้มเอ่ย
นายใหญ่จางยิ้มพลางพยักหน้า
“เอาอันนี้ไป ให้นายท่านสั่งห้องครัวทำเสีย” เขาเอ่ย
สาวใช้หน้าประตูขานรับแล้วรับหนังสือนั้นมา
มองดูสาวใช้คำนับขอบคุณตรงทางเดินแล้วลุกขึ้นเดินออกไป จางฉุนที่อยู่ในห้องหนังสือของตนก็กำลังลุกยืนขึ้น
“นายท่าน หนังสือเล่มนี้…” สาวใช้ในเรือนถือหนังสือทำมือเล่มนั้นยื่นให้พลางเอ่ยถามขึ้น
กระดาษธรรมดาเย็บเล่ม ตัดแต่งอย่างไม่ปราณีต หน้าปกก็ไม่ได้เขียนอะไรไว้ เล่มบางเพียงเจ็ดแปดหน้าเท่านั้น
“เอาไปให้ฮูหยินแล้วกัน ให้นางสั่งโรงครัวทำ” จางฉุนเอ่ย แต่ไม่ได้รับมาดู
ข้างกายฮูหยินจางฉุนมีสาวใช้ที่อ่านออกเขียนได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะสอนพ่อครัวทำไม่ได้
สาวใช้ขานรับแล้วขอตัวลา
ฤดูหนาวอันโหดร้ายได้ค่อยๆ คลายไป เมืองหลวงท่ามกลางสายฝนให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป
ถึงแม้ฝนจะตก แต่รถม้าและผู้คนที่สัญจรไปมาก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย ยังคงเข้าออกเมืองกันอย่างขวักไขว่
เนื่องจากฝนตก หันหยวนเฉาและสหายจึงไม่ได้ขี่ม้า แต่จ้างรถมาสองคัน คันหนึ่งนั่งมาด้วยกันสามคน ส่วนอีกคันหนึ่งให้เหล่าเด็กรับใช้นั่ง ส่วนม้าของแต่ละคนก็ติดตามไปด้วย บนหลังม้าขนของฝากจากเมืองหลวงมากมายกลับไป
หากเทียบกับความมุ่งมั่นและปณิธานล้นเปี่ยมยามมาถึงแล้ว บัดนี้ท่าทางของทั้งสามคนดูซึมเศร้าไม่น้อย
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร อีกสามปีมากันใหม่” หันหยวนเฉายิ้มเอ่ยปลอบใจอีกสองคน
“นั่นสิ นั่นสิ” สหายผู้หนึ่งยิ้มเอ่ย เปิดม่านออกแล้วลุกขึ้นมองเหลียวหลังออกไปด้านนอก “ขอมองดูประตูเมืองอีกสักครั้งเถิด”
คนอื่นๆ หัวเราะกันขึ้นมา ขณะกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็ได้ยินสหายผู้นั้นร้อง ‘เอ๊ะ!’ ขึ้นมา
“หยวนเฉา มีคนมาส่งเจ้าด้วย” เขาเอ่ยขึ้นแล้วยื่นมือชี้ไปทางด้านหลัง
สาวใช้กระโดดลงรถม้า ไม่ทันได้กางร่ม ท่าทางเหนื่อยหอบ
“ท่านชายหันไม่คิดว่าท่านจะลุยฝนกลับไป เกือบจะคลาดกันแล้วเจ้าค่ะ”
หันหยวนเฉาคาดไม่ถึงเลย แต่ก็ดีใจอย่างอธิบายไม่ถูก จะว่าไปแล้วถึงแม้จะพบกันไม่กี่วัน แต่อย่างไรเสียก็เป็นคนที่รู้จักกันที่เมืองหลวง
“จะกล้ารบกวนให้พี่สาวมาส่งได้อย่างไร” เขาอมยิ้มพลางคำนับ
“ข้าตั้งใจมาส่งของขวัญลาเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยพลางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกจากอก
หันหยวนเฉายื่นมือมารับอย่างงุนงง
ปกิณกคดี
ไม่ใช่หนังสือแปลกอะไร แต่ไม่ใช่ฉบับพิมพ์ แต่เป็นเล่มคัดมือ แบบอักษรเสี่ยวข่ายตัวบรรจง เป็นระเบียบเรียบร้อย
สายตาของหันหยวนเฉาตกอยู่ที่มุมล่างของหน้าปกหนังสือ
เจียงโจว จื่อหราน
นั่นมัน!
หันหยวนเฉาสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที เขามองดูสาวใช้อย่างแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
สาวใช้ยิ้มให้เขาแล้วคำนับ
“นายหญิงอวยพรให้ท่านชายชีวิตราบรื่นเจ้าค่ะ” นางเอ่ย
เมื่อพูดจบก็ไม่ได้รอให้หันหยวนเฉาพูดต่อ นางหันหลังกลับแล้วขึ้นรถม้าไป
หันหยวนเฉาตั้งสติได้แล้วจึงตะโกนเรียกอีกสองสามครั้ง แต่ก็ไม่สามารถหยุดรถม้าที่วิ่งออกไปไกลแล้วได้ เขากำหนังสือในมืออย่างเหม่อลอย จนกระทั่งสายฝนหยดบนหนังสือ จึงรีบตั้งสติแล้วเช็ดอย่างทะนุถนอม
สหายทั้งสองเข้ามาล้อม มองดูหนังสือในมือหันหยวนเฉาอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
“อาจารย์เจียงโจวเป็นคนเขียนเองกับมือหรือ”
“นี่ นี่มีแต่ท่านอำมาตย์เฉินเท่านั้นแหละถึงขอมาได้”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ สาวใช้คนนั้นบอกว่าเป็นนายหญิง”
“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่านางเตรียมจะจับเขยหน้ากระดาน!”
“สอบไม่ติดก็เลยไม่จับแล้วหรือ”
“หยวนเฉา พอเจ้ากลับไปคงต้องคิดทบทวนเรื่องแต่งงานให้ดีแล้ว”
ทั้งสองพูดจายียวนไม่หยุด หันหยวนเฉาได้สติก็ยิ้มพลางส่ายหน้า
“อย่าพูดจาเหลวไหล” เขาเอ่ย “เพียงแค่ทำเพื่อคุณธรรมก็เท่านั้น”
“หยวนเฉา ถึงแม้เข้าเมืองหลวงครั้งนี้จะสอบไม่ติด แต่เจ้าก็ได้อะไรกลับไปมากมายเลยนะ” สหายเอ่ย สีหน้าอารมณ์ซับซ้อนพลางยื่นมือมาตบบ่าหันหยวนเฉา
ดูเหมือนว่านอกจากจะได้รับความชื่นชอบจากอำมาตย์เฉินเซ่าแล้ว ยังได้รับปกิณกคดีที่อาจารย์เจียงโจวเขียนเองกับมืออีก อ้อ จริงสิ แถมยังได้หุ้นลมของร้านอาหารอะไรนั่นอีก
“แค่เพราะเจ้าออกหน้าพูดแทนพ่อครัวคนนั้นก็โชคดีถึงเพียงนี้ รู้เช่นนี้แต่แรก ตอนนั้นข้าจะลุกขึ้นมาก่อนใครเลย” สหายยิ้มเอ่ย
“ทำดีได้ดีจริงๆ คราวหลังพวกข้าจะไม่ว่าเจ้าคลั่งความยุติธรรมอีกแล้ว!” สหายอีกคนหนึ่งยิ้มเอ่ย
หันหยวนเฉาก็ยิ้มเช่นกัน ยิ้มด้วยความสงสัย อดไม่ได้ที่จะมองไปทางประตูเมือง ทว่ารถม้าของสาวใช้คนนั้นก็หายไปแล้ว
เป็นเพราะเขาออกหน้าช่วยเหลือในครั้งนั้นเพียงเท่านั้นหรือ
ทำดี ได้ดี จริงหรือ
สาวใช้กระโดดลงจากรถม้าแล้วตรงเข้าไปในเรือน
“พี่ปั้นฉิน” จินเกอร์กางร่มให้นางแล้วเอ่ยขึ้น
สาวใช้ยิ้มพลางเดินเข้าทางเชื่อมไป นางเห็นปั้นฉินเปิดประตูออกมา ในมือมีกะละมังและผ้าขี้ริ้วอยู่ ดูก็รู้ว่าเพิ่งจะเก็บกวาดห้องเสร็จ
“พี่สาว” ปั้นฉินคำนับ
“นายหญิงออกไปข้างนอกหรือ” สาวใช้มองเข้าไปแล้วเอ่ยถาม
“ใช่ ไปกับ…” ปั้นฉินเอ่ย แต่ไม่รู้จะเรียกอย่างไรดี เพราะสาวใช้คนนั้นก็ชื่อปั้นฉินเช่นกัน
“ไปที่ร้านกับพี่ปั้นฉินขอรับ” จินเกอร์เอ่ยกู้สถานการณ์ให้
แม้ว่าพวกนางล้วนแต่ชื่อปั้นฉิน แต่เหล่าปั้นฉินก็น่าจะรู้ว่าปั้นฉินที่ตนพูดถึงนั้นคือปั้นฉินคนไหนกระมัง
ความคิดแล่นเข้ามาในหัว จินเกอร์รู้สึกมึนงงไปหมด
“ข้าไปด้วย” สาวใช้เอ่ยแล้วรีบหันหลังกลับเดินออกไป “เช่ารถไป เดี๋ยวกลับมา”
มองดูสาวใช้เดินจากไป ความอิจฉาปรากฏขึ้นในสายตาของปั้นฉิน
ปั้นฉินทั้งสองต่างก็ทำงานให้นายหญิง มีเพียงตนนั้น…
นางก้มหน้ามองดูผ้าขี้ริ้วในมือ แล้วสูดหายใจเข้าลึก
ข้าก็ทำงานอยู่เช่นกัน!
“จินเกอร์ ช่วยเผาถ่านให้ข้าเพิ่มหน่อยได้ไหม” นางเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยพลางอมยิ้ม “ข้าอยากจะรีดผ้าห่มให้นายหญิงเสียหน่อย จะได้ไม่ชื้น”
ร้านอาหารแห่งเดียวนอกเมืองท่ามกลางสายฝนยิ่งดูเงียบเหงา
ห้องโถงอันว่างเปล่า โต๊ะเตี้ยและเบาะนั่งถูกยกออกไป สวีเม่าซิวและคนอื่นๆ กับเฉิงเจียวเหนียงนั่งหันหน้าเข้าหากัน
“นี่เป็นป้ายที่จะติดบนคานประตูหรือ” สวีเม่าซิวรับตัวอักษรที่เฉิงเจียวเหนียงยื่นมาให้
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
สวีเม่าซิวคลี่ออก บนกระดาษสี่เหลี่ยมมีคำว่า ‘ไท่ผิง’ เขียนอยู่
“ก่อนหน้านี้ยังเขียนได้ไม่ดีนัก จึงได้ฝึกเขียนต่ออีกหลายวัน ตอนนี้เอาออกมาใช้ได้แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ตัวอักษรเขียนได้งามนัก” สวีเม่าซิวเอ่ย
ฟ่านเจียงหลินและพวกพี่คนอื่นๆ ก็ยื่นหน้ามาดู ถึงแม้จะอ่านไม่ออก แต่ก็พยักหน้าชมเชยตามกัน
“อีกอย่าง จ้างพ่อครัว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
สวีปั้งฉุยที่นั่งอยู่ด้านหลังสุดรีบตะโกนเรียกสุดเสียง
“หลี่ต้าเสา!”
ฟ่านเจียงหลินจ้องเขาเขม็ง
“ตะโกนอะไรเล่า! เบาหน่อย ทำน้องสาวตกใจหมด” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา
สวีปั้งฉุยหัวเราะเล็กน้อยแล้วหันไปมองเฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มมุมปากให้เขา
“เอ๊ะ” สวีปั้งฉุยเบิกตาเอ่ย เหมือนว่าค้นพบอะไร “น้องสาวยิ้มเก่งกว่าเมื่อก่อนแล้ว!”
เก่งกว่าเมื่อก่อนหรือ
หมายความว่าอย่างไร
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองไป
แววตาของเฉิงเจียวเหนียงดูเหมือนตกใจและไม่เข้าใจในเวลาเดียวกัน แต่แล้วนางก็ยิ้มออกมา
ใบหน้าของสาวน้อยที่เดิมทีแข็งทื่อเหมือนเครื่องกระเบื้องเคลือบนั้นอ่อนหวานขึ้นมาทันใด แก้มและมุมปากปรากฏเส้นโค้งอันงดงาม
“นายหญิง นายหญิงยิ้มได้แล้วเจ้าค่ะ!” สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างตะโกนขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอเบ้า “นายหญิง นายหญิงดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”
ที่น้องสาวพูดน้อยแถมยังสีหน้าไร้อารมณ์ สวีเม่าซิวและคนอื่นต่างก็รู้กันว่าเป็นเพราะอาการป่วย แต่พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่น้องสาวฟื้นคืนชีพผู้อื่นได้ แต่กลับไร้หนทางหาวิธีรักษาอาการป่วยของตนเอง
“ดีเสียจริง น้องสาวรีบหายดีนะ” พวกเขาต่างก็ยิ้มเอ่ย
“ใช่ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย แล้วยิ้มอีกครั้ง “ดีขึ้นเรื่อยๆ”
ณ ด้านหลังของเรือน หลี่ต้าเสายกมือขึ้นมาจับหน้าอกตนเองแล้วกลืนน้ำลาย
“เจ้าของร้านเรียกเจ้าน่ะ รีบไปสิ ทำอะไรอยู่” คนดูแลร้านเอ่ย
“พี่ชาย เจ้าของร้าน จะไล่ข้าออกหรือไม่” หลี่ต้าเสาสีหน้าทุกข์ทน “เจ้าดูสิ กิจการไม่ดีขึ้นเลย…”
“กิจการไม่ดีเพราะว่าความนิยมไม่ดี ตอนนั้นหอจุ้ยเฟิ่ง…” คนดูแลร้านเอ่ยพลางส่ายหน้า
หลี่ต้าเสาก็ส่ายหน้าแล้วขัดจังหวะคำพูดของผู้ดูแลร้าน
“เอาอีกแล้วนะ บอกว่าอย่าพูดถึงแต่หอจุ้ยเฟิ่ง หอจุ้ยเฟิ่ง” เขาเอ่ยท่าทางอารมณดี “น่าจะไม่ได้ไล่ข้าออกหรอก หากจะไล่ ก็ไล่เจ้าออกก่อน”
พูดจบก็หยิบเสื้อผ้าแล้วเดินนำออกไปอย่างอารมณ์ดี
“พูดอะไรกัน!” ผู้ดูแลร้านส่ายหน้าด้วยความโกรธ “ตอนนั้นหอจุ้ยเฟิ่ง ก็ไล่เจ้าออกก่อนถึงจะไล่ข้าออกนี่”
………………………………………………………………