หลี่ต้าเสาไม่กล้าเงยหน้าขึ้น เขานั่งคุกเข่าลงแล้วคำนับ ก่อนจะได้ยินเสียงของหญิงสาวลอยมา

“อาหารที่เจ้าทำ ข้าได้ชิมแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

หลี่ต้าเสาตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง

ได้ยินว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นน้องสาวของเจ้าของร้าน ครั้งแรกที่ได้เห็นจนถึงวันนี้ที่ได้แอบมอง หากบอกว่าเป็นน้องสาวแท้ๆ นั้น น่าจะเรียกว่าถูกผีหลอกแล้วก็ว่าได้

อีกอย่างหากดูจากท่าทีของเหล่าเจ้าของร้านแล้ว คนปกติหากมีน้องสาว ย่อมมีคนที่รักใคร่เอ็นดูน้องสาว ย่อมมีคนที่เฉยชากับน้องสาว แต่ที่เคารพนบนอบเช่นนี้เขาไม่เคยมีมาก่อน

หลี่ต้าเสาเป็นพ่อครัวจากชนบทที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน แต่ก็ใช่คนโง่ ทั้งยังมีความฉลาดเฉลียวเฉพาะตัวของชาวชนบทด้วย เขารู้ได้อย่างรวดเร็วว่านายที่แท้จริงของร้านอาหารแห่งนี้คือหญิงสาวผู้นี้

อาหารเป็นเช่นไร

ในที่สุดคนที่จะชี้ชะตาของเขาก็เอ่ยปากพูด

“นี่คือ…” เฉิงเจียวเหนียงพูดขึ้นแล้วหยุดไปกะทันหันแล้วหันมามองสาวใช้ “เจ้า ชื่ออะไร”

สาวใช้ชะงักไป แทบจะร้องไห้ออกมา

“นายหญิง บ่าวชื่อปั้นฉินไงเล่าเจ้าคะ” นางเอ่ยอย่างน้อยใจแฝงไปด้วยความเศร้า

นายหญิง นายหญิงไม่ต้องการนางแล้วหรือ

นี่มันอะไรกัน เหตุใดจู่ๆ ถึงถามชื่อนางอีกแล้วเล่า

หลี่ต้าเสานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น มองเห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า หากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ได้แอบมองแล้ว เขามองเห็นนางได้ชัดเจนยิ่งนัก

นางอายุราวสิบสี่สิบห้าปีได้ หน้าขาวดั่งกระเบื้องเคลือบ ดวงตากลมโต กระโปรงรัดอกสีพื้น เสื้อคลุมผ้าต่วนสีดำ มือทั้งสองวางอยู่บนเข่า นั่งอย่างเรียบร้อย

เมื่อเขามองไป สายตาของหญิงสาวผู้นั้นสัมผัสได้จึงมองกลับมา หลี่ต้าเสาสะดุ้งจนรีบก้มหน้าลง

“เจ้าเรียนรู้อาหารใหม่จากนาง” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว นางไม่ได้พูดถึงเรื่องชื่อแซ่อีกต่อไป ทั้งยังไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์อาหารของหลี่ต้าเสาว่าเป็นอย่างไรบ้าง

หลี่ต้าเสาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งด้วยความสงสัย

สาวใช้รีบเข้ามานั่งคุกเข่าแล้วคำนับให้หลี่ต้าเสา

“ข้าคือปั้นฉิน” นางกล่าว

หลี่ต้าเสารีบคำนับกลับอย่างรีบร้อน

“นายหญิงให้ข้าสอนอาหารชนิดใหม่ให้เจ้า” สาวใช้กล่าว “ข้าจะอยู่ทำงานในครัวของที่นี่เจ้าค่ะ”

ครั้งนี้หลี่ต้าเสาฟังเข้าใจแล้ว

นี่คือแม่ครัวที่จ้างมาใหม่! ตนจะถูกไล่ออกแล้วจริงๆ!

ท่านชายโจวหกกระโดดลงจากม้า เขาสะบัดบังเหียนให้ม้าเดินต่อไปเอง

หน้าประตูมีชายหนุ่มและหญิงสาวเดินออกมาด้วยท่าทางหยิ่งยโส

“ไม่ได้มาพบพวกเจ้าเสียหน่อย พวกข้าก็แค่มาพบนายหญิงเฉิง พูดจากันท่าไปทำไมกัน” พวกเขาเอ่ยขึ้น

ท่านชายโจวหกที่เดินผ่านไปแล้วได้ยินดังนั้นจึงหันหน้ากลับมา เขาคว้าชายหนุ่มที่ยืนเชิดหน้าเท้าเอวพูดอยู่นั้นไว้

ชายหนุ่มไม่ทันได้ตั้งตัวสะดุ้งตกใจ

“เจ้าทำอะไรน่ะ” เขาร้องตะโกน

ยังไม่ทันพูดจบ หนุ่มน้อยที่ฝึกวรยุทธ์มานั้นแรงมหาศาลนัก ชายหนุ่มวัยกลางคนถูกยกขึ้นจนขาลอย ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของฮูหยินที่มาด้วย เขาถูกท่านชายโจวหกยกคอเสื้อลากออกมาหน้าประตู

“ดูซะ ข้างบนนี้เขียนว่าอะไร” ท่านชายโจวหกตะคอก

ป้ายหน้าประตูแขวนขึ้นสูงตระหง่าน คำว่า ‘เรือนตระกูลโจว’ เพิ่งจะทาสีใหม่ตอนตรุษจีน สีสันสดใสชัดเจน

“ไสหัวออกไปซะ!” ท่านชายโจวหกตะคอกแล้วผลักชายหนุ่มผู้นั้นออกไป

ชายหนุ่มล้มลุกคลุกคลานถอยหลังแล้วฝืนตัวยืนขึ้น สีหน้าเคอะเขิน

“หากมีคนเช่นนี้มาที่บ้านอีก ห้ามให้เข้ามาเด็ดขาด” ท่านชายโจวหกตะคอกเสียงเข้ม

เวรยามเฝ้าประตูต่างขานรับอย่างพร้อมเพรียง

ท่านชายโจวหกเดินอย่างว่องไวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ยามใกล้ถึงเรือนของท่านพ่อท่านแม่ เขาสูดหายใจเข้าเปลี่ยนท่าทีเป็นผ่อนคลาย

“ท่านชายหก ฮูหยินมีแขกเจ้าค่ะ” แม่นมรุดหน้าเข้ามาบอกเสียงแผ่วเบา

“มาหานางอีกแล้วหรือ” ท่านชายโจวหกเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง

แม่นมยิ้มเล็กน้อย

“ไม่ได้มาหานางเจ้าค่ะ” นางกล่าว “แต่ก็มาเพื่อนางเจ้าค่ะ”

พวกเขาต่างก็ไม่ได้พูดชื่อ แต่ ‘นาง’ นี้เป็นใคร ทั้งคนพูดคนฟังต่างก็เข้าใจกัน

ก็เหมือนกันมิใช่หรือ เดี๋ยวนี้คนที่มาบ้านตระกูลโจว ต่างก็มาเพื่อนางกันทั้งนั้น

ท่านชายโจวหกสูดหายใจลึกแล้วหันหลังกลับ ประตูห้องบานนั้นเปิดออก หญิงสองคนเดินออกมา

“ฮูหยิน ท่านลองคิดอีกที ฮูหยินของพวกเรานั้นจริงใจนะเจ้าคะ”

พวกนางพูดอยู่ฝ่ายเดียวแต่ประตูนั้นก็ปิดลง

หญิงสาวทั้งสองหันหลังกลับ เบะปากอย่างไม่สบอารมณ์

“ก็แค่ป้า ไม่ใช่พ่อแม่ เรื่องแต่งงานของคนอื่นเขา ใช่ว่าจะต้องให้เจ้าตัดสินใจเสียหน่อย” พวกนางเอ่ยพึมพำแล้วรีบเดินจากไป

ท่านชายโจวหกเหลือบมองดูหญิงสาวทั้งสอง

“พวกนางมาทำอะไรกัน” เขาเอ่ยถาม

แม่นมเหลียวซ้ายแลขวา

“มาสู่ขอนายหญิงเฉิงเจ้าค่ะ” นางกล่าวเสียงแผ่วเบา

ท่านชายโจวหกชะงักไป สู่ขออย่างนั้นหรือ

“…นายหญิงเฉิงอายุสิบสี่ปีแล้ว ถึงอายุที่ต้องแต่งงานแล้วก็ไม่ผิดอะไร แต่คนพวกนี้มีเจตนาอะไร ทุกคนต่างรู้ดี เหล่าหญิงสาวออกเรือนก็หวังว่าจะได้ความสบายใจชั่วชีวิต โดยเฉพาะคนที่เคยป่วยอย่างนายหญิงเฉิง ยิ่งยากจะหาคนดีๆ ได้ แต่งกับคนเช่นนี้ จะสบายใจได้อย่างไรกัน…” แม่นมเอ่ยพึมพำเสียงแผ่วเบา

ท่านชายโจวหกเหลียวหลังมองหญิงสองคนนั้นอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะหันมองกลับไปทางห้องโถงของท่านแม่

ออกเรือน…

เหล่าหญิงสาวหวังอะไร ก็แค่ที่พึ่งพิงและความสบายใจ

ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา มือที่อยู่ข้างตัวของท่านชายโจวหกกำหมัดแน่น

ในเรือนไท่ผิงนั้น หลี่ต้าเสาพาสาวใช้ออกไปด้วยความหมดอาลัยตายอยาก ผู้ดูแลร้านก็ถูกเชิญออกมา

“เถ้าแก่ขอรับ ที่สำคัญที่สุดคือความนิยม และถ้าหากจะดึงดูดความนิยมนั้น ก็ต้องมีความแปลกใหม่” ผู้ดูแลร้านกล่าวเปิดประเด็น “ข้าพูดตรงๆ อย่างไม่ปิดบังนะขอรับ ตอนนั้นที่หอจุ้ยเฟิ่งโด่งดัง ก็อาศัยตำรับน้ำจิ้มตระกูลโต้วที่สืบต่อกันมา มีน้ำจิ้มเหล่านี้ รสชาติอาหารก็อร่อยขึ้นมาก ภายหลังน้ำจิ้มถูกคนอื่นแกะสูตรตำรับได้ ร้านเราก็ไม่มีความแปลกใหม่แล้ว กิจการจึงได้แย่ลงเรื่อยๆ จนกระทั่งนายน้อยซุนทำนางฟ้าผ่านทางนี้ออกมา จึงได้รุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง”

สาวใช้ที่เพิ่งจะนั่งรถมาถึงได้ยินดังนั้นก็ส่งเสียงโกรธเคือง

“นางฟ้าผ่านทางนั่นเขาไม่ได้เป็นคนคิดขึ้นมาเสียหน่อย” นางเอ่ยพึมพำ

เฉิงเจียวเหนียงเหลือบมองดูนาง สาวใช้จึงรีบหยุดพูด

“เถ้าแก่ เดี๋ยวนี้บ้านตระกูลดีๆ ต่างก็มีพ่อครัวกันแล้ว อาหารพิถีพิถันกว่าร้านข้างนอกอีก มากินข้างนอก ก็เพื่อต้องการความแปลกใหม่ ส่วนคนที่จะกินเพื่อคลายความหิว ก็ไม่เข้าร้านอาหารกัน ซื้อร้านตะกร้าหาบเร่ขายข้างทางก็พอแล้ว ฉะนั้นร้านอาหารอย่างเรา ประการแรกต้องเป็นสถานที่ให้คนนัดแนะไปมาหาสู่กัน ประการที่สองต้องเป็นที่เปลี่ยนรสชาติลิ้นสัมผัส” ผู้ดูแลร้านพูดต่อ มองดูสาวน้อยตรงหน้าแล้วถอนใจ

ไม่รู้ว่านายหญิงน้อยตระกูลใด จู่ๆ คิดอะไรขึ้นได้จึงอยากจะเปิดร้านอาหารเล่น เล่นอะไรไม่เล่น กิจการร้านอาหารเล่นง่ายเสียที่ไหนกัน

“เช่นนี้นี่เอง” เฉิงเจียวเหนียงมองดูผู้ดูแลร้านแล้วพยักหน้าพลางกล่าวขึ้น “เจ้าพูดได้ดี”

สวีเม่าซิวที่อยู่ด้านข้างมองดูผู้ดูแลร้านแล้วยิ้มเช่นกัน

ตาเฒ่าคนนี้ตั้งแต่จ้างมานั้นก็ได้แต่ขานรับ ดูเหมือนทั้งโง่ทั้งหูหนวก ไม่คิดว่าจะรู้อะไรชัดเจนเพียงนี้ ปกติไม่เคยพูดกับพวกเขามากมายเพียงนี้ ที่แท้ก็เดาออกว่าพวกเขาไม่ใช่นายตัวจริง ไม่ต้องเปลืองน้ำลาย วันนี้อยู่ต่อหน้านายตัวจริง จึงได้เผยความสามารถที่แท้จริงออกมา

ทั้งๆ ที่ถือว่าได้รับการยอมรับจากเจ้าของร้านแล้ว แต่ผู้ดูแลร้านกลับไม่ได้อยากยิ้มเลยสักนิด

คนในห้องโถงพูดคุยกันอยู่ ด้านนอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น

“ผู้ดูแลอู๋ ผู้ดูแลอู๋” เสียงชายหนุ่มตะโกนขึ้นจากด้านนอก

ผู้ดูแลร้านขมวดคิ้ว

“เจ้าซุนไฉนี่ มาอีกทำไม” เขาพูดขึ้น ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็มีคนยื่นหน้าเข้ามา

“ผู้ดูแลอู๋…อ้าว คนเยอะเชียว”

ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปี ร่างกายผอมโซ หัวโต ดูแวบแรกเหมือนไม้ไผ่เสียบลูกกลมๆ ส่ายไปมา สวมใส่ชุดนักพรตตัวเก่า ดูแล้วช่างน่าขันนัก

เมื่อเห็นว่าในห้องนั้นมีหญิงสาว เขาตกใจจนรีบหดหัวกลับไป

“มาวุ่นวายอะไร!” สวีปั้งฉุยตะคอกใส่ ลุกขึ้นแล้วไปยืนข้างประตู

“ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้”

เสียงชายหนุ่มด้านนอกหวาดกลัวนัก ทั้งยังมีเสียงชนข้าวของโครมครามดังขึ้นอีก

“ทำการค้า เปิดประตูก็คือรับลูกค้า ทำเช่นนี้ได้อย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

สวีเม่าซิวจ้องสวีปั้งฉุย ลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างประตู

“ท่านพี่ซุน เสียมารยาทแล้ว” เขากล่าว

“มิได้ มิได้”

เสียงชายหนุ่มด้านนอกรีบกล่าว

“ข้าเพียงอยากถามว่า วันนี้พวกเจ้าจะเอาเต้าหู้หรือไม่”

“ซุนไฉ” ผู้ดูแลร้านนั่งหลังเหยียดตรง พูดกับคนด้านนอก “บอกกี่ครั้งแล้ว เต้าหู้อะไรนั่นของเจ้าไม่อร่อยจริงๆ อย่าเอามาขายอีกเลย เจ้าก็เลิกทำได้แล้ว ทำนาทำไร่ไปเถิด”

เขาเอ่ยแล้วมองไปทางเฉิงเจียวเหนียง

“เขาเป็นคนหมู่บ้านเดียวกับต้าหลัง เดิมทีเป็นนักพรต ต่อมาวัดเต๋าต่างก็แยกย้ายกันไป เขาจึงกลับมาอีก ไม่รู้ว่าไปเรียนวิธีการทำของแปลกประหลาดนี้มาจากใคร ทำถั่วเหลืองให้กลายเป็นเต้าหู้อะไรนี่ ตระเวนขายไปทั่ว ไม่มีใครซื้อของเขาเลย อายุปูนนี้แล้ว ยังไม่คิดจะหาเลี้ยงชีพอีก…” เขากล่าว

ยังพูดไม่ทันขาดคำ เฉิงเจียวเหนียงก็เอ่ยปากขึ้น

“ข้าซื้อ” นางกล่าว

คนในห้องชะงักงันไป ไม่มีใครมีปฏิกิริยาใดๆ

“เรียกเขากลับมา นายหญิงจะซื้อ” สาวใช้ตะโกนเสียงแหลม

เสียงตะโกนนั่นทำเอาท่านพี่ซุนตกใจจนแทบจะวิ่งหนี จนกระทั่งถูกลากตัวเข้าร้านมาก็ยังคงตัวสั่นงันงก

สาวใช้ตักเต้าหู้ขึ้นมาจากในตะกร้าก้อนหนึ่งแล้วยกมาให้เฉิงเจียวเหนียง

เฉิงเจียวเหนียงใช้ช้อนตักมากินหนึ่งคำแล้วเอียงหน้าเล็กน้อย

สาวใช้รู้ได้ทันทีรีบหยิบกระโถนในห้องโถงมา เฉิงเจียวเหนียงคายลงไป

“นายหญิง อันนี้ข้าก็เคยชิม ถึงแม้จะกินได้ แต่อย่างไรก็ไม่ค่อยอร่อยอยู่ดี” ผู้ดูแลร้านกล่าว

เฉิงเจียวเหนียงเช็ดปากแล้วมองนักพรตหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่กลางห้องโถง

“เจ้าทำเองหรือ” นางเอ่ยถาม

ท่านพี่ซุนพยักหน้า แต่ก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น

“ข้า ข้าเรียนมาจากอาจารย์” เขาเอ่ยตะกุกตะกัก “พวกข้าทำมันออกมาตอนที่สกัดยา ถึงแม้ ถึงแม้จะไม่อร่อย แต่ว่า แต่ว่าดีต่อร่างกายนัก”

“ซุนไฉ ถ้าหากดีต่อร่างกายจริง อาจารย์เจ้าก็คงไม่กินยาวิเศษจนตายไปหรอก” ผู้ดูแลร้านส่ายหน้า “พูดดีๆ อย่าพูดจาเหลวไหล”

ท่านพี่ซุนแสยะยิ้มแล้วก้มหน้าไม่กล้าพูดต่อ

เฉิงเจียวเหนียงลุกขึ้นแล้วเดินมาก้าวเข้ามา คนในห้องโถงไม่รู้ว่านางจะทำอะไรจึงได้แต่มองดู

เฉิงเจียวเหนียงยืนอยู่หน้าตะกร้าของท่านพี่ซุน ยื่นมือมาเปิดผ้าเปียกออกแล้วยืนพิจารณาเต้าหู้ในนั้น

“นายหญิง…” ท่านพี่ซุนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้น “ท่านจะซื้อเต้าหู้หรือไม่ ดี ดีจริงๆ นะขอรับ”

เฉิงเจียวเหนียงมองดูเขา

“เจ้า ขายหรือไม่” นางเอ่ยถาม

ท่านพี่ซุนชะงักงัน แล้วก็ดีใจขึ้นมา

“ขายสิ ขายสิ ข้าทำเต้าหู้มาก็เพื่อขายน่ะ” เขาพยักหน้าแล้วพูดไม่หยุด

“ไม่ใช่” เฉิงเจียวเหนียงมองดูเขา แล้วกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เจ้าขายหรือไม่”

หะ

ท่านพี่ซุนและคนในห้องโถงต่างนิ่งไปด้วยความงุนงง

“ท่านพี่ซุน นายหญิงข้าถามเจ้าว่า ตัวเจ้าน่ะ ขายหรือไม่” สาวใช้ตั้งสติได้ก็เข้าใจในทันทีแล้วเอ่ยถามขึ้น

คนในห้องโถงก็เพิ่งจะเข้าใจกัน แล้วมองเฉิงเจียวเหนียงอย่างไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่

ท่านพี่ซุนเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาเงยหน้าขึ้นมองดูหญิงสาวตรงหน้า

“ท่านจะซื้อข้าหรือ” เขาเอ่ยถามเสียงหลง พร้อมยื่นมือขึ้นมาชี้ตัวเอง

…………………………………………..