บทที่ 160 ลงคะแนนเสียง

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง

ท่านพี่ซุนยกถ้วยน้ำตรงหน้าขึ้นดื่มจนหมด เปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิให้สบายยิ่งขึ้นแล้วยกมือขึ้นมาลูบจมูก

“ข้าซุนไฉปีนี้ยี่สิบปีแล้ว พ่อแม่ตายตั้งแต่อายุหกปี ติดตามอาจารย์ใช้ชีวิตในวัดเต๋า สวดมนต์ทำพิธีจนถึงอายุสิบแปด ท่านอาจารย์ก็มรณภาพไป เงินบริจาคก็ไม่มีแล้ว ที่ดินก็โดนพวกพระหัวโล้นแย่งไป ข้าจึงได้แต่ห่อผ้ากลับบ้านมา ยังดีที่ที่บ้านเก็บที่ซุกหัวนอนไว้ให้ แต่ก็ทำไร่นาไม่ได้ เพราะตอนนี้ภัยพิบัติเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ภาษีที่นาก็สูงนัก อย่างอื่นข้าก็ทำไม่เป็น ข้าได้เรียนรู้การทำเต้าหู้ตอนที่สกัดยาวิเศษกับอาจารย์ ตอนนั้นศิษย์อาจารย์และเหล่าศิษย์พี่น้องอาศัยกินเต้าหู้ที่ทำเองไม่ให้อดตาย ข้าจึงได้ทำสิ่งนี้ขึ้นมา เพียงแต่ไม่คิดว่า คนจนไม่มีเงินซื้อ คนรวยก็เลือกกิน ขายไม่ได้เลย”

ซุนไฉถอนหายใจแล้วส่ายหน้า

หัวกลมโตส่ายไปมา คนในห้องโถงก็อดกังวลไม่ได้ว่าหัวของเขาจะส่ายจนหลุดออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว

“ถ้าจะบอกว่าซุนไฉไร้ความสามารถ ไม่มีความสามารถอื่น แต่ว่า…” ซุนไฉนั่งหลังตรงขึ้นมาทันใด แล้วมองเฉิงเจียวเหนียงอย่างตื่นเต้นดีใจ

“ทั้งเทน้ำ ยกน้ำชา ผ่าฟืน ก่อไฟ ให้อาหารม้าแบกเสบียง ปูเตียง พับผ้าห่ม  ทำเสื้อผ้าทำอาหาร ข้าล้วนทำได้ทั้งนั้น ข้าอยู่ในวัดเต๋ามาสิบกว่าปี เรื่องอื่นไม่กล้าพูด เรื่องปรนนิบัติคนอื่นข้านั้นเก่งกาจนัก นายหญิงสายตาเฉียบคม หากจะซื้อข้าเป็นบ่าวติดตามนั้นเหมาะยิ่งนัก ราคาเหมาะสม สินค้าคุ้มราคา…”

คนในห้องโถงต่างก็ยกมือขึ้นปิดหน้าทนเพราะฟังต่อไปไม่ไหว

“เจ้าไม่ดูสภาพเจ้าบ้างเลย ยังจะสินค้าคุ้มราคาอีก…” สวีปั้งฉุยจ้องตาเขม็งแล้วตะโกนออกมา

ซุนไฉเงยหน้ามองเขา

“ดีกว่าสภาพเจ้ากระมัง” เขาพึมพำพลางมองไปทางเฉิงเจียวเหนียง

“เจ้าไม่ต้องเป็นบ่าวติดตามหรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ข้าจะซื้อฝีมือของเจ้า”

ซุนไฉชะงักไป แล้วหันไปมองตะกร้าเต้าหู้ของตน

“นายหญิงจะทำเต้าหู้หรือ” เขาเข้าใจแล้วเอ่ยถามอย่างตกตะลึง

“ใช่” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า “ข้าซื้อเจ้า เต้าหู้นี้ต่อจากนี้ก็ไม่ได้แซ่ซุนอีก แต่แซ่เฉิง เจ้าเข้าใจหรือไม่”

ทุกคนต่างก็เข้าใจแล้ว

“แล้วนายหญิง จะให้เงินเท่าไหร่หรือ” ซุนไฉนั่งเหยียดตัวตรง กลอกตาไปมาพลางเอ่ยถาม

ในเมื่อไม่ได้ซื้อตัวเป็นบ่าว แต่ซื้อฝีมือ เช่นนั้นก็ต้องต่อราคากันเสียหน่อย

“เต้าหู้ของข้า ทั้งเมืองหลวงนี้มีแค่ตำรับที่อาจารย์ข้าสืบทอดมาเพียงตำรับเดียว…” ซุนไฉพูดต่อ

“เช่นนั้นเจ้าก็เก็บตำรับเพียงหนึ่งเดียวของเจ้าเอาไว้ ดูสิว่าจะทำให้อิ่มท้องได้หรือไม่” ผู้ดูแลร้านเอ่ยด้วยเสียงโกรธเคือง แล้วยกมือขึ้นมาตบหัวเขา “ชมนิดชมหน่อย ทำเป็นคางคกขึ้นวอเชียวนะ”

“ท่านลุงอู๋ ทำการค้าน่ะ ทำไมถึงไม่ให้คนอื่นต่อราคาบ้างเล่า” ซุนไฉกุมหัวแล้วพึมพำ

เฉิงเจียวเหนียงลุกขึ้นมา

“เรื่องราคาต่อรองกันได้ เจ้าไปเอาอุปกรณ์ทำเต้าหู้มาก่อน” นางเอ่ยแล้วมองสวีเม่าซิว “พี่สาม พวกพี่เก็บกวาดเรือนหลัง ให้ห้องทำเต้าหู้กับเขาห้องหนึ่ง”

สวีเม่าซิวพยักหน้าขานรับ

“ไปเก็บกวาดเดี๋ยวนี้ล่ะ วันรุ่งขึ้นน้องสาวมาที่ร้านก็พอ” เขาเอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงคำนับทุกคนแล้วขอตัวลากลับไป

เมื่อเห็นรถม้าวิ่งออกไปไกลท่ามกลางสายฝน ทุกคนจึงจะหันหลังกลับ

“ทำไมเจ้ายังไม่ไปเก็บของอีกเล่า” สวีปั้งฉุยเหลือบมองซุนไฉด้านข้างที่มายืนส่งด้วยแล้วตะคอกใส่ “ตีสนิทเก่งเชียวนะ! อย่างเจ้าต้องมาส่งด้วยหรือ!”

ซุนไฉเบะปาก ใส่เสื้อกันฝนฟางและงอบแล้วหามหาบขึ้นมา

“น้องสี่ น้องห้า น้องหก พวกเจ้าเอารถไปช่วยเขาขนมา” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย

ชายหนุ่มทั้งหลายขานรับแล้วเข็นรถจากเรือนหลังตามออกไป

“ทำไมหรือ ไม่ทำร้านอาหารแล้ว จะเปลี่ยนเป็นทำเต้าหู้แล้วหรือ” หลี่ต้าเสาแอบวิ่งออกมาจากด้านหลัง

ถามผู้ดูแลร้านด้วยสีหน้าร้อนใจ

“วางใจได้ เขาหาอาจารย์มาสอนทำอาหารให้เจ้าแล้ว จะไม่ทำร้านอาหารได้อย่างไร” ผู้ดูแลร้านพูดพลางส่ายหน้า “นึกถึงตอนนั้น หอจุ้ยเฟิ่งก็ถูกคนครหาว่าไม่ได้เปิดร้านอาหารแต่เปิดร้านน้ำจิ้มในตอนแรกเช่นกัน ให้มองภาพรวมจากสิ่งเล็กๆ อย่าเห็นอะไรก็นึกว่าเป็นเช่นนั้น”

หลี่ต้าเสาเบะปาก

หอจุ้ยเฟิ่ง หอจุ้ยเฟิ่งอีกแล้ว

“ผู้ดูแลอู๋ ท่านว่า เรือนไท่ผิงนี้จะเหมือนกับหอจุ้ยเฟิ่งในตอนนั้นได้หรือไม่” เขาถาม

ผู้ดูแลร้านลูบเครา

“หอจุ้ยเฟิ่งก็คือหอจุ้ยเฟิ่ง เรือนไท่ผิงก็คือเรือนไท่ผิง จะเทียบกันได้อย่างไร” เขาหรี่ตาพลางเอ่ยขึ้น “รีบไปทำงานเถิด หากเจ้าไม่ตั้งใจเรียนรู้จากนาง จนนางคร้านจะวิจารณ์อาหารของเจ้าแล้ว ไม่ว่าหอจุ้ยเฟิ่งหรือเรือนไท่ผิง เจ้าก็จะถูกไล่ออกได้ทั้งนั้นล่ะ”

ยามเฉิงเจียวเหนียงเหยียบเข้าประตูบ้าน ท่านชายโจวหกก็รออยู่ได้สักพักแล้ว

ห้องโถงถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย ไม่มีทองหรือหยก มีแต่ไม้และผ้าที่เรียบง่ายและสง่างาม เหมือนกับห้องของทุกคน ในห้องนี้มีม่านกั้นระหว่างเตียงกับห้องโถง ตรงกลางมีฉากกั้น ด้านหน้ามีพรมปูพื้น บนโต๊ะเตี้ยที่ตั้งอยู่มีหนังสือเล่มหนาจัดวางอยู่บนนั้น

บันทึกความรุ่งเรืองแห่งราชวงศ์ต้าโจว

ท่านชายโจวหกเอี้ยวตัวไปดู ไม่มีอะไรแปลก เป็นหนังสือที่พบเห็นได้ทั่วไปในท้องตลาด เพียงแต่ไม่ใช่ตำราที่หญิงอื่นในเรือนชอบอ่านกัน

มุมห้องมีกระถางธูปตั้งอยู่ ไม้จันทน์ชั้นเลิศจุดอยู่ภายใน บวกกับฝนโปรยปรายภายนอกแล้ว ทำให้ในห้องเงียบสงบน่าอยู่

สาวใช้และแม่นมในเรือนของเฉิงเจียวเหนียงถูกจัดแบ่งเหมือนกับนายหญิงคนอื่นๆ สาวใช้และแม่นมนั่งคุกเข่าตรงทางเดินอย่างเงียบสงบ ไม่มีใครกล้าเข้ามาในห้อง เมื่อเทียบกับเรือนของพี่สาวน้องสาวแล้ว ที่นี่เงียบสงบกว่ามาก เหมือนกับตัวเฉิงเจียวเหนียงเอง

ท่านโจวหกถอนหายใจ เมื่อได้ยินเสียงคึกคักหน้าประตูก็เห็นหญิงผู้นั้นกางร่มแล้วเดินเข้ามา

สาวใช้และแม่นมตรงทางเดินลุกขึ้นต้อนรับแล้วรับร่มในมือสาวใช้มา

เฉิงเจียวเหนียงถอดเกี๊ยะไม้ออกแล้วก้าวเข้าห้องไป ทำทีราวกับไม่เห็นท่านชายโจวหกที่นั่งอยู่

“นายหญิงข้าจะอาบน้ำแล้ว ท่านชายหก ท่านไปนั่งเล่นห้องพี่สาวน้องสาวคนอื่นดีหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้เอ่ย

ถึงแม้จะมีร่มกันเอาไว้ แต่ผมและไหล่ของเฉิงเจียวเหนียงก็ยังคงเปียกฝนจนแนบติดร่างกาย

สาวใช้พูดพลางยื่นมือมาปลดเสื้อคลุมของเฉิงเจียวเหนียงออก

ไม่รู้จักอายเสียจริง ตรงนี้ยังมีคนอื่นอยู่นะ!

ท่านชายโจวหกสีหน้าเคร่งเครียดรีบละสายตามาแล้วลุกขึ้น

“ข้าคิดดีแล้ว” เขากล่าว “เจ้าวางใจเถิด จะได้ไม่ถูกคิดทำร้าย ข้าโจวฝูพูดได้ก็ทำได้”

สาวใช้มองเขาด้วยความสงสัย เฉิงเจียวเหนียงก็หันมามองเช่นกัน

ท่านชายโจวหกกลับไม่พูดอะไรต่อแล้วก้าวเท้าเดินจากไป

“เขาพูดอะไรนะเจ้าคะ” สาวใช้ถามอย่างสงสัยแล้วมองดูเฉิงเจียวเหนียง

“ข้าไม่ใช่เขา ไม่รู้” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

สาวใช้หัวเราะคิกคัก

“นายหญิง เราไปอาบน้ำกันเถิดเจ้าค่ะ” นางยิ้ม

“เจ้าว่าอย่างไรนะ”

ภายในห้องของฮูหยินโจว ฮูหยินโจวมองเห็นท่านชายโจวหกที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ก็แทบจะพ่นยาในปากที่เพิ่งดื่มเข้าไปออกมา ก่อนจะมองเขาอย่างแทบไม่เชื่อสายตาของตน

ท่านชายโจวหกท่าทีเรียบร้อย ร่างกายแข็งกระด้างไป

“ตอนนี้ข้าอายุสิบหกแล้ว ท่านพ่อกับท่านแม่อยากจะคุยเรื่องแต่งงานกับข้ามิใช่หรือ” เขาเอ่ย “ข้าอยากแต่งงานแล้ว”

ฮูหยินโจวสำลักออกมาอีก แม่นมด้านข้างก็กลั้นหัวเราะไว้แล้วตบหลังให้

“ฮูหยิน ท่านชายหกก็ไม่เด็กแล้วจริงๆ นะเจ้าคะ” นางพูดเสียงแผ่วเบา

ปัจจุบันนี้หนุ่มสาวอายุสิบสี่สิบห้าก็สามารถแต่งงานได้แล้ว หากรอจนถึงสิบแปดสิบเก้าก็จะสายไป แน่นอนว่าคนแต่งงานช้านั้นมีมากมาย ปัญญาชนแสวงหาการสอบข้าราชการ ชาวยุทธแสวงหาผลงาน ไม่สำเร็จในด้านการงานก็ไม่อาจสร้างครอบครัวได้

ฮูหยินโจวมองดูลูกชาย ในฐานะที่เป็นทั้งผู้หญิงทั้งมารดา นางไม่คิดว่าลูกชายแค่อยากจะแต่งงาน

“ชายหก เจ้าชอบพอหญิงสาวตระกูลใดหรือ” นางถามขึ้นมาทันใด

เป็นจริงดั่งนางคิด เมื่อนางถามคำถามนี้ออกมา บนใบหน้าลูกชายก็มีความคับอกคับใจและเขินอายเล็กน้อย

“ข้า” ท่านชายโจวหกลังเลไปสักครู่ เรื่องชายหนุ่มหญิงสาวไร้สาระเช่นนี้ เดิมทีหนุ่มน้อยผู้นี้ไม่เคยคิดสนใจแยแส แต่เวลานี้หากไม่พูดคงไม่ได้แล้ว “ข้าจะแต่งงานกับน้องสาว”

เมื่อพูดคำนี้ออกมา ฮูหยินโจวและแม่นมต่างตกตะลึงไป พวกนางรู้สึกราวกับว่าเมื่อครู่ได้ยินไม่ชัดเจน

“กับใครนะ” ฮูหยินโจวโน้มตัวมาด้านหน้าแล้วถามอีกครั้ง

“ข้าจะสู่ขอเฉิงเจียวเหนียง” ท่านชายโจวหกเบิกตากัดฟันพูด

ฮูหยินโจวสีหน้าตกตะลึง มองดูลูกชายตรงหน้า

“โอย ไม่ไหวแล้ว!” นางร้องตะโกนขึ้นมาในทันใดก่อนจะยกมือขึ้นกุมหน้าอกแล้วหงายหลังไป “รีบไล่ออกไป!”

“ฮูหยิน!”

แม่นมตกใจจนกรีดร้องเสียงดัง ภายในห้องวุ่นวายขึ้นมาทันใด

…………………………………………………….