นายใหญ่โจวถูกเร่งเร้าให้รีบกลับมาจากข้างนอก หากไม่ใช่เพราะพ่อบ้านกำชับว่าให้เรียกหมอมาด้วย เขาคงไม่กลับมาแน่

เชิญหมอนั้นหมายความว่าฮูหยินโจวจะให้เขากลับไปให้ได้

เดิมทีในบ้านก็มีหมอเทวดาที่คนทั้งเมืองหลวงต่างอิจฉาอยู่ แต่กลับเชิญหมอข้างนอกอยู่ทุกวัน ช่างน่าขันนัก

“ท่านพี่โจว ท่านพี่โจว เรื่องของข้าท่านต้องถามให้ข้าด้วยนะ” เพื่อนร่วมงานเกาะแขนเขาไม่ยอมปล่อยให้เขาไป แล้วกำชับอีกครั้ง

“นั่นสิ ถามให้พวกข้าด้วย” คนอื่นๆ ก็พูดตามด้วยความร้อนรนอันยากจะปกปิด “ขอแค่ใช้ได้ เท่าไรก็ยอมจ่าย”

“แพงกว่าหินโลหะอีกหรือ” มีคนหนึ่งพูดเสริม

“แม้จะแพงเหมือนดั่งหินโลหะ แต่ก็ต้องดีกว่าหินโลหะเป็นแน่ อย่าลืมว่า นักพรตหลี่คือบรรพจารย์แห่งลัทธิเต๋าเลยนะ”

ในตอนนี้หินโลหะที่เหล่าหมอและคนตระกูลร่ำรวยเชิดชูให้เป็นยาบำรุงอายุวัฒนะนั้นเป็นยาที่เหล่านักพรตปรุงขึ้นมา แล้วบรรพจารย์คือใคร ก็นักพรตหลี่ ตำรับที่เขาทิ้งเอาไว้ก็ต้องเป็นตำรับดั้งเดิมสิ

คำพูดของพวกเขาคลุมเครือไม่ชัดเจน แต่นายใหญ่โจวนั้นรู้ดีว่าพูดถึงเรื่องใดกัน

บัณฑิตถงที่กินหินโลหะเข้าไปจนเกือบตายก็กลับมาเข้าสังคมดังเดิม หลังจากที่เขาปรากฏตัวต่อสายตาผู้คนแล้ว นอกจากความอัศจรรย์ในการฟื้นคืนชีพ ความอัศจรรย์อีกอย่างที่ทำให้ทุกคนตะลึงกันก็คือ

สีหน้า

ที่บัณฑิตถงกินหินโลหะก็เพราะร่างกายไม่แข็งแรง ขาอ่อนแรง แต่ตอนนี้เขาได้ไปเยี่ยมเยียนตำหนักยมบาลมารอบหนึ่งแล้ว สีหน้าดีขึ้นมาก หน้าแดงมีเลือดฝาด เดินเหินดูมีเรี่ยวแรง ได้ยินว่าเหล่าภรรยาใหญ่ภรรยารองต่างก็พอใจกันนัก ที่ยิ่งอัศจรรย์ไปกว่านั้นคือ จอนผมที่หงอกจนขาวโพลนไปแล้วนั้น กลับดกดำขึ้นมา

ไม่เพียงแต่ฟื้นคืนชีพแต่ยังคืนความอ่อนเยาว์ด้วย!

นายใหญ่โจวหัวเราะเสียงดัง เขาไม่ได้รับปากแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ หากไม่ใช่เพราะสีหน้ากระวนกระวายของพ่อบ้านที่แทบอยากจะลากตนกลับไปคอยเร่งเร้าอยู่ เขาก็อยากจะดื่มด่ำกับการได้รับการเชิดชูเช่นนี้อีกสักหน่อย

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เมื่อขึ้นรถแล้วนายใหญ่โจวจึงถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ

พ่อบ้านอยากจะพูดแต่ก็เงียบไป

“ฮูหยินโรคหัวใจกำเริบขอรับ” เขาตอบคลุมเครือ “นายท่านรีบกลับไปดูเถิดขอรับ”

“โรคหัวใจกำเริบกลัวอะไร ในบ้านมีเจียวเจียวร์อยู่นี่” นายใหญ่โจวพูดอย่างไม่สนใจ

ก็เพราะมีเจียวเจียวร์นี่ล่ะ…

พ่อบ้านพึมพำในใจ ก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไรอีก เร่งรถม้ารีบกลับบ้านไป

นายใหญ่โจวก้าวเข้าห้องโถง ท่านหมอดูอาการเสร็จเรียบร้อยกำลังจัดยาอยู่ในห้องด้านนอก เหล่าลูกๆ ในบ้านต่างก็นั่งล้อมกันข้างนอก สีหน้าดูไม่สบายใจ สายตามองไปที่ท่านชายโจวหกเป็นพักๆ

ท่านชายโจวหกนั่งคุกเข่าตัวตรงอยู่หน้าประตู สีหน้าเคร่งขรึม ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

ฮูหยินโจวบนเตียงกำลังหลั่งน้ำตา แม่นมสามคนด้านข้างห้อมล้อมด้วยความเป็นห่วง

“ฮูหยิน จะร้องไห้อีกไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ ท่านหมอสั่งไว้ว่าจะใจร้อนไม่ได้นะเจ้าคะ”

“นั่นสิเจ้าคะ อย่าร้อนรนไปเลยเจ้าค่ะ…”

นายใหญ่โจวก้าวเข้ามาในห้อง

“เป็นอะไรกันแน่” เขาถาม

ยามเห็นเขาเข้ามา ฮูหยินโจวก็น้ำตาไหลทันทีก่อนจะยกมือขึ้นมากุมหน้าอกไว้

“นายท่าน ข้ามีชีวิตต่อไปไม่ได้แล้ว” นางร่ำไห้

“ยังอยู่กันดีดีอยู่ จะมีชีวิตต่อไปไม่ได้ได้อย่างไร” นายใหญ่นั่งลงแล้วขมวดคิ้ว

“ท่านไปถามหลานสาวของท่านเถิด!” ฮูหยินโจวตะโกนเสียงแหลมพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าป้องปากสะอื้น

นายใหญ่โจวขมวดคิ้ว ยังไม่ทันได้ถาม ท่านชายโจวหกที่อยู่ห้องด้านนอกก็เอ่ยขึ้น

“ไม่เกี่ยวกับนาง ลูกเป็นคนตัดสินใจเองขอรับ” เขาเอ่ย

ฮูหยินโจวโมโหจนกระเด้งตัวขึ้นมา

“ถูกนางจิ้งจอกนั่นลวงตาเอาแล้ว ยังจะพูดแทนนางอีก!” นางตะโกนเสียงแหลมแล้วหอบขึ้นมาอีกในทันใด เหล่าแม่นมตื่นตกใจกันจนต้องรีบพากันปลอบประโลม

ลูกๆ ที่อยู่ด้านนอกก็ล้อมท่านชายโจวหกไว้

“พี่หก พี่หยุดพูดก่อน!”

“พี่หก จะทำให้ท่านแม่โมโหให้ได้เลยใช่ไหม!”

เสียงพูดจากทั้งในและนอกห้องดังวุ่นวายจนนายใหญ่โจวต้องตบโต๊ะ

“ทุกคนหยุดพูด เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เขาตะคอกถาม

“ท่านพ่อ พี่หกจะสู่ขอเฉิงเจียวเหนียงเป็นภรรยา” ลูกสาวคนเล็กเห็นท่านแม่โมโห ก็ทนไม่ได้จึงออกมาพูดคนแรก

นายใหญ่โจวสีหน้าตกตะลึง

“ว่าอย่างไรนะ” เขานึกว่าตนฟังผิดจึงถามอีกครั้ง

“ท่านพ่อ ลูกยินยอมจะสู่ขอเฉิงเจียวเหนียงเป็นภรรยา” ท่านชายโจวหกเอ่ยขึ้นมาเอง

นายใหญ่โจวมองลูกชายแล้วเหม่อลอยไป เหมือนว่าไม่รู้จะพูดอะไรดี

“ไล่หญิงชั้นต่ำนั่นออกไป! ไล่ออกไป!” ฮูหยินโจวตะโกนเสียงแหลม มือกุมหน้าร้องไห้ “ข้ารู้อยู่แล้วว่านางประสงค์ร้าย มายั่วยวนลูกชายข้า!”

“ไม่เกี่ยวกับนาง ข้าตัดสินใจเองขอรับ” ท่านชายโจวหกพูดอีกครั้ง

“ทำไมเจ้าถึงอยากแต่งกับนาง” นายใหญ่ถามอย่างงงงวยพลางจ้องมองลูกชาย

ลูกชายถึงอายุที่จะหลงใหลในเสน่ห์เย้ายวนของหญิงแล้วหรือ

เสน่ห์เย้ายวนของหญิงหรือ

หญิงผู้นั้นมีเสน่ห์เย้ายวนด้วยหรือ

ท่านชายโจวหกสีหน้าตึงเครียด มือที่วางอยู่บนเข่ากำแน่น

“วันๆ เข้านอกออกในพร้อมกัน ใครจะรู้ว่านางมายั่วยวนท่านพี่อย่างไร” แม่นางเล็กตระกูลโจวพูดเสียงแหลม

“เจ้าหุบปาก” ท่านชายโจวหกเหลียวหลังตะคอก

แม่นางเล็กกลับไม่กลัวเขา แถมยังเลิกคิ้วขึ้น

“ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน พวกข้าก็ว่าอะไรนางไม่ได้เสียแล้ว ท่านพี่ นี่แค่กี่วันเอง จิตใจก็สับสนไปเสียแล้ว!” นางตะโกน

เสียงร้องไห้ของฮูหยินโจวทางด้านใน เสียงขัดแย้งโต้เถียงกันของลูกชายลูกสาวด้านนอก ทำให้นายใหญ่โจวหูอื้อไปหมด

“ทุกคนเงียบ” เขาตบโต๊ะแล้วตะคอก

ทั้งด้านในและด้านนอกต่างก็เงียบลงในทันใด

ทุกคนต่างก็เงียบกันแล้ว ทุกคนมองดูนายใหญ่โจว รอให้เขาตัดสินใจ นายใหญ่โจวรู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันใด

“พวกเจ้าออกไป เรื่องนี้เกี่ยวพันกับชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ห้ามพูดจาเหลวไหล” เขาทำหน้าเคร่งเครียดตะคอกใส่

เหล่าลูกชายลูกสาวด้านนอกโค้งคำนับแล้วขานรับก่อนจะเดินตามกันออกไป

ท่านชายโจวหกลังเลอยู่สักครู่

“เจ้าจะทำให้ท่านแม่โมโหตายก่อนหรือถึงจะพอใจ มีอะไรก็รอสักพักก่อนค่อยไปพูด” พี่ชายคนหนึ่งพูดเสียงแผ่วเบา

ท่านชายโจวหกสูดหายใจเข้าลึกแล้วจึงยอมเดินตามออกไป

แม่นมก็ออกไปเช่นกัน ในห้องเหลือเพียงสองสามีภรรยา

ฮูหยินโจวนอนอยู่บนเตียง ถือผ้าเช็ดหน้าสะอื้นไห้

นายใหญ่โจวจัดเสื้อผ้า แล้วเปลี่ยนท่านั่ง มองดูฮูหยิน

“ฮูหยิน ที่จริง…” เขาลังเลสักครู่แล้วเอ่ยขึ้น

เพิ่งจะเอ่ยปาก ฮูหยินโจวจึงลุกนั่งขึ้นมาทันใด

“ฝันไปเถิด!” นางตะโกนเสียงแหลม ขัดจังหวะคำพูดของนายใหญ่โจวแล้วก็ร้องไห้ต่อ “ชายหกของข้าชีวิตรันทดนัก ไม่เหมือนพี่ใหญ่เขา มีบำเหน็จบำนาญใช้ชีวิตสุขสบาย เขาต้องสร้างผลงานด้วยตนเอง ฝึกฝนกับท่านอย่างหนักตั้งแต่เด็ก อนาคตข้างหน้ายังต้องถูกเกณฑ์ไปอยู่ในกองทัพ ตอนนี้ท่านไม่เพียงแต่ไม่หาบ้านพ่อตาที่ดีให้เขา ยังจะมีความคิดที่จะให้เขาแต่งงานกับเด็กสติไม่สมประกอบคนนั้นอีก! ท่าน ท่าน ท่านบีบคอข้ากับลูกข้าให้ตายไปเลยดีกว่า!”

นายใหญ่โจวถูกว่าจนยิ้มแสยะ

“ไม่ใช่ความคิดของข้าเสียหน่อย” เขาพึมพำ

“สรุปก็คือ จะเก็บนางไว้ในบ้านหลังนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว” ฮูหยินโจวพูดพลางเช็ดน้ำตา “ข้าเมตตาจะเลี้ยงนางไปชั่วชีวิต ไม่คิดว่าจะแลกมาซึ่งความเนรคุณ ยังจะกล้าหวังอยากได้ลูกชายข้าอีก ท่านไม่ไปพูด ข้ายอมเป็นป้าที่ไร้เมตตา ไปไล่นางด้วยตนเอง”

พูดจบก็จะลุกขึ้น

นายใหญ่โจวรีบดึงนางไว้

“เจ้ายังป่วยอยู่ รีบร้อนไปทำไม คิดก่อนว่าจะพูดอย่างไร” เขาเอ่ย “เจ้าบุ่มบ่ามไปเช่นนี้ หากแพร่งพรายออกไป ชายหกของเราก็เสียชื่อเช่นกัน!”

ฮูหยินโจวนั่งลงอย่างโมโห ยิ่งคิดยิ่งโมโห ก่อนจะปิดหน้าร้องไห้ขึ้นมาอีก

ทั้งบ้านตระกูลโจวปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้มอย่างน่าประหลาด

สาวใช้เหลียวหลังมา มองเห็นแม่นมสองคนรีบหลบสายตาแล้วเร่งฝีเท้าเดินหนีไป

สาวใช้ขมวดคิ้วแล้วละสายตาหันกลับมา

“อะไรกัน เหตุใดเพียงชั่วข้ามคืนก็ดูแปลกไปเช่นนี้” นางพึมพำแล้วก้าวเข้าประตูมา นางเห็นเฉิงเจียวเหนียงยืนอยู่ตรงทางเดินจึงเอ่ยขึ้นว่า “นายหญิง เราไปกันเถิดเจ้าค่ะ”

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

ระหว่างทางที่ออกไป สาวใช้ก็อดที่จะสำรวจรอบข้างไม่ได้

“นายหญิง ท่านรู้สึกหรือไม่ว่า คนในบ้านแปลกไปนะเจ้าคะ” นางถามแล้วมองสาวใช้สองคนที่เพิ่งเดินผ่านไป

สาวใช้ทั้งสองละสายตาอย่างรวดเร็ว แอบหัวเราะคิกคักด้วยกันแล้วรีบเดินจากไป

“ไม่ต้องสนใจ” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

ประตูสองมีรถสองคันมาจอดรออยู่แล้ว แม่นางเล็กตระกูลโจวกำลังขึ้นรถไป ยามเห็นพวกนางก็ชักสีหน้าขึ้นมาในทันใด

“รถของเราล่ะ” สาวใช้ถามแม่นมพลางส่งยิ้มให้ “คนบังคับรถครั้งนี้คือใครกัน ท่านชายหกจะมาบังคับรถให้พวกข้าอีกหรือไม่”

เพิ่งจะพูดจบ แม่นางเล็กทางนั้นก็โมโหขึ้นมาทันใด

ท่านชายโจวหกเป็นคนบังคับรถให้เฉิงเจียวเหนียง ก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกสำหรับบ้านนี้ ทุกคนต่างก็เข้าใจว่า ท่านชายโจวหกกลัวว่าเด็กบ้าคนนี้จะแอบหนีไป คนอื่นขวางไม่ได้ มีเพียงท่านชายโจวหกที่ห้ามปรามไว้ได้

หากเป็นเมื่อก่อนได้ยินเช่นนี้ แม่นางเล็กก็คงไม่รู้สึกอะไร แต่ท่านชายโจวหกเพิ่งก่อเรื่องเช่นเมื่อวานนี้ พอได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้นางเกลียดชังยิ่งนัก

เด็กบ้านี่ก็คงจะตั้งใจยั่วยวนพี่ชายของตนตั้งแต่ตอนนั้นแล้วกระมัง

“ถุย” นางตะโกน “หน้าไม่อาย!”

สาวใช้ตกใจแล้วก็เลิกคิ้วทันใด

“ถูกต้องเจ้าค่ะ ลักพาตัวคนอื่นมาที่บ้าน ช่างหน้าไม่อายเสียจริงเจ้าค่ะ!” นางตะโกนแล้วเท้าเอวเดินเข้าไป “แม่นางเล็กด่าได้ดีเจ้าค่ะ!”

…………………………………………………