รู้อยู่แต่แรกแล้วว่าสาวใช้คนนี้โอหังนัก แต่ไม่คิดว่านางจะกล้าด่าผู้อื่นเช่นนี้ ส่วนเฉิงเจียวเหนียงที่เป็นนายเองก็ไม่ห้ามปรามเลยสักนิด
สาวใช้ด่าก็มีค่าเท่ากับนายด่า
กล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร แถมยังยังเหิมเกริมถึงเพียงนี้
แม่นางเล็กตระกูลโจวอดทนต่อความโกรธแค้นที่สั่งสมไม่ไหว
“ตระกูลเฉิงอบรมบ่าวเช่นนี้ ไม่เห็นนายผู้ใหญ่อยู่ในสายตา ช่างหน้าไม่อายนัก!” นางตะคอก
“ถูกต้องเจ้าค่ะ บ่าวของตระกูลเฉิงหน้าไม่อาย นายของตระกูลโจวก็หน้าไม่อายเช่นกัน สมกับเป็นญาติกันนะเจ้าคะ!” สาวใช้เท้าเอวชี้นิ้วตะโกน
แม่นางเล็กโมโหกระทืบเท้า นอกจากสาวใช้จะไม่สะทกสะท้านกับคำด่าของนางแล้ว ยังด่านางกลับอีก
“เจ้า เจ้า” นางอ้าปากค้าง ใบหน้าแดงก่ำ น้ำตาคลอเบ้า
นางเองก็เป็นนายหญิงในเรือนเช่นกัน แต่ไม่เคยพบสาวใช้คนใดหยาบคาบเช่นนี้มาก่อน!
เติบโตจนถึงป่านนี้ นางยังไม่เคยได้ยินคำด่าแรงๆ สักคำ ขนาดท่านพ่อท่านแม่ก็ยังไม่เคยตะโกนใส่ด้วยใบหน้าเย็นชาเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้กลับถูกสาวใช้คนหนึ่งชี้หน้าด่า แม่นางเล็กกระทืบเท้าแล้วร้องไห้ นางหันหลังกลับแล้ววิ่งเข้าไปข้างใน
สาวใช้และแม่นมของนางต่างมองตาค้าง จนวินาทีนี้ถึงเพิ่งจะได้สติแล้วตามไปอย่างร้อนรน
“เตรียมรถ!” สาวใช้เลิกคิ้วตะโกน
แม่นมที่คอยรับใช้อยู่ตรงประตูสองตกใจตัวสั่น แล้วรีบลากรถออกมา
สาวใช้พยุงเฉิงเจียวเหนียงมุ่งตรงไปขึ้นรถ
“แค่บุตรสาวของชาวยุทธคนหนึ่ง ริอยากหัดด่าคนเหมือนคนอื่น! อ่อนหัดเสียจริง!” นางพูดเสียงโกรธเคือง
หากจะถามว่าผู้ใดทะเลาะด่าคนเก่งที่สุดนั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่อันธพาลในตลาดหรือหญิงชนบทไม่รู้หนังสือ
แต่เป็นกาดำในหออาลักษณ์หลวงผู้คนแก่เรียน!
หากไม่แย่งชิงก็ปล่อยผ่าน ไม่ต่อสู้ก็เลิกแล้วกันไป แต่หากได้โต้เถียงขึ้นมา ถึงจะบอกว่าขุนพลกล้าหาญเด็ดเดี่ยว แต่หากขุนนางฝ่ายบุ๋นได้ด่าคนแล้ว จะด่าจนเข้าถึงกระดูก ด่าคำเดียวชี้ชะตาเป็นตาย สังหารคนได้โดยไม่ต้องนองเลือด เมื่อต่อสู้กับความชั่วร้ายแล้วย่อมไม่เกรงกลัวใครทั้งนั้น
ผู้ทรงภูมิแสนสง่างามเช่นจางฉุน ยามต้องถกเถียงหลักวิชาลัทธิเต๋า ก็เคยทำสงครามน้ำลายกับกลุ่มปราชญ์ลัทธิขงจื๊อเช่นกัน ถึงขนาดกับด่าปราชญ์สูงวัยท่านหนึ่งจนกระอักเลือดเป็นลมไป
“พี่ชาย” สาวใช้เปิดม่านแล้วตะโกนเรียก
คนบังคับรถตกใจจนตัวสั่น
“รบกวนจอดหน้าร้านยาหน่อยนะเจ้าคะ” สาวใช้อมยิ้ม น้ำเสียงอ่อนหวาน สีหน้าอ่อนโยน ไม่มีความดุร้ายเหมือนเมื่อครู่เลยสักนิด
คนบังคับรถสะดุ้งแล้วรีบมุ่งหน้าไปบนถนนที่มีร้านขายยาเรียงราย เขาหาร้านขายยาที่ใหญ่ที่สุดแล้วจอดรถ มองดูสาวใช้เข้าไปไม่นานก็ซื้อห่อยาที่ไม่รู้ว่าเป็นยาอะไรมา
เมื่อมาถึงสะพานอวี้ไต้ จินเกอร์ก็รออยู่นานแล้ว รถม้าก็เช่าไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน สาวใช้และเฉิงเจียวเหนียงนั่งรถม้าที่เช่ามาวิ่งจากไป
ทุกครั้งนั้นนายหญิงน้อยผู้นี้ไปที่ใดกัน
แถมยังไม่ใช้รถม้าของตระกูลโจว แต่ใช้รถม้าธรรมดาที่เช่ามา เพราะกลัวคนของตระกูลโจวจะรู้ หรือกลัวใครจะรู้กันแน่
คนบังคับรถม้าคิดพลางเหม่อลอย
“พี่ชาย เข้ามาเถิด นั่งดื่มน้ำในห้องหน้าประตูก่อน” ปั้นฉินพูดรับรอง
คนบังคับรถได้สติก็รีบนำรถเข้าประตูไปแล้วเอ่ยขอบคุณ
เขาจำได้รางๆ ว่าสาวใช้ผู้นี้มาจากบ้านตระกูลโจว คนที่จะฆ่าตัวตายในหลายวันก่อน ชื่ออะไรนะ
“พี่ปั้นฉิน ผ้าปูที่ตากไว้ทางนี้ข้าเก็บเลยดีหรือไม่” จินเกอร์ตะโกนมาจากในเรือน
ใช่ ปั้นฉิน!
แต่ว่าสาวใช้นางนั้นก็เหมือนจะชื่อปั้นฉินเช่นกัน!
คนบังคับรถมองไปทางนอกประตูแล้วเบิกตาโพรงอย่างอดไม่ได้
เหตุใดล้วนแต่ชื่อปั้นฉินกันทุกคน คงไม่ใช่ร่างแยกของภูติผีหรอกนะ นายหญิงผู้นี้เป็นศิษย์ของนักพรตหลี่ ขนาดยมบาลยังรู้จัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหากจะให้ภูติผีปีศาจมาปรนนิบัติรับใช้ได้
เปลี่ยนใบหน้าได้ดั่งใจเช่นนี้ มีแต่ภูติผีปีศาจเท่านั้นที่ทำได้กระมัง
คนบังคับรถขนลุกอีกครั้ง
อมิตาภพุทธ พระโพธิสัตว์…ไม่สิ ไม่ใช่ ขอเทพไท่อี่เทียนจุนผู้อยู่สูงสุดคุ้มครอง ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินนะขอรับ
ยามรถม้าของเฉิงเจียวเหนียงจอดหน้าเรือนไท่ผิงนั้นก็เป็นเวลากลางวันแล้ว
ในห้องโถงไม่ได้ว่างเปล่า แต่มีคนเดินทางสองคนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่
“ร้านพวกเจ้ามีอะไรบ้าง” คนหนึ่งถามขึ้นแล้วสำรวจดูรอบๆ “เก็บกวาดได้สะอาดดี แต่ไม่รู้ว่ารสชาติอาหารเครื่องดื่มนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
“มีอาหารกับแกล้ม ผลไม้ เนื้อ ผัก ส่วนเหล้าหรือน้ำชา ก็มีเหล้าที่มีชื่อในเมืองหลวง เช่น ชุนเนี่ยง อวี้จิงและปี้ซี และยังมีเหล้าทางการสุ่ยเฉาด้วยขอรับ” คนที่มารับรายการอาหารก็คือน้องสี่แห่งพี่น้องเขาเม่าหยวน ถึงแม้จะยังไม่คุ้นชิน แต่ก็พูดจาฉะฉาน
“ร้านเล็กแต่ก็ดูครบครันดี” คนเดินทางทั้งสองยิ้ม
“เช่นนั้นก็เอากับแกล้มมาสักสี่จาน เนื้อสองน้ำแกงหนึ่ง เอาเหล้าทางการมาชิมกาหนึ่งก่อนแล้วกัน” คนหนึ่งคิดสักครู่แล้วสั่งอาหาร
น้องสี่ขานรับแล้วเดินไปสั่งอาหารในห้องครัว เมื่อเดินใกล้ถึงโต๊ะเก็บเงิน ผู้ดูแลร้านก็คว้าขาไว้
“หากมีลูกค้าสวมใส่ผ้าไหมผ้าต่วน ตอนนั่งลงทำท่าเกรงใจกันเช่นสองคนนั้น บอกเขาว่ามีเหล้าชั้นดีสามอย่างก็พอ” เขาเอ่ยกำชับเสียงเบา
พ่อค้าที่เดินทางไปทั่วสารทิศเช่นนี้ แถมยังมีฝ่ายหนึ่งทำท่าจะเลี้ยงอีกฝ่าย ก็ไม่ต้องให้พวกเขามีโอกาสเลือกมากนักหรอก เลือกเอาของดีมาให้ก็พอ
น้องสี่หัวเราะคิกคักกล่าวขอบคุณแล้วขานรับ จะรู้ได้อย่างไรว่าการสั่งอาหารจะต้องใช้ความรู้มากมายเพียงนี้
เฉิงเจียวเหนียงและสาวใช้ก้าวเท้าเข้ามา สาวใช้ยิ้มให้ผู้ดูแล
ผู้ดูแลก็ยิ้มให้สาวใช้ ยื่นมือมาเชิญให้นั่งด้วยความนอบน้อม
ณ เรือนหลัง สวีเม่าซิวและคนอื่นๆ ยืนอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง สวีปั้งฉุยอยากจะเข้าไปแต่กลับถูกซุนไฉขวางไว้
“นี่เป็นห้องสกัดยา จะเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ก็เหมือนกับกระโจมของแม่ทัพในกองทัพทหาร ใครที่ไหนจะเข้ามาดูตามใจได้อย่างไรเล่า” เขาส่ายหัวอันกลมโตแล้วพูดขึ้น
สวีปั้งฉุยถ่มน้ำลายใส่หน้าเขา
“เจ้ามันนักพรตปลอม ยังจะห้องสกัดยาอีก! ไปหลอกผีที่ไหนก็ไป!” เขาจ้องตาเขม็งแล้วตะโกนขึ้น
“ข้าไม่ใช่นักพรตปลอม ข้ามีใบรับรองนักพรตของทางการนะ!” ซุนไฉจ้องตาเขม็งแล้วตะโกนกลับ
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า สวีเม่าซิวก็หันหลังกลับคนแรก เมื่อเห็นเป็นเฉิงเจียวเหนียง ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
“น้องสาวมาแล้วหรือ” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มให้เขา ตอนนี้สีหน้าดีขึ้นบ้างแล้ว รอยยิ้มก็เริ่มดูได้ง่ายขึ้นแล้ว
“ลำบากท่านพี่แล้ว” นางตอบ
“หน้าที่ข้าอยู่แล้ว” สวีเม่าซิวยิ้ม ไม่ได้เกรงใจอะไร
เฉิงเจียวเหนียงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอีกแล้วจึงมองไปทางซุนไฉ
“เจ้าเตรียมเรียบร้อยแล้วหรือยัง” นางถาม
ซุนไฉพยักหน้าแล้วรีบยื่นมือออกมาผลักประตูออก
“นายหญิงมาดูสิขอรับ เตรียมเรียบร้อยหมดแล้วขอรับ” เขากล่าว
เฉิงเจียวเหนียงก้าวเท้าเข้าไป
“นี่ ไหนเจ้าบอกว่าเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้มิใช่หรือ” สวีปั้งฉุยเบิกตากว้างแล้วถามขึ้น
“นายหญิงไม่ใช่คนสุ่มสี่สุ่มห้าเสียหน่อย” ซุนไฉตอบแล้วเดินตามเข้าไปก่อนที่สวีปั้งฉุยจะโมโห
ห้องนั้นเล็กและแคบ มีของจำพวกโม่หิน ไหกระเบื้อง ชั้นวางไม้ ผ้า หินทับต่างๆ วางอยู่อย่างระเกะระกะ ทั้งยังมีเตาไฟที่เพิ่งก่อขึ้นมาใหม่อีกด้วย
เฉิงเจียวเหนียงสำรวจรอบๆ ทีละอย่าง
“เจ้าทำให้ข้าดูรอบหนึ่ง” นางเอ่ย
ซุนไฉชะงักไปสักครู่ ตกใจเล็กน้อย
“นายหญิง ใช่ว่าทำเดี๋ยวเดียวจะเสร็จนะขอรับ” เขาตอบ
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ข้ารู้” นางกล่าว “เจ้าทำเถิด”
ซุนไฉกลอกตาไปมา
“นายหญิง ใช่ว่าซุนไฉคุยโวนะขอรับ การทำเต้าหู้นี้ ทั้งเมืองหลวงมีเพียงข้าคนเดียวที่ทำเป็น” เขาพูดตะกุกตะกัก “ตอนนั้นเต้าหู้ของวัดพวกข้า ใช้หล่อเลี้ยงชีวิตทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์มากมาย พระหัวโล้นวัดด้านข้างยังเคยโลภคิดจะแย่งชิงตำรับจากอาจารย์ข้า อาจารย์ข้านับถือแต่ลัทธิเต๋า ไม่ยอมอ่อนข้อต่ออำนาจของพระหัวโล้นพวกนั้น…”
สวีปั้งฉุยที่ยืนอยู่ด้านนอกได้ยินดังนั้นก็จ้องเขม็ง
“โอ้ย เจ้าหมอนี่ ยังจะหน้าด้านขอขึ้นราคาอยู่อีกหรือ มาไม้นี้กับน้องสาวข้า…” เขาถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วตะโกน
เฉิงเจียวเหนียงเหลียวหลังมายิ้มให้เขา
“ท่านพี่อย่าโมโหไป ฟังเขาพูดก็พอ” นางเอ่ย “ซื้อขายอย่างเป็นธรรม ไม่มีการหลอกลวง”
สวีปั้งฉุยส่งเสียงเคืองแล้วเลิกราไป
ซุนไฉแสยะยิ้ม
“นายหญิง ใช่ว่าข้าน้อยไม่เห็นความหวังดีของท่าน เพียงแต่…ทักษะนี้เป็นเคล็ดลับที่อาจารย์ข้าไม่สืบทอดให้ใคร…ข้า…” เขาสายตาล่อกแล่กพูดจาติดขัด
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าขัดจังหวะเขา
“ข้าเข้าใจ เจ้าทำเถิด ข้าไม่ดูเปล่าหรอก” นางกล่าว
ซุนไฉบรรลุเป้าหมายแล้ว จึงไม่ได้ตื๊อต่อ ยิ้มแหยๆ แล้วพยักหน้า
“ได้เลย ข้าเชื่อนายหญิง” เขาพูดจบก็ยกมือขึ้นมามัดแขนเสื้อ “ข้ารู้ว่านายหญิงจะดู จึงได้แช่ถั่วไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ข้าจะทำให้นายหญิงดูเดี๋ยวนี้ล่ะว่าทำเต้าหู้อย่างไร”
ห้องด้านนอก กับแกล้มและผลไม้สี่จานถูกจัดวางขึ้นโต๊ะไว้ และยังมีชาร้อนอีกกาหนึ่งด้วย
“ท่านลูกค้าดื่มให้ร่างกายอบอุ่นก่อนนะขอรับ” น้องสี่ยิ้ม
ลูกค้าทั้งสองมองดูจานที่จัดวางอยู่ตรงหน้า แต่ของว่างสี่อย่างบนจานนั้นไม่เคยเห็นมาก่อน
“เหล้าล่ะ” คนหนึ่งถามขึ้น
“มาเดี๋ยวนี้ล่ะขอรับ” น้องสี่ยิ้ม “ของทานเล่นของร้านเรากินกับน้ำชาอร่อยที่สุดเลยขอรับ หากดื่มเหล้าจะเสียรสชาติไป ลูกค้าลองชิมดูก่อน รอให้อาหารหลักยกมาแล้ว จะยกเหล้ามาให้พร้อมกันขอรับ”
ลูกค้าทั้งสองได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา
“ร้านอาหารระหว่างทางเล็กๆ ของเจ้านี่มีลูกเล่นมากมายจริงเชียว” พวกเขากล่าวแล้วโบกมือ “อาหารจานหลักเร่งมือหน่อย พวกข้าไม่ได้มานัดดื่มชาดื่มเหล้าคุยเล่นกัน พวกข้ายังต้องเร่งเดินทางอีก”
น้องสี่ขานรับแล้วถอยไปอย่างยิ้มแย้ม
“มา ลองชิมหน่อย” ลูกค้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้นแล้วเทน้ำชาให้อีกคน ส่วนตนเองก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบขนมทรงกลมคลุกน้ำตาลอ้อยใส่เข้าปาก ยามขนมสัมผัสกับปากก็ละลายไปในทันที เขาร้อง ‘อืม’ ออกมาอย่างอดไม่ได้ก่อนจะพยักหน้า “ไม่เลว ไม่เลว”
อีกคนหนึ่งก็คีบขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วใส่เข้าปากเช่นกัน ชิมไปเล็กน้อยแล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงยกน้ำชาขึ้นดื่มตาม ก่อนใบหน้าจะเผยความประหลาดใจออกมา ดื่มด่ำกับรสชาติที่ติดอยู่ในลิ้นสักพักแล้วพยักหน้า
“ความหอมหวานส่งเสริมกันได้ดีเสียจริง” เขาเอ่ย “กินกับน้ำชาแล้วดีจริงด้วยสิ”
ไม่นานกับแกล้มก็ถูกกินจนเกือบหมด เดิมทีนั้นมีอยู่ไม่มาก ของทานเล่นทั้งสี่อย่างนั้น แต่ละอย่างกินกันคนละชิ้นพอดี
“กินของว่างแล้ว กลับยิ่งหิวกว่าเดิมเสียอย่างนั้น” คนหนึ่งยิ้มออกมาแล้วหันไปมองทางห้องครัว
ทั้งสองต่างเฝ้ารออยากให้อาหารจานหลักยกมาให้เร็วขึ้น
……………………………………………