น้ำเต้าหู้ในหม้อใบใหญ่เดือดผุด ส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่วห้อง
ซุนไฉนั่งอยู่ข้างเตาไฟ เผาฟืนไปพลางลุกขึ้นไปช้อนฟองเป็นครั้งคราว
“นายหญิง ตอนนี้กินได้แล้ว จะลองชิมน้ำดูหรือไม่” เขาหัวเราะคิกคักแล้วหันไปมองหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง
ผ่านไปครึ่งวันแล้ว หญิงสาวผู้นี้ยังคงนั่งนิ่ง มองดูเขาทุกฝีก้าวโดยไม่เบื่อหน่ายเลยสักนิด
การทำเต้าหู้ดูเหมือนง่าย แต่ใช่ว่าจะดูเพียงครั้งสองครั้งแล้วจะทำได้ จำเป็นต้องใช้ความชำนาญของฝีมือ
ซุนไฉได้ใจยิ่งนักทั้งยังทำตัวตามอำเภอใจ
เพราะร้านอาหารไม่ใหญ่นัก กลิ่นหอมจึงลอยออกมาถึงห้องโถงด้านหน้าจนคนสองคนที่นั่งกินอยู่ต้องวางตะเกียบลง
“ทำอะไรอีกแล้ว หอมเสียจริง” คนหนึ่งสูดกลิ่นแล้วเอ่ยขึ้น
ส่วนอีกคนหนึ่งก็หยิบเหล้าที่กรองแล้วบนเตาน้อยเทใส่ในถ้วย เขาดื่มอึกใหญ่แล้วคีบอาหารต่อทันที
ของกินเล่นบนโต๊ะถูกเก็บไป เหลือเพียงอาหารจานหลักสองจานที่วางอยู่ ส่วนใหญ่เนื้อที่นำมาประกอบอาหารก็เป็นพวกเนื้อแพะ เนื้อลา และเป็ดไก่ เนื้อวัวคืออาหารต้องห้าม เนื้อหมูก็ไม่ดีพอจะนำมาขึ้นโต๊ะอาหาร ส่วนอาหารทะเลนั้นในเมืองหลวงก็หาได้ยากนัก
แต่อาหารที่ทำจากเนื้อที่วางบนโต๊ะในตอนนี้ ไม่เหมือนกับร้านอาหารทั่วไปที่ใช้ผักกาด หัวไชเท้า มาตุ๋นกับเนื้อชิ้นใหญ่ แต่ก็ไม่รู้ว่าผัดกับแผ่นเนื้อที่หั่นอย่างเป็นระเบียบ รสชาติหอมหวานน่าอร่อยจนทั้งสองคนต่างหยุดกินไม่ได้
น้องสี่ยกถาดเข้ามา
“ท่านลูกค้า น้ำแกงมาแล้วขอรับ” เขาเอ่ย
ลูกค้าทั้งสองมองมาก็เห็นจานดินเผาทรงลึกถูกวางลงบนโต๊ะ ด้านล่างมีถ่านติดไฟรองอยู่ ภายในจานทรงลึกมีเสียงเดือดปุดๆ หมี่เส้นเล็กและผักต้นอ่อนลอยขึ้นมาเป็นพักๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย
“นี่คือหมี่น้ำหรือ” ทั้งสองเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
“นี่คือน้ำแกงเส้นหมี่ข้าวขอรับ” น้องสี่ตอบอย่างยิ้มแย้มก่อนจะหยิบตะเกียบและถ้วยมาให้ทั้งสองตักเอง
เส้นหมี่ข้าวอย่างนั้นหรือ
ช่างแปลกใหม่นัก!
จะว่าไปแล้วตั้งแต่นั่งลงที่ร้านแห่งนี้ ทุกอย่างก็ดูแปลกใหม่ไปหมด
สมกับเป็นชานเมืองของเมืองหลวง ไม่เหมือนกับร้านทั่วไปจริงๆ ใบหน้าของลูกค้าทั้งสองยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมา
“ช้าก่อน”
ซุนไฉตักน้ำเต้าหู้ออกจากหม้อใส่ลงในกะละมังแล้วใช้ไม้คน จากนั้นจึงหยิบถ้วยน้ำที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาก่อนจะเทลงในกะละมัง เฉิงเจียวเหนียงที่มองดูเขาอย่างเงียบเชียบมาโดยตลอดก็โพล่งขึ้นมา
ซุนไฉตกใจจนแทบจะโยนถ้วยลงในกะละมัง
“เจ้าใส่อะไรลงไป” เฉิงเจียวเหนียงถาม
ซุนไฉหัวเราะแหะๆ
“นายหญิง นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เต้าหู้เกาะตัวเป็นก้อนขอรับ นายหญิงฉลาดยิ่งนัก” เขาตอบ “แต่ถึงรู้ไปก็ไม่ช่วยอะไรขอรับ ใส่มากน้อยเพียงใดต่างหากที่สำคัญ หากมากเกินไป…”
“เอามาให้ข้าดูหน่อย” เฉิงเจียวเหนียงขัดจังหวะเขาแล้วยื่นมือออกไป
ซุนไฉได้แต่ยื่นให้อย่างไม่เต็มใจ
เฉิงเจียวเหนียงรับมาแล้วลองดมดู ก่อนจะส่งกลับให้ซุนไฉ
“ไม่ใช่จริงด้วย” นางพูดขึ้น
ไม่ใช่อะไร ซุนไฉไม่เข้าใจ
“ทำต่อเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้นจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
หมี่ข้าวเส้นสุดท้ายถูกคีบขึ้น ในจานก้นลึกยังเหลือน้ำแกงอยู่เล็กน้อย เมื่อดื่มเหล้าถ้วยสุดท้ายหมด ทั้งสองวางถ้วยและตะเกียบลงแล้วพ่นลมหายใจออกมาด้วยความพึงพอใจ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดื่มเหล้า หรือว่าไอควันของอาหาร หรือไม่ก็เพราะกินจนเหงื่อท่วมตัว ทั้งสองคนที่นั่งตรงข้ามกันถึงได้ใบหน้าแดงก่ำทั้งคู่
“ไม่คิดว่าร้านเล็กๆ จะมีอาหารที่พิถีพิถันเช่นนี้” คนหนึ่งยิ้ม
“เมืองหลวงล้วนมีแต่ของดีงาม” อีกคนหนึ่งยิ้มแล้วเรียกเก็บเงิน “ข้าอดใจรอที่จะเข้าไปเที่ยวชมเมืองหลวงไม่ไหวแล้ว”
ผู้ดูแลร้านอมยิ้มแล้วเดินเข้ามา
“ทั้งหมดหนึ่งก้วนขอรับ” เขายิ้ม
ลูกค้าคนหนึ่งหยิบเงินออกมาโดยไม่ลังเล ก่อนจะลุกขึ้นมองไปรอบข้าง
“เจ้าของร้าน อาหารทำได้สะอาด รสชาติอร่อยดี แต่เหตุใดกิจการถึงได้เงียบเหงาเช่นนี้เล่า” เขาถามอย่างสงสัย
“ร้านนี้เพิ่งจะเปิดใหม่ ยังไม่มีคนรู้จักนัก” ผู้ดูแลร้านยิ้มแล้วเหมือนคิดอะไรขึ้นได้ จึงแกะเงินหนึ่งก้วนนั้นหยิบออกมาสองสามเหรียญแล้วยัดคืนให้ลูกค้าคนนั้นไป “ลูกค้าทั้งสองเป็นคนเดินทาง รบกวนช่วยบอกต่อร้านให้เราด้วย
จะได้เป็นที่นิยมกับเขาบ้าง ขอบคุณมากขอรับ”
ลูกค้าหัวเราะเสียงดัง คนทำการค้าให้ความสนใจกับการซื้อขายแลกเปลี่ยน ไม่ได้สนใจว่าผู้ดูแลนั้นจะทอนเงินมาเท่าไร หรือมีทีท่าว่าจะใจกว้างโบกมือไม่รับ แต่กลับยื่นมือออกไปรับไว้
“เจ้าของร้าน ท่านรู้จักการทำการค้า ไม่ต้องเป็นกังวลไป” เขายิ้ม
น้องสี่และผู้ดูแลร้านส่งทั้งสองออกไปด้วยตนเอง แถมยังมีน้องชายอีกคนหนึ่งคือน้องห้าลากม้ามาให้ด้วย
“ให้อาหารม้าเต็มอิ่มแล้วขอรับ” น้องห้ากล่าว
เมื่อเห็นม้าขนเงางามที่เหนื่อยล้าจากการวิ่งมาตลอดเส้นทางได้บรรเทาความอ่อนล้าลงแล้ว ลูกค้าทั้งสองก็พยักหน้าด้วยความพอใจ เหยียบหินขึ้นม้าแล้วทั้งสองก็มองดูป้ายร้าน
“เรือนไท่ผิง” คนหนึ่งอ่านออกมา ยิ้มแล้วพยักหน้า
ทั้งสองเร่งม้าให้วิ่งไกลออกไปอย่างรวดเร็ว
“ผู้ดูแลร้าน ทำไมถึงได้ลดราคาให้เขาเล่า” น้องสี่ถามอย่างสงสัย จึงถามออกไปอย่างไม่ปกปิด
ผู้ดูแลร้านไม่ได้โมโห แต่กลับหัวเราะออกมา
“นายสี่ อาหารทั้งโต๊ะนี้ต้องเก็บเท่าไรจึงจะกำไรหรือ” เขาถาม
น้องสี่ไม่รู้
“แปดเหรียญก็ถือว่ากำไรแล้ว” ผู้ดูแลร้านยื่นมือออกมา “ถึงแม้ข้าจะให้เงินเขา ก็เป็นการใช้เงินของเขาทอนเงินให้เขาเท่านั้น”
“แต่ว่ากำไรมากหน่อยย่อมดีกว่าไม่ใช่หรือ” น้องสี่ยังคงไม่เข้าใจจึงถามต่อ
ผู้ดูแลร้านส่ายหน้า
“อยากจะได้กำไรมาก ก็ต้องยอมที่จะได้กำไรน้อย” เขาตอบ “ไม่โลภมาก ก็จะได้กลับมามากกว่า”
น้องสี่ยื่นมือมาเกาหัว
“อย่างไรก็ให้ผู้ดูแลร้านตัดสินใจแล้วกัน ข้าฝึกการยกเหล้าชาอาหารให้ดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เขาหัวเราะ
“ปั้นฉิน”
เฉิงเจียวเหนียงตะโกนเรียก
สาวใช้นอกห้องรีบขานรับแล้วหอบห่อกระดาษเดินเข้ามา
ในห้องนั้น ซุนไฉใช้ก้อนหินทับบนเต้าหู้เรียบร้อยแล้ว
“พรุ่งนี้ก็กินได้แล้ว” เขาปัดมือไปมาแล้วมองดูเฉิงเจียวเหนียงอย่างสบายใจ “นี่ก็คือการทำเต้าหู้ ไม่เพียงแต่ต้องมีฝีมือ แต่ยังเป็นงานที่ใช้แรงงานด้วยขอรับ”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“เจ้าทำอีกรอบสิ” นางเอ่ย
ซุนไฉที่ยืนพิงชั้นวางอยู่มือลื่นจนแทบล้มหน้าคะมำ
“ทำอีกรอบหรือ” เขาเบิกตาเอ่ยถาม “นายหญิง เต้าหู้พวกนี้เก็บได้ไม่นาน ทำแล้วก็ไม่มีคนกิน อย่างไรเสียก็เป็นถั่ว ของดีๆ จะเสียของเอานะขอรับ”
“หากไม่เสียของในตอนแรก ก็จะเสียของตลอดไป” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย แล้วรับห่อกระดาษที่สาวใช้ส่งมา “เจ้าทำไป ข้าไม่ให้เจ้าทำเสียเปล่าหรอก”
ซุนไฉเบะปาก
“ได้ นายหญิงพอใจก็พอ” เขาตอบ
ถึงแม้จะไม่สามารถขายตัวเพื่อความสุขสบายมั่นคงได้ แต่เล่นกับนายหญิงผู้นี้ ก็พอจะหาเงินได้บ้าง คิดถึงชีวิตความเป็นอยู่ในตอนนี้ก่อนก็แล้วกัน
ซุนไฉหยิบถั่วที่แช่ไว้มาโม่ พลางแอบมองอยู่เป็นครั้งคราว เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่ได้จ้องมองตนเองเหมือนครั้งที่แล้ว แต่กลับสั่งให้สาวใช้ตักน้ำแล้วหยิบกะละมังมาไม่รู้ว่าจะทำอะไร
อยากทำอะไรก็ทำเถิด ซุนไฉยังคงง่วนต่อไป ไม่นานก็ต้มน้ำเต้าหู้เสร็จแล้วเทออกมา เขาทำจมูกฟุดฟิด บีบนวดแขนที่ปวดเมื่อย แล้วหยิบไม้มาคน เมื่อเขาจะหยิบถ้วยน้ำขึ้นมาอีกครั้ง เฉิงเจียวเหนียงก็เรียกให้หยุด
“ครั้งนี้ ใส่อันนี้” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
สาวใช้ยกน้ำถ้วยหนึ่งมา
“ใส่อันนั้นไม่ได้” ซุนไฉส่ายหน้าและโบกมือ “นายหญิง จะทำเป็นเล่นไม่ได้นะขอรับ จะใส่อะไรนั้นมีกฎเกณฑ์นะขอรับ”
“ให้เจ้าใส่เจ้าก็ใส่สิ” สาวใช้เอ่ย “พูดมากเสียจริง”
ซุนไฉสูดหายใจทางปากอย่างจนใจ
“ก็ได้ ก็ได้ ข้าบอกแล้วนะ หากไม่ทำตามข้าสักขั้นตอนหนึ่ง ทำเต้าหู้ออกมาไม่ได้หรอก” เขากล่าว
“พอได้แล้ว อย่าสำคัญตนไปหน่อยเลย” สาวใช้ส่งเสียงเคืองแล้วส่งถ้วยน้ำให้เขา
ซุนไฉรับมาอย่างจนใจ มองดูน้ำในถ้วยที่ไม่เหมือนกับของตนโดยสิ้นเชิง เขาอดไม่ได้ที่จะลองดม เป็นกลิ่นที่แปลกแต่กลับคุ้นเคย
นี่คืออะไร
เขาหยุดคิดอย่างอดไม่ได้
“เทสิ” สาวใช้เร่งเร้า
ซุนไฉได้สติแล้วทำต่อ ไม่นานก็ได้เต้าหู้อีกก้อนหนึ่งแล้วใช้ก้อนหินวางทับไว้
เวลาพลบค่ำมาถึง
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้พูดอะไร นางบอกลาสวีเม่าซิวและคนอื่นๆ แล้วนั่งรถกลับไป เมื่อผ่านประตูเข้าไป เรือนตระกูลโจวก็จุดไฟสว่างไสวแล้ว
“นายหญิง ต้มน้ำเสร็จแล้ว ข้าไปเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยนนะเจ้าคะ” สาวใช้พูดแล้วเดินก้าวเข้าไป แต่ฝีเท้ากลับต้องชะงักไปในทัที
แม่นมแปลกหน้าสองสามคนนั่งอยู่ตรงทางเดิน เมื่อเห็นพวกนางก็รีบยิ้มแล้วคำนับ
“นายหญิงกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” พวกนางเอ่ย
สาวใช้งุนงง ก่อนจะมองสำรวจพวกนางแล้วมองเข้าไปในห้อง สิ่งที่เห็นมีเพียงห่อผ้าหลายห่อวางอยู่กลางห้อง และเครื่องเรือนในห้องแปลกตาแตกต่างจากตอนที่ออกจากเรือนไป
“ใครให้พวกเจ้าเข้าห้องนายหญิง!” นางเลิกคิ้วตะโกนแล้วรีบเดินเข้าห้องไป
เป็นจริงดังนั้น ทั้งผ้าห่มก็ดี ไม้แขวนเสื้อก็ดีล้วนถูกเก็บอย่างเรียบร้อย โต๊ะเตี้ยก็ถูกยกออกไปแล้ว เครื่องเขียนก็หายไปเช่นกัน
“นี่ทำอะไรกัน ใครมาย้ายของของนายหญิง” นางตะโกน
แม่นมยิ้มให้เฉิงเจียวเหนียงแล้วคำนับอีกครั้งด้วยท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“นายหญิง เรือนหลังนี้เก่าและทรุดโทรมนัก เห็นว่าฝนฤดูใบไม้ผลิจะมาแล้ว เกรงว่าจะไม่สะดวก ฮูหยินจึงให้ซ่อมแซมเสียหน่อย ฉะนั้นขอเชิญนายหญิงไปพักที่เรือนของนายหญิงก่อน รอให้ซ่อมเสร็จแล้วค่อยย้ายกลับมาเจ้าค่ะ”
แม่นมคนหนึ่งอมยิ้ม
สาวใช้ตกตะลึง แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
นี่…จะไล่พวกนางออกไปอย่างนั้นหรือ
………………………………………………………..