พ่อบ้านเดินจ้ำอ้าวตลอดทางก่อนจะเข้าเรือนฮูหยินโจวไป

“เก็บของเสร็จแล้วหรือ” ฮูหยินโจวถาม

“นายท่าน ฮูหยินขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยอย่างประหม่า “เขาไม่ให้เข้าไปขอรับ”

“อะไรนะ” ฮูหยินโจวลุกขึ้นนั่งในทันใดแล้วตะโกนถามเสียงดัง

“กว่าจะหาเรือนของนายหญิงเจอ ที่นั่นมีบ่าวคนหนึ่งเฝ้าประตูอยู่ ไม่ยอมให้เข้าไป พวกข้าพูดอย่างไรก็ไม่ยอมขอรับ” พ่อบ้านตอบ

ฮูหยินโจวพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย้ยหยัน

“พวกข้าก็ไม่กล้าบุกเข้าไปด้วย เขาบอกจะไปแจ้งทางการขอรับ” พ่อบ้านก้มหน้าพูดอย่างลำบากใจ

เคยต้องให้กองบัญชาการปัญจทิศรักษานครออกตระเวนหาทั่วท้องถนนไปแล้วครั้งหนึ่ง หากเกิดเหตุโกลาหลเช่นนั้นอีกครั้ง จะทำให้ตระกูลโจวเป็นที่จับตามองมากเกินไป

“เช่นนั้นก็ตามใจ ข้าอุตส่าห์หวังดีจะเก็บของตกแต่งห้องให้ก่อน นางไม่ยอมก็ช่างเถิด” ฮูหยินโจวเอ่ย “นางกลับมาหรือยัง เก็บของเสร็จแล้วก็ไปเถิด ไม่ต้องมาก้มหัวคำนับข้าแล้ว ข้าไม่อยากจะเห็นนางอีก”

เหล่าแม่นมหันหน้ามองกันแล้วมองดูหญิงสาวที่นั่งอยู่ในห้องโถง

หญิงสาวสีหน้าเรียบเฉย ดูไม่ออกว่าอารมณ์ไหน

“นายหญิงเจ้าคะ ท่านอย่าคิดมากไปเลยเจ้าค่ะ เพื่อจะได้อยู่อย่างสบายในระยะยาว จำเป็นต้องซ่อมแซมเรือนจริงๆ ในเรือนห้องหับคับแคบนัก จะให้นายหญิงไปเบียดกับคนอื่นก็ไม่ได้ ไปอยู่ข้างนอกเพียงแค่ระยะหนึ่ง ซ่อมเสร็จก็กลับมาเจ้าค่ะ” แม่นมอมยิ้มหว่านล้อม

“ข้าไม่ได้คิดมาก” เฉิงเจียวเหนียงตอบก่อนจะยิ้มแล้วมองดูพวกนาง “เพียงแต่ ข้ามาอย่างไร ก็จะไปอย่างนั้น”

มาอย่างไรก็ไปอย่างนั้นหรือ

เหล่าแม่นมมองหน้ากัน

“ท่านชายหกของพวกเจ้าจับตัวนายหญิงข้ามา เช่นนั้นก็ให้ท่านชายพวกเจ้าไปส่งพวกข้าด้วยก็แล้วกัน” สาวใช้กล่าว

ฮูหยินโจวขว้างถ้วยยาในมือ

แม่นมและสาวใช้เงียบกริบอยู่ใต้แสงไฟนอกห้อง

“หน้าไม่อายเสียจริง นึกแล้วเชียวว่าต้องเป็นคนเสี้ยมให้ชายหกมาโวยวายกับข้า!” ฮูหยินโจวตะโกน “ให้ไปอย่างมีหน้ามีตาไม่เอา เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้านาง ใครก็ได้ จับตัวนางแล้วลากออกไป”

“ได้เสียที่ไหนกัน!” นายใหญ่โจวตะคอก “แม้วันนี้จะจับตัวนางได้ คิดว่าวันพรุ่งยังจะจับตัวนางได้อีกหรือ ตอนนี้นางมีชื่อเสียงในเมืองหลวง หากเรื่องแพร่ออกไป เจ้ากับข้ายังจะมีหน้าไปเจอใครได้อีก!”

“จะมีหน้าไปเจอคนอย่างไรหรือ นางเองยังไม่กลัวขายหน้าเลย ข้าจะกลัวอะไรอีก!” ฮูหยินโจวตะโกนแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา “ข้าหวังดีให้นางอยู่ในบ้าน หมายจะเลี้ยงนางไปชั่วชีวิต สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าชักศึกเข้าบ้าน ยั่วยวนลูกข้า หญิงเช่นนี้สมควรเป็นขี้ปากชาวบ้าน! ฟื้นคืนชีพ พบเทพเทวดาหรือ! พบผีปีศาจล่ะไม่ว่า! ตัวหายนะ

ตัวหายนะ!”

เสียงตะโกนทำเอานายใหญ่โจวปวดหัวจนต้องลุกยืนขึ้น

“ความในอย่านําออก ความนอกอย่านําเข้า! ข้าจะไปพูดกับนางเอง” เขาเอ่ยขึ้น

แม่นมในเรือนของเฉิงเจียวเหนียงต่างถอยออกไป ห่อผ้าในห้องยังคงวางอยู่เหมือนเดิม

สองนายบ่าวนั่งเงียบ ไม่ได้หวาดกลัวหรือโมโหแต่อย่างใด

นายใหญ่โจวนั่งลง ลังเลอยู่นาน คิดคำพูดเป็นพันหมื่นคำในหัว

“เรือนนี้จะต้องซ่อมเสียหน่อย จะให้เบียดกับพี่น้องคนอื่นๆ ก็คงไม่สะดวก” เขาเอ่ยแล้วเงยหน้ามามองสีหน้าอันเรียบเฉยของหญิงสาว ไม่รู้ว่าจะพูดต่ออย่างไรดี

“เจียวเจียวร์ เจ้าออกไปอยู่ข้างนอกก่อนเถิด ในบ้านเจ้าอยู่ก็ไม่สะดวก แต่ว่าเจ้าวางใจได้ อยู่ในบ้านหรืออยู่ข้างนอกก็เหมือนกัน ยังมีลุงอยู่เหมือนกัน” เขากัดฟันพูด

เฉิงเจียวเหนียงได้ยินดังนั้นก็มองไปทางเขา

“ครั้งนี้ไล่ข้าออกไป วันหลังจะบังคับข้าให้กลับมาอีกหรือไม่” นางถาม

หากรู้แต่แรกว่ารับมาแล้วจะยุ่งยากเช่นนี้ คงไม่บังคับนางมา ส่งไปอยู่เรือนข้างนอกเสียแต่แรกแล้วพวกเขาค่อยไปดูแลยังจะดีกว่า

ไม่น่าเลยจริงๆ!

“เจียวเจียวร์พูดอะไรกัน ไล่อะไรกันเล่า” นายใหญ่โจวยิ้มแห้ง “ที่นี่เป็นบ้านยายเจ้า ข้าเป็นลุงเจ้า ที่นี่ก็คือบ้านเจ้า เจ้าอยากมาก็มา อยากไปก็ไป ใครกล้าบังคับเจ้าเล่า”

เฉิงเจียวเหนียงได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม

“เช่นนั้นก็ดี ท่านลุงจำคำนี้เอาไว้ก็พอ” นางลุกขึ้น “เช่นนั้น ข้าขอตัวลา”

ตกลงแล้วหรือ

นายใหญ่โจวเหม่อเล็กน้อย

เช่นนี้ก็ดี อยู่ในบ้านก็มีแต่เรื่องวุ่นวายจนไม่ได้สงบ ฮูหยินของตนไม่พอใจ นางเองก็ไม่พอใจ อย่าได้พูดถึงความสัมพันธ์อันดีงามอะไรเลย กลัวว่าจะยิ่งห่างเหินกันไปใหญ่ แยกกันอยู่อาจจะดีกว่า

อย่างไรเสียตนก็เป็นลุงแท้ๆ ของนาง ถึงเวลาก็ให้เงินเสียหน่อย ไปเยี่ยมไปดูแลบ้าง ใจคนก็เป็นก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง แถมยังเป็นเด็กสาวอีก ไม่มีอะไรน่าลำบากใจ

“ใครก็ได้ ไปส่งนายหญิงที่บ้านที” เขาลุกขึ้นมา

เหล่าแม่นมนอกห้องรีบกรูกันเข้ามา

“ไม่ต้อง” เฉิงเจียวเหนียงพูด “ทางนั้นของใช้ครบครันอยู่แล้ว เอาแค่ของของข้าไปก็พอ”

เหล่าแม่นมนิ่งชะงัก มองดูสาวใช้ถือแค่ห่อผ้าห่อหนึ่งลุกตามไป เหมือนนางจะนึกอะไรได้จึงหยุดเดิน ก่อนจะค้นหนังสือเล่มหนึ่งออกจากห่อผ้ามาถือไว้ในมือ

“นายหญิง เราไปกันเถิดเจ้าค่ะ” นางกล่าว

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า ยกมือขึ้นมาสวมหมวกคลุมแล้วก้าวออกประตูไป

ลมยามฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน โคมไฟตามทางเดินสั่นไหวไปมา

“ฮูหยิน ส่งนางกลับไปแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมสองคนก้าวเข้ามาคำนับ

ฮูหยินโจวถอนหายใจแล้วล้มพับลงนอน

“นางไม่เอาอะไรไปเลย… ให้เงินก็ไม่เอาเจ้าค่ะ…”

ฟังแม่นมพูดไป ฮูหยินโจวก็หรี่ตาแล้วก็หัวเราะเยาะ

“นางไม่มีเงินหรืออย่างไร นางสนใจเงินพวกนี้ของบ้านเราเสียที่ไหนกัน” นางกล่าว

“ไม่ยอมพาคนไปด้วยเจ้าค่ะ นายท่านไปส่งด้วยตนเอง ลงรถแล้วก็ปิดประตู ไม่ให้ใครเข้าไปเลย ทุกคนเลยต้องกลับมาเจ้าค่ะ” แม่นมก้มหน้าพูดต่อ

“ไม่เอาก็ไม่ต้องเอา!” ฮูหยินโจวส่งเสียงโกรธเคืองแล้วลืมตาขึ้น “นายท่านล่ะ”

“ไปห้องหนังสือเจ้าค่ะ” แม่นมตอบ

“จะไปไหนก็ไป” ฮูหยินโจวโบกมือให้แม่นมออกไป นางถอนใจเบาๆ กับสาวใช้และแม่นมข้างกาย “ขอแค่หญิงผู้นี้ออกไป ข้าก็วางใจแล้ว”

เมื่อพูดจบนางก็มองไปนอกหน้าต่าง รู้สึกว่ายามค่ำคืนช่างเงียบสงบเสียจริง

แสงตะวันยามเช้าสาดส่อง สนามฝึกของบ้านตระกูลโจวขาดท่านชายโจวหกเป็นครั้งแรก

“น้องหกเสียใจมากจนลุกไม่ไหวเลยหรือ”

“ใช่เสียที่ไหนกัน เมื่อวานท่านแม่ให้พวกข้าพาเขาออกไปดื่มเหล้าเพื่อย้อมใจ พวกข้ามอมเขาจนเมาแล้วหามกลับมากัน ตอนนี้น่าจะยังไม่ตื่น”

“ดูไม่ออกจริงๆ น้องหกอายุเพียงแค่นี้ แต่กลับมีความคิดเช่นนี้”

“คาดว่าคงจะเสียใจไปพักหนึ่งเลยละ…”

เหล่าพี่ชายน้องชายแลกหอกพลางพูดคุยหยอกล้อกัน

เสียง ‘ปัง!’ ดังขึ้น ประตูเรือนถูกถีบจนเปิดออกอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ในห้องไม่มีหญิงสาวสายตาเฉยชา และไม่มีสาวใช้เลิกคิ้วด่าทออย่างโมโห

ภายในห้องนั้นเหมือนดังเมื่อก่อน เงียบสงัดไร้ผู้คน

ท่านชายโจวหกกำหมัดแน่น ยกเท้าขึ้นถีบโต๊ะเตี้ยตรงหน้าจนกระเด็นลอยไปชนกำแพงร้าวแล้วตกลงสู่พื้น

“นี่ไม่เกี่ยวกับนาง! ท่านพ่อ ท่านแม่ ไม่เกี่ยวกับนาง ข้าตัดสินใจเองคนเดียว!”

ท่านชายโจวหกตะโกน “ข้าติดค้างนาง! ข้าจะใช้ทั้งชีวิตชดใช้ให้แก่นาง!”

“เจ้าติดค้างอะไรนาง” ฮูหยินโจวเลิกคิ้วตะคอกใส่ “ถึงต้องใช้ทั้งชีวิตเจ้าไปชดใช้! เจ้าติดค้างนางหรือ ข้าติดค้างเจ้าต่างหาก! เพื่อนางแล้ว เจ้ากล้ามาพูดเช่นนี้กับข้าเชียวหรือ! ข้าจะบอกให้ ว่านางอย่าได้คิดจะเหยียบเข้าบ้านหลังนี้อีก เจ้าจะพูดอะไรก็ไร้ประโยชน์!”

ท่านชายโจวหกคุกเข่าสีหน้าตึงเครียด

“เจ้าออกไป เรื่องแต่งงานของเจ้า พวกข้าตัดสินใจเอง อย่าคิดเอาแต่ใจอีก!” นายใหญ่โจวตะคอกเสียงเข้ม

ท่านชายโจวหกลุกขึ้นแล้วจากไป

ม้าวิ่งออกไปอย่างเร่งรีบจนแทบจะชนกับท่านชายฉินที่กำลังลงจากรถม้า

“ชายหก!” เขาเห็นหนุ่มน้อยบนม้าแล้วรีบตะโกนเรียก

ม้าวิ่งต่อไปไม่ได้หยุด

“โมโหอะไรมาอีก” ท่านชายฉินส่ายหน้า

“ท่านชาย เรารอเขาที่บ้านหรืออย่างไรขอรับ” บ่าวถาม

ท่านชายฉินมองประตูบ้านตระกูลโจว แล้วหันไปมองทางที่ท่านชายโจวหกมุ่งหน้าไป

“คิดว่าอีกนานกว่าเขาจะกลับมา พวกเรากลับกันเถิด” เขาตอบ

บ่าวขานรับแล้วปล่อยม่านรถลง จากนั้นเลี้ยวรถม้ากลับ

รถม้าของท่านชายฉินเข้าบ้านก็มีบ่าวยกเกี้ยวมา ท่านชายฉินถูกพยุงขึ้นเกี้ยวแล้วเข้าไปข้างใน

ฮูหยินผู้งดงามสูงศักดิ์คนหนึ่งเดินมาพร้อมกับเหล่าแม่นมห้อมล้อมรอบตัว เมื่อเห็นคนกลุ่มกำลังเดินเข้าไป

ฮูหยินจึงหยุดเดิน

“เหตุใดวันนี้ชายสิบสามถึงกลับมาเร็วนัก” นางอมยิ้มถามขึ้น

“นั่นสิเจ้าคะ เมื่อครู่บอกว่าจะไปหาท่านชายหกตระกูลโจวนี่เจ้าคะ” แม่นมคนหนึ่งตอบ

ฮูหยินก้าวเท้าเดินหน้าต่อไป สีหน้าอมยิ้ม

“พูดถึงท่านชายหกตระกูลโจว” นางนึกอะไรขึ้นได้กะทันหัน “ข้าเหมือนจะได้ยินใครบอกว่าตระกูลโจวมีคนรักษาขาของชายสิบสามได้อย่างนั้นหรือ”

…………………………………………………..