บทที่ 141 บัณฑิตตกยาก

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

พระอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้าไปทางทิศตะวันตก ความร้อนที่หลงเหลือในตอนกลางวันยังคงระเหยอยู่ ไอร้อนแผดเผายังคงปกคลุมทั่วดินแดนหล่งซี

ชายแดนของรัฐฉู่ รัฐฉินและรัฐปาเป็นภูเขาสูงหรือหุบเขาลึกแทบทั้งหมด ไม่มีเส้นทางราบเรียบตามปกติเลย รอบกายเต็มไปด้วยกลิ่นของหญ้าเขียวขจีที่ถูกแสงแดดเผาไหม้ในช่วงตอนกลางวัน คละคลุ้งกับความร้อนชื้นในหุบเขา ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในเรือกลไฟ

ท่ามกลางความเขียวชอุ่มนั้น หลังคามุงจากปรากฏให้เห็นเลือนราง ธงที่เขียนว่า “สุรา” สีเทาเก่าๆ ห้อยย้อยลงมาจากชายคา

แม้ว่าที่นี่จะอยู่ห่างไกล ทว่ากลับมีทางสัญจรเข้าสู่ฉิน ฉู่และปา ด้วยเหตุนี้แม้กิจการโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่นับว่าดีนัก แต่กลับมีลูกค้าไม่เคยขาด

มีขบวนรถม้าพักผ่อนอยู่ในร้านที่เชิงเขา ไม่มีใครสังเกตเห็นขอทานเนื้อตัวมอมแมมที่เดินอยู่บนเส้นทางสายเล็กๆ ด้วยความยากลำบากและแทบต้องหยุดพักทุกๆ สามก้าวบนภูเขาฝั่งตรงข้าม

เขาเห็นว่าโรงเตี๊ยมที่เชิงเขานั้นอยู่ใกล้เหลือเกิน ทว่าคล้ายมีความรู้สึกว่าเดินเท่าไรก็ไม่มีวันถึง รู้สึกว้าวุ่นอยู่ในใจและวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย

ครั้นเดินไปข้างหน้าราวๆ สี่ห้าจั้ง จู่ๆ เท้าลื่นล้มลงกับพื้นเสียงโครมคราม

นี่คือเส้นทางที่นายพรานใช้ บนพื้นยังมีใบไม้ที่ถูกเช็ดถูจำนวนมากและลื่นเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่เขาล้มก็ลื่นไถลลงไปตามทางจากภูเขาโดยไม่มีช่วงเวลาใดๆ ให้หยุดพักเลย

ขณะที่กำลังตื่นตระหนกนั้นก็ลืมที่จะตะโกนด้วยซ้ำ ทำได้เพียงเอื้อมมือไปคว้าลำต้นและใบไม้ที่อยู่รอบๆ

คนในโรงเตี๊ยมได้ยินเสียงผิดปกติ คว้าคันธนูส่องไปทิศทางนั้นทันที

ครั้นทุกคนเห็นความเร็วระดับนี้ที่กำลังเข้ามาหาพวกเขาเพียงชั่วขณะ ในใจไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ร้ายประเภทใด จึงยิงธนูไปทางภูเขาฉับพลัน ทันใดนั้นลูกศรหลายสิบลูกก็ตกลงบนภูเขา

เคราะห์ดีที่ขอทานผู้นั้นลื่นไหลลงมาอย่างรวดเร็ว จึงไม่โดนธนูยิง

จนในท้ายที่สุด ขอทานที่เนื้อตัวเปื้อนเลือดก็กลิ้งออกมาจากพุ่มไม้ หัวหน้าขบวนรถจึงรีบตะโกนให้หยุด “อย่าเปลืองลูกธนู เขาเป็นคน!”

ทุกคนต่างถอนหายใจโล่งอก กลับไปนั่งกินๆ ดื่มๆ ที่เดิม ไม่มีใครใส่ใจขอทานที่หายใจรวยรินผู้นั้น

หัวหน้าขบวนรถกัดเนื้อไปไม่กี่คำ ชายตามองไปยังขอทานที่นอนอยู่บนพื้นด้วยความเหนื่อยหน่าย

ครั้นมองดูแล้วเขาก็หยุดชะงัก แม้คนที่นอนอยู่บนพื้นเนื้อตัวมอมแมม ทว่าเห็นได้ชัดว่าเขาใส่เสื้อผ้าของบัณฑิต

เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง วางเนื้อในมือลง ลุกขึ้นเดินไปหา “ขอทาน” ครั้นเข้าไปใกล้ก็ยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบนตัวเขาเป็นเสื้อผ้าชั้นดี จึงยื่นมือออกไปปัดผมที่ยุ่งเหยิงและสกปรกของเขาออก

ผมถูกปัดออกก็เผยให้เห็นใบหน้าที่ซูบตอบเล็กน้อย หนวดเคราที่ขากรรไกรราวกับหญ้ารกชัฏที่ยุ่งเหยิงไร้ทิศทาง ทว่านี่ไม่เป็นอุปสรรคต่อหัวหน้าผู้มากด้วยประสบการณ์ในการสังเกตรูปลักษณ์ ดูจากเค้าโครงแล้ว ผู้นี้คือเด็กหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลามากคนหนึ่ง

ส่วนอื่นนั้นยังไม่สามารถระบุได้ในขณะนี้

อาจเป็นเพราะทัศคติที่ว่ามีสหายมากก็ย่อมมีลู่ทางมาก เหล่าพ่อค้าจึงไม่เคยลังเลที่จะช่วยเหลือเหล่าบัณฑิต บ่อยครั้งที่ความสามารถและคุณธรรมของเหล่าบัณฑิตเป็นตัวกำหนดราคาที่พวกเขายินยอมจ่าย

หัวหน้าสำรวจร่างกายของ “ขอทาน” ไม่พบการบาดเจ็บของกระดูก เพียงแต่สองมือของเขามีเลือดออกจากการถูกต้นไม้ใบหญ้าบาด

หัวหน้าเหลือบตาขึ้นมองจุดที่เขาหกล้ม พบว่ามีเลือดสีแดงสดตลอดทาง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเส้นเลือดใหญ่มีการฉีกขาด มิฉะนั้นคงไม่เสียเลือดมากเพียงนี้

“เด็กๆ! พาเขาไปหาท่านหมอ!” หัวหน้ากล่าวเสียงสูง

“ขอรับ!” ชายหนุ่มรูปร่างกำยำสี่คนในโรงเตี๊ยมแบกกระดานกว้างขนาดสองฉื่อเข้ามา ยก “ขอทาน” ขึ้นบนกระดานไม้ด้วยความว่องไว

ท่านหมอที่ติดตามขบวนรถมาเข้าไปพันแผลให้เขา

หัวหน้ากำลังจะนั่งลงที่หน้าโต๊ะ พลันได้ยินเสียวโหยหวนที่ทำให้ใต้หล้าสั่นสะเทือนมาจากทางนั้น เขาตกใจจนนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้ได้ยินเสียงคนข้างๆ หัวเราะเอ่ย “ผู้นี้ช่างน่าสนใจจริงๆ เมื่อครู่กลิ้งตกลงจากเขาไม่ยักร้อง ทว่าบัดนี้กลับร้องลั่น”

ท่านหมอเห็นบาดแผลมามาก ไม่ใส่ใจกับเสียงร้องน่าเวทนาของเขาเลยแม้แต่น้อย การเคลื่อนไหวยังคงเป็นไปอย่างหยาบโลน

ครั้นได้ยินเสียงโหยหวนดังสนั่น เหล่าชายหนุ่มที่กำลังดื่มสุราอยู่ทางนั้นก็หัวร่อเสียงดัง มีคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะตะโกนขึ้น “สหายท่านนี้ เหตุใดจึงร้องราวกับหญิงแก่คลอดลูกเช่นนั้นเล่า! แค่บาดแผลถลอกมิใช่หรือ! ถึงอย่างไรก็เป็นถึงลูกผู้ชาย กัดฟันทนหน่อยประไร!”

ทางนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ได้ยิน “ขอทาน” คนนั้นคำรามขึ้น “ข้าจะตะโกน ในหุบเขาลึกเช่นนี้ ไม่มีใครจำหน้าตาที่อัปลักษณ์ของข้าเช่นนี้ได้ดอก! ข้าตะโกนแล้วสบายใจไม่ได้รึ!”

“อย่าตะโกน อย่าตะโกน!” ท่านหมอกล่าวอย่างหมดความอดทน “เลือดของเจ้าพุ่งออกมาไม่หยุดแล้ว จะให้ข้าพันแผลเจ้าได้เยี่ยงไร!”

“ฮ่าๆ น่าสนใจ” หัวหน้าหัวเราะ โบกมือส่งสัญญาณให้คนอื่นนั่งลง

ต่อมาผู้นั้นก็มิได้ร้องตะโกนอีกแล้ว

เนื่องด้วยเป็นฤดูร้อน สภาพแวดล้อมที่นี่จึงร้อนชื้นเล็กน้อย จำต้องดูแลบาดแผลอย่างระมัดระวังมิฉะนั้นอาจจะอักเสบได้ง่าย ราวๆ หนึ่งชั่วยามครึ่งต่อมาท่านหมอก็พันแผลให้เขาเสร็จสิ้น

ขณะที่ “ขอทาน” ถูกหามตัวเข้ามาในโรงเตี๊ยมใบหน้าก็ซีดขาวแล้ว

“ท่านมาจากที่ใด จะไปที่ใด?” หัวหน้านำน้ำข้าวข้างคืนยื่นให้เขา หลุบตาลงเห็นมือที่สั่นเทาไม่หยุดของเขาจึงยื่นชามมาจรดปาก

“ขอทาน” ยื่นศีรษะดื่มอย่างรวดเร็ว หายใจหอบอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ข้ามาจากรัฐเว่ย์ กำลังจะไปรัฐฉิน”

หัวหน้าเข้าใจว่า “เว่ย์” หมายถึง “เว่ย” รู้สึกประหลาดใจ หรือว่าท่านนี้จะเป็นซ่งหวยจินที่ผู้คนกล่าวขาน? หากถูกรัฐเว่ยไล่ล่าใยจึงเดินเส้นทางเล็กนี้เล่า? อีกทั้งยังสะบักสะบอมเช่นนี้?

โดยทั่วไปแล้วข่าวสารเดินทางได้ช้ามาก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเดินทางอยู่ในหุบเขาเป็นเวลากว่าครึ่งเดือน ไม่รู้เลยว่าซ่งชูอีถึงรัฐฉินนานแล้ว

“ที่นี่ที่ไหน?” “ขอทาน” คนนั้นเอ่ยถาม

ครั้นหัวหน้ามีความคิดเช่นนี้จึงพูดจาด้วยความเกรงใจกว่าเดิม “ที่นี่คือชายแดนระหว่างรัฐฉู่ ฉินและปาสามรัฐ หากท่านจะเข้ารัฐฉิน เดินทางจากที่นี่ไปยังทิศเหนืออีกหกถึงเจ็ดลี้ก็ถึงรัฐฉินแล้ว ทว่าต้องผ่านเทือกเขาสูงใหญ่แห่งรัฐฉิน หลังจากเข้ารัฐฉินแล้วยังต้องไปตามเส้นทางภูเขา ท่านไปเพียงลำพังนั้นยากมาก!”

“เฮ้อ!” เขาถอนหายใจอย่างแรง เดิมทีตั้งใจจะไปทางด่านกู่ ใครจะไปรู้ว่าจะหลงทาง!

“ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่ากระไร?” หัวหน้าอดไม่ได้ที่จะถาม

“อ่อ ข้าน้อยจีเหมียน นามรองอู้เม่ย ขอบคุณพี่ชายที่ช่วยชีวิต!” สองมือของจีเหมียนได้รับบาดเจ็บ ทำได้เพียงประสานมืออย่างง่ายๆ

หัวหน้ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่เขามิใช่ซ่งชูอี ทว่าเมื่อได้ยินว่าจีเหมียนแซ่จีแล้ว ก็มิได้ผิดหวังเสียทีเดียว

จีเป็นแซ่สูงส่ง แม้นบัดนี้ราชวงศ์โจวจะเป็นเพียงเครื่องตกแต่งก็ตาม แซ่จีในใต้หล้าก็มีมากมาย ทว่าต่อให้ชนชั้นสูงตกต่ำเพียงใดก็ยังมีเลือดแห่งชนชั้นสูงไหลเวียนอยู่ในตัว นับย้อนขึ้นไปสามชั่วอายุคนก็ยังนับว่าเป็นตระกูลที่โดดเด่นโดยพื้นฐาน

“ท่านจะไปรับราชการที่รัฐฉินหรือ?” หัวหน้านั่งลงบนก้อนหินราบเรียบ เอ่ยว่า “รัฐฉินมิได้แสวงหาผู้มีความสามารถอีกต่อไปแล้ว! เพราะว่าซางยาง จวินองค์ใหม่แห่งรัฐฉินเกลียดชังผู้คนในหกรัฐแห่งซานตง ไม่ว่าบัณฑิตกี่คนที่เข้าไปต่างถูกปฏิเสธ”

ความขมขื่นแผ่ซ่านอยู่ในปากของจีเหมียน เขามิได้มาที่นี่เพื่อตามหาซ่งชูอี เขาศึกษาสำนักนิติธรรม การปฏิรูปกฎหมายในแต่ละรัฐเพิ่งจะปิดฉากลง ไม่สามารถรับกฎหมายใหม่ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ ฉะนั้นหลังจากที่เขาพบทางตันหลายต่อหลายครั้งก็พำนักอยู่ในรัฐเว่ย์ กินอิ่มแล้วก็เดินหมากลิ่วป๋อทั้งวันทั้งคืน

อย่างไรก็ดีเมื่อเขาเห็นซ่งชูอีช่วยจี๋อวี่คราวก่อน ความตกใจของจีเหมียนนั้นอยู่เหนือคำบรรยาย เขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถยอมรับชีวิตที่อยู่ไปวันๆ ได้อีกแล้ว