บทที่ 142 คราวนี้ยิ่งขี้เหร่กว่าเดิม

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

หลังจากซ่งชูอีจากไป จีเหมียนก็ไปแสวงหาโอกาสตามรัฐต่างๆ คิดไม่ถึงว่าจะเจอทางตันเมื่อไปถึงรัฐฉู่เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าฉู่อ๋องโดนผู้ใดเป่าหูจึงได้เกลียดสำนักนิติธรรมเป็นพิเศษ ผลสุดท้ายเขาเพียงรายงานตัวตน ยังไม่ทันได้เข้าเฝ้าฉู่อ๋องก็เกือบถูกตัดศีรษะเสียแล้ว

จีเหมียนเดาว่าคงเป็นเพราะตอนที่อู๋ฉี่ปฏิรูปกฎหมายและไปทำให้เหล่าขุนนางไม่พอใจเข้า

เรื่องนี้จะกล่าวโทษว่าพวกเขาทำเกินไปมิได้ ตอนที่อู๋ฉี่เปลี่ยนกฎหมายและแก้ไขอำนาจทางการเมืองนั้นรุนแรงกว่าซางยางนัก

จนกระทั่งปีนั้นที่ฉู่เต้าอ๋องสวรรคต เหล่าตระกูลแห่งรัฐฉู่พร้อมใจกันต่อสู้กลับและสังหารเขาต่อหน้าหีบศพของฉู่อ๋อง ด้วยบุคลิกที่โหดเหี้ยมของอู๋ฉี่ ครั้นเผชิญหน้ากับห่าลูกศร เขารู้ว่าเขาไม่สามารถพ้นจากภัยพิบัตินี้ได้ จึงละทิ้งความคิดที่จะหลบหนี ปีนขึ้นไปบนร่างของฉู่เต้าอ๋อง เสียบลูกธนูเข้าไปในร่างของฉู่เต้าอ๋องโดยไร้ความลังเลพร้อมคำรามเสียงดัง “เหล่าตระกูลก่อโกลาหล ทำลายร่างของท่านอ๋องผู้ล่วงลับ! เท่ากับประหารเก้าชั่วโคตร”

ด้วยลูกธนูและเสียงคำรามนี้ ส่งผลให้กลุ่มคนที่เข้าร่วมการต่อต้านของเหล่าตระกูลถูกกวาดล้าง หลังจากกลุ่มคนที่โชคดีมีชีวิตรอดผ่านการเปลี่ยนชื่อและซ่อนเร้นตัวตนมาหลายชั่วอายุคน ประกอบกับความอ่อนแอของฉู่อ๋องในปัจจุบัน พวกเขาจึงค่อยๆ หวนคืนสู่เวทีการเมืองแห่งรัฐฉู่อีกครั้ง ความแค้นใหญ่หลวงครานี้จะไม่ให้คิดบัญชีกับสำนักนิติธรรมได้เยี่ยงไร?

จีเหมียนเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง ทว่าคิดไม่ถึงว่าหลังจากผ่านไปหลายปี คนเหล่านี้กลับมีฐานที่มั่นในรัฐฉู่อีกครั้ง อีกทั้งยังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว โชคดีที่เขาวิ่งได้ไว มิฉะนั้นก็คงจะจบชีวิตไปแล้ว!

หัวหน้าเห็นจีเหมียนหรี่ตาลง นึกว่าเขาเสียเลือดมากเกินไปทำให้สมองไม่สดชื่น ฉะนั้นจึงมิได้รบกวนเขาอีก

“หากขายสิ้นค้าเหล่านี้ไปยังรัฐปาได้พวกข้าก็จะได้พักผ่อนปีครึ่งเสียที แล้วกลับบ้านให้เมียคลอดลูกได้อีกสองสามคน! ฮ่าๆ!”

จีเหมียนนั่งพิงอยู่ที่ต้นไม้ฟังชายหนุ่มในขบวนรถข้างๆ คุยกันอย่างเงียบๆ

“ได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐปาและรัฐสู่ไม่สู้ดีนัก ไม่แน่ว่ากลับไปครานี้อาจสู้รบกันก็ได้” ชายหนุ่มอีกคนกล่าวขึ้น

ชายหนุ่มที่หัวเราะอย่างสำราญใจเมื่อครู่ลดเสียงต่ำลงเล็กน้อย ทว่ายังคงเจือปนรอยยิ้มในน้ำเสียง “พวกเราก็มิได้มีอันตรายใด เพียงแต่หากสู้รบกันครานี้ พวกเราจะเข้าออกลำบาก ครั้นกลับถึงบ้านแล้วเมียไม่ไปมีลูกกับคนอื่นก็นับว่าดีแล้ว!”

รัฐปามีชื่อเสียงในด้านอาวุธสัมฤทธิ์และนักรบผู้กล้าหาญที่เก่งกาจในการสู้รบ อาวุธสัมฤทธิ์ของพวกเขานั้นยอดเยี่ยม วัฒนธรรมของรัฐปาเคยรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยชุนชิว มันค่อนข้างอิ่มตัวและสมบูรณ์แบบ

จีเหมียนหวั่นไหว หลายปีมานี้เขามักจะทุ่มเทความสนใจไปที่หกรัฐแห่งซานตงและรัฐฉิน ไม่เคยพิจารณารัฐปาหรือรัฐสู่อะไรเทือกนี้เลย บัดนี้ครั้นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ดูเหมือนว่าจะสามารถพยายามดำเนินการปฏิรูปในรัฐปาได้?

อีกทั้งเขาก็ไม่ต้องการไปหาซ่งชูอีในสภาพที่สะบักสะบอมเช่นนี้

เมื่อได้ยินคนเหล่านี้กล่าวว่ารัฐปาและรัฐสู่กำลังจะต่อสู้กัน เกรงว่าคงไม่อาจปฏิรูปกฎหมายได้ในช่วงนี้ จีเหมียนใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ตัดสินใจที่จะไปดูสถานการณ์ในรัฐปาก่อน หากเหมาะสม เขาก็จะถือโอกาสทำความคุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของรัฐปาเพื่อให้การปฏิรูปเป็นไปอย่างราบรื่น หากไม่เหมาะสม ก็รอให้สงครามสงบลงแล้วจึงจะออกจากรัฐปา แล้วค่อยไปแสวงหาโอกาสในหกรัฐแห่งซานตงต่อไป

พระอาทิตย์ยามสายัณห์สาดส่องทะลุกิ่งไม้และใบไม้หนาทึบ มันส่องแสงกระจัดกระจายอยู่บนเนื้อตัวมอมแมมของ

จีเหมียน แม้นไม่งดงามทว่าอ่อนโยนและสงบนิ่ง

เสียนหยาง

ซ่งชูอีกับเจียนหอบสมุดไผ่กองใหญ่เข้าลานของตัวอย่างด้วยความยากลำบาก กองสมุดไผ่นั้นสูงเกินไป มันสูงเสียจนนางทำได้เพียงระวังมิให้มันร่วงหล่น ในขณะเดียวกันก็ต้องระวังการก้าวเดิน ไม่สามารถระวังอย่างอื่นได้เลย

ขาข้างหนึ่งของนางเพิ่งจะก้าวพ้นประตู ก็มีสองมือมารับสมุดไผ่ไป

“พี่ใหญ่…” ผู้ที่สามารถทำเช่นนี้ได้ เดิมทีซ่งชูอีนึกว่าเป็นชูหลี่จี๋ ทว่าทันทีที่เงยหน้า กลับมองเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยที่นำภัยพิบัติมาสู่บ้านเมืองและประชาชน! อดมิได้ที่จะอ้าปากค้าง

บางแห่งในหัวใจของซ่งชูอีรู้สึกเจ็บปวด ทันใดนั้นเองก็ลืมพูดจาและลืมที่จะดีใจ

เจ้าอี่โหลวขมวดคิ้ว “เดิมทีก็ขี้เหร่อยู่แล้ว คราวนี้ยิ่งขี้เหร่กว่าเดิม!”

เพิ่งจะสิ้นวาจา ไป๋เริ่นก็พุ่งมาจากลานบ้านราวกับลูกศรสีเงิน ซ่งชูอีล้มลงไปกับพื้นโดยมิทันตั้งตัว

วิงเวียนอยู่สองสามลมหายใจ ซ่งชูอีคำราม “เจ้าสัตว์ร้าย! เจ้าคิดจะฆ่าเจ้านายงั้นรึ!”

ไป๋เริ่นอ้าปากเลียใบหน้าของซ่งชูอีจนชุ่มฉ่ำ เธอดึงหูของมันเพื่อดึงใบหน้าของหมาป่ากะตือรือร้นตัวนี้ออกไป หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วเช็ดๆ หน้าด้วยความรังเกียจ

“เหตุใดเจ้าจึงกลับมาเร็วเยี่ยงนี้?” ซ่งชูอีลุกขึ้นปัดเศษดินบนตัวออก สอดมือเข้าไว้ในแขนเสื้อพร้อมหัวเราะเอ่ย “ไม่ใช่ว่าถูกไล่ออกจากสำนักดอกกระมัง?”

“เจ้าต่างหากที่ถูกไล่ออกจากสำนัก! มองข้าในแง่ดีหน่อยไม่ได้รึ!?” เจ้าอี่โหลวกล่าวอย่างหัวเสีย

หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาก็กล่าวต่อ “อาจารย์บอกว่าจะต้องกลับสำนักม่อราวๆ หนึ่งเดือนจึงจะกลับมา ได้แต่สั่งให้ข้าฝึกดาบให้ดี”

ทั้งสองคนเดินเข้าไปในบ้านจากเฉลียงยาว แล้วเข้าไปในหออักษร

เนื่องจากภายในบ้านล้วนเรียงรายไปด้วยเอกสารสำคัญ ฉะนั้นเวลาที่ไม่มีใครอยู่ก็จะไม่สามารถจุดตะเกียงได้ ในเวลานี้ท้องฟ้าก็มืดแล้ว หากยื่นมือออกมาก็มองไม่เห็นห้านิ้วด้วยซ้ำ

ซ่งชูอีพึมพำว่าไม่รู้ว่าวางหินไฟไว้ที่ใด ยื่นมือคลำๆ บนโต๊ะตัวเตี้ยอยู่ครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้ว่าจะต้องเรียกสาวใช้มาจุดตะเกียง

นางยืดตัวตรง กำลังจะตะโกนเรียก ก็มีเสียงดังขึ้นจากข้างหลังกะทันหัน ลมพัดผ่านด้านหลังไป จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงต่อสู้กันด้วยอาวุธ

ซ่งชูอีสามารถปรับสายตาได้แล้วหลังจากเข้าห้องมาสักพัก และมองเห็นสถานการณ์ภายในห้องเลือนลางจากการอาศัยแสงที่มีอยู่เพียงน้อยนิด ซ่งชูอีเห็นว่ามีสองคนกำลังต่อสู้กัน คนหนึ่งคือเจ้าอี่โหลว อีกคนกลับเป็นชูหลี่จี๋

“หยุด หยุด เป็นคนกันเอง!” ซ่งชูอีรีบตะโกนขึ้น

ฝั่งที่กำลังต่อสู้กันหยุดชะงัก ทว่าต่างคนก็ต่างรู้สึกได้พบกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อแล้ว จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้กำลังพุ่งพล่าน ไม่มีใครอยากยอมแพ้

ซ่งชูอีกำลังง่วนกับการเรียกสาวใช้ พลางจุดคบไฟพลางหันไปมอง พบว่าทั้งสองคนยังคงต่อสู้กับตุบๆ ตับๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดทันที “ที่นี่เป็นหออักษรสำคัญ! มารดาพวกเจ้าทั้งสองคนออกไปสู้กันข้างนอกเสีย!”

เสียงคำรามนี้ดังก้องไปทั่วเมืองเสียนหยางที่เงียบงัน

แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้เห็นผลทันตา ชูหลี่จี๋และเจ้าอี่โหลวหยุดทันที สาวใช้เข้ามาจุดไฟด้วยเนื้อตัวสั่นเทา

แสงสีเหลืองสลัวส่องสว่างทั่วทุกมุมห้อง ชูหลี่จี๋และเจ้าอี่โหลวก็ต่างเห็นหน้าค่าตาของกันและกัน ในขณะเดียวกันก็เห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของซ่งชูอี

“พี่ใหญ่ อี่โหลวยังเล็ก พี่ก็ไม่เด็กแล้ว” ซ่งชูอีรู้สึกเสียดายลักษณะที่มั่นคงของชูหลี่จี๋อย่างแท้จริงที่กระทำเรื่องไร้เดียงสาเช่นนี้ออกมาได้

ชูหลี่จี๋เหลือบมองรูปร่างที่แข็งแกร่งกำยำของเจ้าอี่โหลว ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาเล็กตรงไหน

“แค่ก! พี่ใหญ่มาดึกเพียงนี้ มีเรื่องด่วนกระไรหรือ?” ซ่งชูอีพูดพลางหมุนตัวรับสมุดไผ่จากมือของเจ้าอี่โหลว

“เพราะมีธุระ ข้ารอเจ้าทั้งบ่ายแล้ว” ชูหลี่จี๋ยิ้มเอ่ย

เงียบงันไปสองลมหายใจ

“เจ้าอี่โหลว เจ้านี่มันไอ้เด็กเฮงซวย!” ซ่งชูอีมองดูหนังสือที่กระจัดกระจายเต็มพื้น เสียงคำรามดังก้องเสียนหยางอีกครั้ง “ปู่เจ้าเอ๊ย! เอกสารเหล่านี้เป็นของสำคัญทั้งสิ้น ข้าจัดออกมาได้อย่างยากลำบาก หากมีส่วนเสียหาย เป็นข้าที่ต้องรับโทษถึงตายหรือว่าพวกเจ้าที่ต้องรับโทษถึงตายกัน!”

เจ้าอี่โหลวชำเลืองมอง “ของพวกนี้เสียหายมิได้เสียหน่อย”