“ท่านลุงเจ็ด ภายในตระกูลฉินคงจะมียอดฝีมือขอบเขตนภมายาจำนวนมากมายใช่หรือไม่ ?”
หลังจากเข้ามาภายในถ้ำอสรพิษ ฉินอวี้โม่ที่กำลังเดินอยู่ข้าง ๆ ฉินอีเฟิงก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“นั่นก็ใช่ แม้ว่าช่วงหลายปีมานี้ตระกูลฉินของเราจะตกต่ำลงไปบ้าง ทว่าก็ยังมียอดฝีมือขอบเขตนภมายาอยู่หลายคน มีอะไรหรือ ? เหตุใดจู่ ๆ เจ้าถึงอยากรู้เรื่องนี้ล่ะ ?”
ฉินอีเฟิงมองฉินอวี้โม่ด้วยความประหลาดใจ สาวน้อยอายุเพียงเท่านี้จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภมายาแล้วรึ ? หรือหลานสาวผู้นี้กำลังจะสร้างความตกตะลึงให้กับเขาอีกครั้งกัน ?
“ข้าอยากจะทราบเงื่อนไขในการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภมายาว่ามีอะไรบ้าง ?”
ฉินอวี้โม่ถามเสียงใสด้วยรอยยิ้มหวาน และถึงแม้ฉินอีเฟิงจะคาดเดาไว้บ้างแล้ว ทว่าเขาก็ยังคงตกใจกับคำถามที่ได้ฟังอยู่ดี
“เรื่องนี้มันก็ขึ้นอยู่กับบุคคล”
ฉินอีเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “บางคนก็ขอเพียงสั่งสมพลังมายาได้ถึงระดับที่เพียงพอก็จะกระตุ้นให้ร่างกายทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภมายาได้เลย แน่นอนว่ากรณีเช่นนี้มีไม่มาก และโดยส่วนมากแล้วนั้นจะต้องอาศัยการกระตุ้นจากภายนอกช่วย”
“เหมือนกับกรณีของข้าเลย ในตอนที่ข้าสู้กับอสูรมายาอย่างหนักหน่วง ตอนนั้นข้าตกอยู่ในวิกฤตและจู่ ๆ ข้าก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตนภมายาได้เอง”
ระหว่างที่ฉินอวี้โม่และฉินอีเฟิงกำลังสนทนากันอย่างจริงจัง โอวหยางชิงเฟิงที่ฟังอยู่นานแล้วก็ยกตัวอย่างเรื่องราวในตอนที่เขาทะลวงผ่านเข้าสู่ขอบเขตนภมายาขึ้นมา ฉินอีเฟิงไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจกับเหตุการณ์การก้าวข้ามระดับพลังของคุณชายรองตระกูลโอวหยาง ตรงกันข้ามเขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว
หลังจากฟังสิ่งที่ฉินอีเฟิงกล่าว ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้า นางพอจะเข้าใจบ้างแล้ว ดูเหมือนว่าการจะข้ามขอบเขตนภมายาจะเป็นไปไม่ได้โดยง่าย
“เสี่ยวอวี่โม่ไม่ต้องกังวลหรือรีบร้อนไป สิบในสิบส่วนไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนมีปัญหาติดขัดที่ขอบเขตนี้ทั้งนั้น ขอบเขตนภมายาจึงเป็นปราการด่านสำคัญ หากว่าผู้ใดก้าวเข้าไปได้ คนผู้นั้นก็จะนับเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง จอมยุทธ์มายารัตนะและนภมายามีช่องว่างที่ห่างกันอย่างมหาศาลจนเจ้าเองก็คิดไม่ถึงเชียวล่ะ”
ฉินอีเฟิงมองดรุณีน้อยผู้เยาว์วัยฉินอวี้โม่แล้วถอนหายใจ ในฐานะผู้อาวุโสแห่งตระกูล เขาเห็นว่านางรีบร้อนเกินไปในเรื่องนี้และกลัวว่าสาวน้อยจะเอาแต่กลัดกลุ้มกังวลใจหรือกดดันตัวเองจนเกินพอดีจึงเตือนนางขึ้นมา
“ท่านลุงเจ็ดไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าค่ะ ข้ารู้ตัวเองดี”
เมื่อเห็นใบหน้าเป็นกังวลของฉินอีเฟิง ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มพลางส่ายศีรษะ นางรู้และเข้าใจในสภาวะของร่างกายตัวเองดีที่สุด และนางจะไม่ทำสิ่งใดที่เป็นผลเสียต่อการพัฒนาของตัวเองเป็นแน่
“เจ้าคอยตามข้าไว้ ราชาอสรพิษเก้าเศียรไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกับอสูรเทวะราชันธรรมดา ๆ ได้เลย แม้ว่าระดับของมันจะยังอยู่ในขั้นดาราที่เจ็ด แต่มันก็ทรงพลังไม่ด้อยกว่าอสูรเทวะราชันเก้าดาราเลย ที่สำคัญ มันขึ้นชื่อว่าดุร้ายอย่างมาก”
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะอยู่ขอบเขตมายารัตนะเก้าดารา แต่ฉินอีเฟิงก็ยังกล่าวขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง เพราะอสูรมายาที่พวกเขากำลังจะเจอแข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าอสูรมายาระดับเทวะราชันเก้าดารา และความแข็งแกร่งระดับอสูรเทวะราชันเก้าดารานั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉินอวี้โม่จะรับมือได้เลย ในเมื่อสตรีน้อยผู้นี้เรียกเขาว่า ‘ลุงเจ็ด’ เขาก็ควรจะรับผิดชอบดูแลนางให้ดีในฐานะลุงคนหนึ่ง
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เมื่อได้ยินวาจาห่วงใยของฉินอีเฟิง นางก็รู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก
ราชาอสรพิษเก้าเศียรเป็นอสูรมายาขนาดยักษ์ ถ้ำอสรพิษที่เป็นที่อยู่อาศัยของมันนี้จึงมีความยาวมาก ตั้งแต่ปากถ้ำ พวกเขาทั้งหมดใช้เวลาเดินไปมากกว่าหนึ่งก้านธูปแล้วกว่าจะมาถึงยังจุดนี้ และในตอนนั้นเองที่เหล่านักล่าไข่ประหลาดสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันทรงพลังบางอย่าง ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ยังได้ยินเสียงดังครืนแปลกประหลาดดังออกมาจากส่วนลึกของถ้ำ ดูเหมือนว่าราชาอสรพิษเก้าเศียรจะยังคงนอนหลับฝันหวานอยู่*…* และเสียงดังครืนนั้นก็เป็นเสียงกรนของเจ้างูยักษ์ !
“ทุกคนโปรดใช้ความระมัดระวังด้วย !”
หลินซวงผู้อาวุโสแห่งสมาคมทหารรับจ้างกล่าวเตือนทุกคนให้ระมัดระวัง
“นายหญิง ราชาอสรพิษเก้าเศียรตัวนี้มีพลังที่น่าสะพรึงกลัวมาก ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันเลย โปรดระวังตัวด้วย”
ม่อเสียกล่าวเตือนฉินอวี้โม่
ก่อนหน้านี้เจ้าหมีในร่างมนุษย์ยังไม่ยินดีที่จะเป็นอสูรมายาของฉินอวี้โม่เท่าใดนัก แต่หลังจากติดตามฉินอวี้โม่มาระยะหนึ่ง เจ้าหมีดำก็ได้ทำความรู้จักนางมากขึ้น ยิ่งกว่านั้นมันยังเข้าใจแล้วว่าทั้งอสูรมายาและมนุษย์ต่างอยู่ตามวิถีทางของตัวเอง หลังจากที่มันได้เห็นว่าอสูรมายาก็โจมตีและทำร้ายมนุษย์เช่นกัน มันก็เปิดใจกว้างและเข้าใจสิ่งที่นายหญิงของมันพูดได้ในที่สุด
แม้ว่ามนุษย์และอสูรมายาจะไม่ใช่ศัตรูตามธรรมชาติ แต่ก็ไม่เคยอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ มันเหมือนกับบ่วงที่ไม่มีสิ้นสุด อสูรมายามักจะทำร้ายมนุษย์ทุกครั้งเมื่อมันเห็นมนุษย์ และเพื่อที่จะเอาชีวิตรอด มนุษย์เองก็ฆ่าอสูรมายาเช่นกัน ในทางกลับกันมนุษย์บางคนก็ล่าอสูรมายา บ้างก็ต้องการผลผลิตจากอสูรมายา บ้างก็ต้องการเอามันมาใช้งาน วัฏจักรการเข่นฆ่านี้หมุนเวียนไปไม่มีอย่างที่สิ้นสุด
ฉินอวี้โม่เป็นนายที่ดีสำหรับเหล่าอสูรมายา นางไม่เคยทำรุนแรงกับพวกมันและนางปฏิบัติกับพวกมันทุกตัวคล้ายเป็นคู่หูมากกว่าผู้รับใช้ ซึ่งนั่นจึงทำให้ม่อเสียให้การยอมรับในตัวฉินอวี้โม่ได้ในที่สุด
ฉินอวี้โม่พยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของม่อเสีย นางเองก็รู้สึกได้ว่ากลิ่นอายของมันทรงพลังและแข็งแกร่งยิ่งกว่าอสูรมายาทุกตัวที่นางเคยพบเจอมา แต่แน่นอนว่านั่นไม่นับซิว
เมื่อพวกเขาเดินลึกเข้ามาอีกไม่นานนัก พื้นที่ถ้ำคับแคบก็แปรเปลี่ยนไป เวลานี้โถงถ้ำขนาดใหญ่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขา
โถงถ้ำนี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ณ จุดกึ่งกลางของโถงถ้ำแห่งนี้มีอสูรมายารูปร่างคล้ายงูขนาดยักษ์นอนขดอยู่ เจ้างูยักษ์นี้มีลำตัวขนาดใหญ่และยาวมาก และเมื่อสังเกตดูจะเห็นว่ามันมีเก้าหัว อสูรมายาตัวนี้แผ่กลิ่นอายแห่งอสูรเทวะราชันอันทรงพลังและแสนเข้มข้นออกมา มันคือ–ราชาอสรพิษเก้าเศียร ในตอนนี้ราชางูยักษ์กำลังนอนหลับอยู่ และพื้นที่ด้านหลังของมันมีไข่ใบหนึ่งหนึ่งถูกวางเอาไว้บนแท่นหินอย่างเรียบร้อย ไข่ใบนั้นกำลังเรืองแสงออกมาอย่างต่อเนื่อง และมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ทั่วทั้งโถงถ้ำนี้สว่างไสว
ราชาอสรพิษเก้าเศียรนั้นมีส่วนศีรษะขนาดใหญ่และร่างกายขนาดมหึมา เมื่อมันนอนขดตัวอยู่เช่นนี้จึงทำให้มันดูราวกับเป็นภูเขาลูกหนึ่งเลยทีเดียว อสูรมายาสายพันธุ์อสรพิษตัวนี้ดูทรงพลังเป็นอย่างมาก แม้เพียงแค่กลิ่นอายของมันก็ชวนให้หวาดหวั่นจนไม่อาจขยับตัวได้ แน่นอนว่าอสูรเทวะราชันธรรมดาๆ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันเลย ระดับความแข็งแกร่งของราชางูยักษ์ตัวนี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอสูรเทวะราชันเก้าดารา ทว่าแม้ว่ามันจะมีนิสัยดุร้ายเจ้าอารมณ์แต่มันก็ไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว ราชางูยักษ์นั้นรักความสงบ แต่ถ้าหากมีใครขวัญกล้ากวนใจมัน ไม่ว่าจะอสูรหรือมนุษย์ก็ไม่เคยมีผู้รอดชีวิต !
“นั่นไง ไข่ประหลาด”
คนผู้หนึ่งในกลุ่มนักล่าไข่สังเกตเห็นไข่ที่วางอยู่บนแท่นหินด้านหลังราชาอสรพิษเก้าเศียร ในทันทีที่ได้เห็นเขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องอ้าปากค้าง คนผู้นี้คือคนของเหล่ยเจิ้นเทียนแห่งตระกูลเหล่ย
ฉินอีเฟิงและโอวหยางหมิงเองก็เห็นไข่แล้วเช่นกัน สองผู้อาวุโสแห่งสองตระกูลใหญ่จ้องไข่เรืองแสงด้วยแววตาเป็นประกายราวกับจะมีเปลวเพลิงปรากฏขึ้นในดวงตาของทั้งสอง
“ทุกท่าน ในเมื่อพวกเราพบไข่นั่นแล้ว ข้าว่าตอนนี้ก็คงจะถึงเวลาที่เราต้องคิดเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์ภายหลังจากที่เราร่วมมือกันชิงไข่นั่นมา”
ชวี่เซียวผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรในนครไป๋อวิ๋นผู้ซึ่งปิดปากเงียบมาตลอดเริ่มเปิดประเด็นขึ้น แม้ปากจะกล่าวถึงไข่ประหลาด ทว่าดวงตาของเขากลับไม่ได้มองดูไข่ใบที่ว่านั้นเลย แววตาของบุรุษวัยกลางคนแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรทอประกายระยิบระยับ เขากำลังจ้องมองราชาอสรพิษเก้าเศียรที่กำลังนอนหลับอยู่
“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าเองก็ไม่ได้สนใจไข่ใบนั้น เหตุใดทุกท่านไม่ลองช่วยข้าสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรนั่นเล่า หากสยบอสูรเทวะราชันน่ากลัวตัวนี้ลงได้ ก็จะได้ไข่ประหลาดใบนั้นมาอย่างง่ายดาย ข้าได้ราชาอสรพิษแล้ว เรื่องไข่ข้าจะไม่ยุ่ง มันจะเป็นของพวกท่านในทันที”
ชวี่เซียวกล่าวถึงความต้องการของตัวเองออกไป จริงอยู่ที่ไข่ใบนั้นมันน่าจะเป็นไข่ของอสูรเทวะราชันที่ยอดเยี่ยม แต่ทว่าเมื่อฟักออกมาแล้ว มันก็ยังเป็นเพียงลูกอสูรมายาที่ยังต้องได้รับการฝึกฝน ในอีกทางหนึ่งถ้าหากเขาสามารถสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรที่อยู่ตรงหน้าได้ นั่นเท่ากับว่าเขาจะได้อสูรเทวะราชันเจ็ดดาราตัวเป็น ๆ มาช่วยในการต่อสู้ ไม่ต้องเสียทั้งเวลาและทรัพยากร เช่นนั้นแล้วทางเลือกอย่างหลังจะไม่คุ้มค่ามากกว่าหรอกหรือ
ผู้ใดต้องการไข่ก็เอาไป แต่เขาขอหยิบคว้าเอาสิ่งที่คุ้มค่ามากที่สุดก่อนก็แล้วกัน
“ฮ่า ๆ ความคิดของผู้อาวุโสชวี่ถือว่าไม่เลว แต่ข้าอยากทราบว่าหากเราช่วยท่านในเรื่องนี้ ท่านจะเสนอสิ่งใดเพื่อตอบแทนพวกเรา ?”
เหล่ยเจิ้นเทียนยิ้ม ชวี่เซียวเป็นผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์ หากช่วยเขาสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรครั้งนี้ประโยชน์ที่จะได้รับจากอีกฝ่ายก็คงจะไม่ใช่น้อยๆ แน่ ยิ่งกว่านั้นยังได้ผูกสายสัมพันธ์กับสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรอีกด้วย
“ข้าสัญญาว่า ขอเพียงพวกท่านช่วยข้าสยบอสรพิษเก้าเศียร ข้าจะช่วยทุกตระกูลสยบอสูรมายาตระกูลละสองตัว แน่นอนว่าพวกท่านสามารถพาอสูรมายาที่ต้องการให้ข้าสยบและมาหาข้าได้ทุกเวลา”
ชวี่เซียวครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเปิดปากยื่นข้อเสนอ
การช่วยเหลือเหล่าตระกูลใหญ่ในการสยบอสูรมายาสองตัวไม่ใช่เรื่องใหญ่โตแม้แต่น้อย ขอเพียงแค่เขาสามารถครอบครองอสรพิษเก้าเศียรได้ แม้ว่าประธานสมาคมจะทราบเรื่องนี้ เขาก็คงจะกล่าวชมเชยชวี่เซียวผู้นี้อยู่ดี
ชวี่เซียวคิดว่าไม่มีเหตุผลที่ยอดฝีมือทั้งหลายจะปฏิเสธขอเสนอของเขา ผู้อาวุโสแห่งสมาคมสัตว์อสูรจึงกล้าออกปากยื่นข้อเสนอเช่นนี้ออกไป
โอวหยางหมิงและฉินอีเฟิงหันมามองหน้ากัน ในตอนที่เขากำลังจะกล่าวบางอย่าง ฉินอวี้โม่ก็หันไปพูดกับฉินอีเฟิง
“ท่านลุงเจ็ด อย่าไปให้สัญญากับเขา”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ ฉินอีเฟิงก็หยุดวาจาไว้ ผู้อาวุโสแห่งตระกูลฉินไม่ได้ไถ่ถามหาเหตุผลกับผู้เป็นหลานสาว เขาเชื่อว่าหากนางออกปากเองเช่นนี้ก็ย่อมแสดงว่านางจะต้องมีเหตุผลที่ดี แท้จริงแล้ว เดิมทีเขาเองก็ต้องการจะกล่าวคำคัดค้านคนจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรอยู่แล้ว และในเมื่อฉินอวี้โม่ออกปากไปแล้วเช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดอีก
“ท่านลุงสามก็อย่าได้รับข้อเสนอนั่น”
โอวหยางชิงเฟิงรู้ดีว่าฉินอวี้โม่เป็นผู้ฝึกสัตว์อสูร เขาจึงขอให้ลุงสามของเขาทำตามคำแนะนำของฉินอวี้โม่อย่างไม่ลังเล
โอวหยางหมิงยิ้มรับ เดิมทีเขาก็ไม่ใช่ผู้ที่จะหลงกับผลประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้อยู่แล้ว อีกทั้งข้อเสนอของอีกฝ่ายก็ยังไม่จูงใจเขามากพอ ยิ่งหลานชายของเขาเองก็ยังกล่าวคัดค้านเช่นนี้แล้วต่อให้อีกฝ่ายเสนอว่าจะสยบอสูรให้อีกสิบตัวเขาก็ไม่สนใจ
ต้องบอกเลยว่าความคิดของโอวหยางหมิงและฉินอีเฟิงนั้นคล้ายคลึงกัน อีกทั้งพวกเขาก็เชื่อมั่นในตัวหลานของตนเองจึงไม่คิดถามสิ่งใดให้มากความ
“ฮ่า ๆ ผู้อาวุโสชวี่เซียว ข้อเสนอของท่านก็ไม่เลว ให้อสูรพวกเราถึงสองตัวเพื่อแลกกับหนึ่งตัว แต่น่าเสียดายที่ตระกูลเหล่ยของเราคงจะรับน้ำใจของท่านไม่ได้”
เหล่ยเจิ้นเทียนยิ้มและเอ่ยปฏิเสธเป็นคนแรก
เหล่ยเจิ้นเทียนไม่ได้โง่ หลังจากได้ฟังข้อเสนอเอาแต่ได้ของชวี่เซียวแล้วเขาก็เบะปากอย่างนึกรังเกียจ การที่สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรหรือชวี่เซียวผู้นั้นได้อสูรมายาระดับเทวะราชันเจ็ดดาราไปครอบครองจะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นมาไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์ของขุมกำลังต่าง ๆ ภายในนครไป๋อวิ๋นก็มีโครงสร้างที่ซับซ้อน เขาไม่ต้องการให้สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรแข็งแกร่งขึ้นมาจนเกินหน้าเกินตา นั่นจะไม่เป็นผลดีต่อตระกูลเหล่ยที่มีความทะเยอทะยานสูง
เมื่อได้ยินคำพูดของเหล่ยเจิ้นเทียน ชวี่เซียวก็ขมวดคิ้ว
“ผู้อาวุโสเหล่ยต้องคิดให้ดี ๆ หากช่วยข้าสยบมัน ตระกูลของท่านจะได้อสูรมายาถึงสองตัว แต่หากไม่ยอมช่วยข้าท่านจะไม่ได้อะไรเลย ถ้าผู้นำตระกูลรู้ถึงการตัดสินใจครั้งนี้ของท่าน ข้าคิดว่าเขาคงจะไม่พอใจเป็นแน่ !”
ความหมายของชวี่เซียวนั้นชัดเจนมาก ถ้าอีกฝ่ายไม่ช่วยเขาสยบอสรพิษเก้าเศียร ไม่เพียงแต่จะไม่ได้อสูรมายาสองตัวเท่านั้น แต่จะส่งผลต่อความสัมพันธ์กับสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรด้วย ในตอนนี้เขาได้แต่พูดอ้อม ๆ เป็นการข่มขู่อีกฝ่าย หากว่าวันนี้เหล่ยเจิ้นเทียนปฏิเสธเขาก็จะนำเรื่องนี้ไปรายงานประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรให้พิจารณาความสัมพันธ์กับตระกูลเหล่ยใหม่อีกครั้ง
เหล่ยเจิ้นเทียนขมวดคิ้วแน่น ตัวเขาเองเกลียดการข่มขู่เป็นที่สุด เดิมทีหากฝ่ายนั้นเพิ่มข้อเสนอที่มากกว่านี้เขาก็อาจจะยอมรับพิจารณาก็ได้
ทว่าเมื่อได้ฟังวาจาข่มขู่ของชวี่เซียวแล้ว ผู้อาวุโสอายุน้อยแห่งตระกูลเหล่ยก็สลัดความคิดนั้นทิ้งทันที วันนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมให้ความร่วมมือกับคนจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเป็นแน่
“ถ้าเช่นนั้นก็เชิญผู้อาวุโสชวี่นำเรื่องนี้กลับไปรายงานผู้นำตระกูลเหล่ยได้เลย ข้าเชื่อว่าท่านผู้นำตระกูลคงจะไม่สนใจข้อเสนอแย่ ๆ เช่นนี้แน่ !”
หลังจากนั้นเหล่ยเจิ้นเทียนก็ไม่สนใจชวี่เซียวอีก เขาหันไปจ้องมองไข่ที่เป็นเป้าหมายแทน
เดิมทีฉินอีเฟิงและโอวหยางหลิงก็ไม่คิดที่จะตอบตกลงกับชวี่เซียวอยู่แล้ว ในตอนนี้ยิ่งมาได้ยินวาจาข่มขู่ของอีกฝ่าย พวกเขาก็ยิ่งไม่อยากจะให้ความสำคัญกับคนผู้นี้ เพียงแค่ไม่ช่วยสยบอสรพิษเก้าเศียรก็กล่าววาจาข่มขู่ในทันที ชวี่เซียวผู้นี้ช่างไร้ยางอายเสียจริง
“ผู้อาวุโสฉิน ผู้อาวุโสโอวหยาง ผู้อาวุโสหลิน พวกท่านล่ะจะว่าอย่างไร ?”
ชวี่เซียวกวาดสายตามองตัวแทนตระกูลใหญ่อีกสามคนที่เหลือ แม้ว่าตระกูลเหล่ยจะไม่ช่วย แต่ขอเพียงอีกสามตระกูลยอมตกลงช่วย เขาก็เชื่อว่าเขายังสามารถสยบอสรพิษเก้าเศียรและเอามันมาครอบครองได้
“ฮ่า ๆ ต้องขออภัย สมาคมทหารรับจ้างของเรามาที่นี่ก็เพื่อไข่เท่านั้น เรื่องอื่นเราไม่สนใจ”
หลินซวงกล่าวปฏิเสธออกไปตรง ๆ อย่างไม่เห็นแก่หน้าอีกฝ่าย ตัวเขาเองก็ไม่พอใจชวี่เซียว ดูจากการกระทำเมื่อครู่แล้ว เขาคิดว่าคนผู้นี้อวดดีเกินไป
ฉินอีเฟิงและโอวหยางหมิงมองหน้ากัน ก่อนที่โอวหยางหมิงจะกล่าวขึ้น “เนื่องจากทางตระกูลเหล่ยและสมาคมทหารรับจ้างไม่เข้าร่วม ข้าและน้องฉิน พวกเราเองก็ขอปฏิเสธ !”