หนึ่งร้อยหกสิบสาม
อันตรายกำลังมา
เสวี่ยเจียเยว่นึกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับมาแล้ว เวลาเดียวกันก็สงสัยว่าเหตุใดเขาจึงกลับมาเร็วนัก
ในขณะที่กำลังจะเปิดประตูใหญ่บนลานเรือนนั้น เสวี่ยเจียเยว่ยังหวาดระแวง จึงหรี่ตามองด้านนอกผ่านช่องเล็กๆ บนประตู พบว่าคนที่ยืนอยู่นั้นไม่ใช่เสวี่ยหยวนจิ้ง แต่เป็นเซี่ยเทียนเฉิงที่เธอเคยพบในวัดต้าเซียงกั๋ว ข้างกายเขามีบ่าวรับใช้ติดตามมาด้วยหนึ่งคน และคนที่เคาะประตูอยู่ก็คือบ่าวรับใช้
สาเหตุที่เสวี่ยเจียเยว่ไม่ออกไปนอกเรือน ก็เพื่อหลบเลี่ยงเซี่ยเทียนเฉิง แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นฝ่ายมาหาเธอถึงหน้าประตูเช่นนี้ เขารู้ที่อยู่ของเธอได้อย่างไร
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก เธอจะกล้าเปิดประตูได้เยี่ยงไร และแน่นอนว่าไม่กล้าส่งเสียงออกไป เพียงหวังว่าเซี่ยเทียนเฉิงจะคิดว่าไม่มีใครอยู่ในเรือน จากนั้นก็จะเดินจากไป
ทว่าเซี่ยเทียนเฉิงไม่มีทีท่าว่าจะจากไปแม้แต่น้อย เมื่อเห็นว่าบ่าวรับใช้เคาะประตูอยู่พักใหญ่ก็ไม่มีใครมาเปิดสักคน เขาจึงเอ่ยถามด้วยความหงุดหงิด
“เจ้าแน่ใจหรือว่าแม่นางผู้นั้นอยู่ที่นี่”
เมื่อบ่าวรับใช้ได้ยินเช่นนั้นก็ก้มหน้าตอบกลับอย่างนอบน้อม “เรียนคุณชาย ข้าน้อยกล้ารับประกัน แม่นางผู้นั้นอยู่ที่นี่จริงๆ ขอรับ”
เซี่ยเทียนเฉิงฟังจบก็โบกมือสั่งบ่าวรับใช้ “ไม่ต้องเคาะแล้ว เจ้าจงข้ามกำแพงเข้าไปดูข้างใน”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นรับคำ ก่อนจะยกอิฐหลายก้อนมาวางซ้อนกันอยู่ข้างกำแพง จากนั้นก็เหยียบอิฐเหล่านั้นแล้วปีนข้ามกำแพงไป
กำแพงรอบเรือนไม่สูงนัก บ่าวรับใช้ใช้วิชาตัวเบาสองส่วน และด้วยอิฐหลายก้อนที่วางซ้อนกันทำให้เขาปีนข้ามกำแพงไปได้อย่างง่ายดาย เมื่อบ่าวรับใช้ปีนข้ามกำแพงได้แล้ว ก็พบว่าเสวี่ยเจียเยว่ยืนอยู่หลังประตู เขาจึงหันไปตะโกนบอกเซี่ยเทียนเฉิงทันที
“คุณชายใหญ่ แม่นางผู้นั้นยืนอยู่หลังประตูขอรับ”
เซี่ยเทียนเฉิงได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจราวกับมีกรงเล็บแมวข่วนเบาๆ ก็ไม่ปาน จึงตะโกนบอกบ่าวรับใช้
“เจ้าถูก้นอยู่บนกำแพงหรืออย่างไร ยังไม่รีบลงไปเปิดประตูให้ข้าเข้าไปอีก”
บ่าวรับใช้รับคำและกำลังจะกระโดดลงจากกำแพง
ด้วยความตื่นตระหนก เสวี่ยเจียเยว่ไม่สามารถหาสิ่งของใดเป็นอาวุธได้ในตอนนี้ ในที่สุดก็เห็นก้อนหินขนาดเล็กหลายก้อน ซึ่งเธอวางเอาไว้ในกระถางดอกไม้ข้างกำแพง จึงหยิบขึ้นมาแล้วขว้างใส่บ่าวรับใช้ที่อยู่บนกำแพง
หินก้อนหนึ่งกระแทกเข้าที่หน้าผากของบ่าวรับใช้ผู้นั้น เขาสบถออกมาอย่างเจ็บปวด แต่ด้วยการเร่งเร้าของเซี่ยเทียนเฉิง เขาจึงไม่สนใจความเจ็บปวดบนหน้าผากของตน แล้วรีบลงจากกำแพงไปเปิดประตู
เรี่ยวแรงของเสวี่ยเจียเยว่จะสู้เขาได้อย่างไร ไม่ว่าเธอจะขัดขวางเช่นไร บ่าวรับใช้ผู้นั้นก็ยังถอดกลอนไม้ที่ใช้ขัดประตูได้อยู่ดี และเชิญเซี่ยเทียนเฉิงเข้ามา
เสวี่ยเจียเยว่รีบวิ่งไปบนลานเรือน ขณะกำลังจะปิดประตูกลางนั้น บ่าวรับใช้ของเซี่ยเทียนเฉิงก็รีบตามมาผลักประตูได้เสียก่อน
พละกำลังของเขาแข็งแกร่งนัก เสวี่ยเจียเยว่จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากตื่นตระหนก ขาทั้งสองข้างยืนได้ไม่มั่นคง ในที่สุดก็ล้มลงไปนั่งกับพื้นอย่างอับจนหนทาง
ขณะนั้นเซี่ยเทียนเฉิงเดินเข้ามาพบเธอพอดี
วันนั้นเขาเห็นใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ไกลๆ แม้จะเห็นไม่ชัดเจนยังปรารถนาในตัวแม่นางผู้นี้จนแทบไร้สติ ยามนี้ได้เห็นใบหน้าอันงดงามในระยะใกล้ เขาก็ตะลึงไปทันที
หลังจากได้สติกลับมาชายหนุ่มก็ยกมือฟาดไปที่ใบหน้าของบ่าวรับใช้จนเกิดเสียงดัง “เจ้าคนสะเพร่า กล้าผลักหญิงงามของข้าล้มได้อย่างไร”
พอตบหน้าบ่าวรับใช้เสร็จแล้ว เขาก็หันกลับมาคิดจะเอื้อมมือไปประคองเสวี่ยเจียเยว่ “แม่นาง เจ็บตรงไหนหรือไม่”
เมื่อเข้ามาใกล้เขาก็ยิ่งเห็นขนตาหนาและงอนยาว จมูกโด่งเรียวงาม ริมฝีปากสีแดงสด ดวงตาสีดำขลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ทำให้แม่นางผู้นี้ดูน่าสงสารมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งเซี่ยเทียนเฉิงถึงกับอ่อนยวบไปทั่วร่าง
แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะรู้สึกตื่นตระหนก แต่เธอก็ยังพยายามสงบสติอารมณ์ และรีบหาทางรับมืออย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ไม่เพียงเซี่ยเทียนเฉิงเท่านั้น ยังมีบ่าวรับใช้อีกคนด้วย ประตูใหญ่ด้านนอกถูกพวกเขาปิดเอาไว้แล้ว หากเธอสู้จนสุดกำลังคงรับมือบุรุษร่างใหญ่สองคนนี้ไม่ได้ หากต้องการจะหนีก็คงไม่รอด ทางเดียวคือถ่วงเวลาไว้เท่านั้น รอให้เสวี่ยหยวนจิ้งกลับมา
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่จึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ ทว่าใบหน้าของเธอยังคงซีดเผือด
เธอไม่ได้จับมือของเซี่ยเทียนเฉิง แต่ยืนขึ้นด้วยตัวเอง หลังจากลุกขึ้นได้ก็โค้งคำนับเขา และพยายามเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงบ
“คุณชาย ท่านมาหาใครหรือเจ้าคะ”
“ข้าก็มาหาหญิงงามอย่างเจ้าอย่างไรเล่า”
เซี่ยเทียนเฉิงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม พลางเอื้อมมือไปหมายจะบีบคางของอีกฝ่าย แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็เอี้ยวตัวหลบทันที
ความขยะแขยงแทบจะทะลักออกมาจากหัวใจ แต่เธอไม่สามารถแสดงความรู้สึกนั้นออกมาได้ เสวี่ยเจียเยว่ได้แต่ทำทีไม่เข้าใจ
“คุณชาย ท่านมาหาผิดคนแล้วกระมัง ข้าน้อยไม่รู้จักท่าน”
“ข้าจะมาหาผิดคนได้อย่างไร” เซี่ยเทียนเฉิงยิ้มหน้าทะเล้นพลางเดินเข้าไปอีกสองก้าว “ตั้งแต่วันที่ข้าได้เห็นใบหน้าของเจ้าจากระยะไกลในวัดต้าเซียงกั๋วครานั้น ข้าก็ยากจะลืมเจ้าได้ทั้งกลางวันและกลางคืน หากไม่ใช่เพราะบิดาข้าสั่งกักบริเวณ ข้าคงส่งคนออกตามหาเจ้าจนทั่วเมืองหลวงเสียตั้งแต่ตอนนั้น แต่โชคดีที่ฮูหยินแสนดีของข้าผู้นั้นไม่เพียงบอกชื่อแซ่ของเจ้า นางยังบอกที่อยู่ของเจ้าแก่ข้าด้วย กระทั่งยังขอร้องบิดาแทนข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะออกมาพบเจ้าได้อย่างไร”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เขาก็เหลือบมองเสวี่ยเจียเยว่แล้วยกยิ้มอีกครั้ง “เสวี่ยเจียเยว่ เจียเยว่ เป็นชื่อที่ดีจริงๆ”
ขณะที่กล่าวเขาเอื้อมมือไปหมายจะสัมผัสใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่
เสวี่ยเจียเยว่ไม่มีเวลาใส่ใจว่าฮูหยินที่เขาพูดถึงเมื่อครู่นี้คือใคร เธอได้แต่ถอยหลังอย่างรวดเร็ว ไม่ยอมให้มือของเขามาแตะต้องตัวเธอได้ พลางเร่งคิดหาวิธีตอบโต้กลับไปบ้าง
เซี่ยเทียนเฉิงไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไปแล้ว ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่อย่างชัดเจน เขาก็รู้สึกชาไปทั่วร่าง อยากจะจูบแม่นางผู้นี้เสียให้ได้ เมื่อเสวี่ยเจียเยว่หลบเลี่ยงเช่นนี้ เขาเอื้อมมือไปครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังไม่ได้สัมผัสตัวอีกฝ่าย ความรำคาญใจจึงเกิดขึ้นอย่างอดไม่ได้
เขาเดินเข้าใกล้แล้วเอื้อมมือไปจับไหล่เสวี่ยเจียเยว่ พลางเอ่ยเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม “อย่าขยับ ให้ข้าจูบเสียดีๆ”
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังก้มหน้าหมายจะจูบ กลับถูกเสวี่ยเจียเยว่ผลักเขาออกไปอย่างแรง ถ้าไม่มีบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังรับเอาไว้ เขาคงล้มไปกองกับพื้นแล้ว
แต่เซี่ยเทียนเฉิงก็ไม่คิดโกรธ กลับตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น
เขามองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยรอยยิ้ม “แม่นาง เจ้าช่างอวดดีจริงๆ แต่ไม่เป็นไร อวดดีกว่านี้แล้วจะเป็นอย่างไร ฮูหยินคนนั้นของข้า นางก็ตบข้าตอนที่อยู่ในวัดต้าเซียงกั๋ว จะแสร้งทำตัวสูงส่งไปเพื่ออะไร ตอนนี้ข้าอยากจะทำอะไรนางก็ได้ หากข้าไม่พอใจ แค่แสดงสีหน้า นางก็ยอมรับอย่างว่าง่ายแล้ว”
ทันทีที่เขาเอ่ยจบ เสวี่ยเจียเยว่ก็เข้าใจแล้วว่า ฮูหยินของเซี่ยเทียนเฉิงผู้นั้นคือแม่นางที่ถูกเขาล่วงเกินในวัดต้าเซียงกั๋วครานั้น
เธอกับแม่นางผู้นั้นมิได้มีความแค้นอันใดต่อกัน เหตุใดนางถึงต้องช่วยเซี่ยเทียนเฉิงทำเรื่องต่ำช้าด้วย แต่เมื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องที่นางใช้วิธีการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเพื่อให้ตนพ้นภัย ก็รู้ทันทีว่านางเป็นคนเห็นแก่ตัวมาก
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าตอนนี้การแสร้งทักทายเซี่ยเทียนเฉิงเพื่อถ่วงเวลานั้นใช้ไม่ได้ผลแล้ว บุรุษผู้นี้ใจร้อนเกินไป
เมื่อเห็นว่าเซี่ยเทียนเฉิงใกล้เข้ามาทุกขณะ ความใจเย็นที่เสวี่ยเจียเยว่แสร้งแสดงออกมาเมื่อครู่ก็หายไปทันที เธอเอื้อมมือไปหยิบไม้กวาดที่ใช้กวาดลานเรือนซึ่งพิงอยู่ข้างกำแพงใกล้ๆ ตัวขึ้นมาด้วยความกระวนกระวาย และ ใช้ตีเซี่ยเทียนเฉิงที่กำลังใกล้เข้ามาอย่างแรง
ไม้กวาดนี้ใช้กิ่งไผ่มัดรวมกัน โดยปกติแล้วหากเผลอไปสัมผัสเข้าก็จะมีรอยประทับอยู่บนมือ และตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่ใช้มันตีไปที่ใบหน้าของเซี่ยเทียนเฉิงอย่างแรง จึงทำให้เขาเจ็บปวดและแสบร้อนขึ้นมาทันที เมื่อเขายกมือขึ้นจับใบหน้า ปลายนิ้วก็สัมผัสโดนของเหลวอาบบาดแผล
บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ ร้องออกมาด้วยความตกใจ “คุณชายใหญ่ หน้าท่านมีเลือดออกขอรับ”
เซี่ยเทียนเฉิงได้รับการเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม ไหนเลยจะเคยถูกใครข่วนหน้า เสวี่ยเจียเยว่ถึงขั้นใช้ไม้กวาดตีหน้าเขาเช่นนี้ ยามนี้ความอดทนทั้งหมดที่เขามีจึงหายไป
เขาหันไปด่าบ่าวรับใช้ที่ยืนนิ่งเฉยอยู่ข้างๆ “เจ้าเป็นศพไปแล้วหรืออย่างไร เห็นคนอื่นใช้ไม้กวาดตีใบหน้าของข้า แต่เจ้ายืนนิ่งอยู่ได้ ยังไม่รีบไปแย่งไม้กวาดและจับตัวนางเอาไว้อีก”
บ่าวรับใช้รับคำ ก่อนจะเดินไปแย่งไม้กวาดในมือของเสวี่ยเจียเยว่
เสวี่ยเจียเยว่มีเรี่ยวแรงน้อยนิด ต่อให้โบกไม้กวาดในมือเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาเข้ามาใกล้อย่างไร สุดท้ายก็ยังถูกบ่าวรับใช้ของเซี่ยเทียนเฉิงจับตัวไว้ได้อยู่ดี
ไม่เพียงไม้กวาดในมือถูกแย่งไปเท่านั้น แต่แขนทั้งสองข้างยังถูกเขาจับไพล่หลังด้วย
ใบหน้าของเซี่ยเทียนเฉิงเป็นแผลมีเลือดสีแดงอาบทำให้เขาแสบและเจ็บปวดจึงเดือดดาลเป็นอย่างมาก มือข้างหนึ่งถือผ้าเช็ดหน้ากดแผลเอาไว้ อีกข้างตบไปที่ใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่จนหันไปอีกด้าน และสัมผัสได้ถึงรสชาติคาวของเลือดในปาก
เซี่ยเทียนเฉิงยังคงเอ่ยสั่งบ่าวรับใช้ไม่หยุด “ถอดเสื้อผ้าของนางออกเดี๋ยวนี้”
เขาพูดกับเสวี่ยเจียเยว่ “ข้าอุตส่าห์พูดดีๆ กับเจ้า เจ้าก็ยังอวดดีกับข้า ทั้งยังใช้ไม้กวาดทำร้ายข้าอีก หากหน้าข้ามีรอยแผลเป็น ต่อให้เจ้างดงามปานใด ข้าก็ไม่มีวันปล่อยไปแน่ ดีไม่ดี พอถึงตอนนั้นข้าอาจจะโยนเจ้าให้พวกคนหยาบช้าที่เลี้ยงม้าในเรือนข้าทำกับเจ้าอย่างไรก็ได้ ดูซิว่าเจ้ายังจะเสแสร้งอะไรต่อหน้าข้าได้อีก”
หลังกล่าวจบเขาก็ตะคอกใส่บ่าวรับใช้อีก “ถอดเสื้อผ้าของนางออกให้หมด อีกประเดี๋ยวเจ้าเองก็ไม่ต้องไปไหน ยืนดูข้าอยู่ข้างๆ รอให้ข้าชื่นชมนางเสร็จแล้ว เจ้าก็เข้ามาต่อได้เลย ข้าอยากรู้นักว่านางจะยังทำท่าทางใสซื่อเหมือนหยกบริสุทธิ์ได้อีกหรือไม่”
บ่าวรับใช้รับคำสั่ง ไม่สนใจการขัดขืนของเสวี่ยเจียเยว่ เพียงเอื้อมมือไปฉีกทึ้งเสื้อผ้าของหญิงสาวออก
เสวี่ยเจียเยว่ทั้งหวาดกลัวและเกลียดชังพวกเขาเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าเซี่ยเทียนเฉิงกำลังถอดกางเกง เธอก็ไม่รอช้า เตะเข้าที่หว่างขาของเขาอย่างรุนแรง
ตอนนี้ความคิดเดียวในหัวเธอคือ ต่อให้ต้องตาย เธอก็จะไม่ยอมให้เซี่ยเทียนเฉิงทำสำเร็จเป็นอันขาด
เซี่ยเทียนเฉิงไม่ทันได้ระวังเสวี่ยเจียเยว่ที่มือทั้งสองข้างถูกบ่าวรับใช้ของเขาจับไพล่หลังจึงเจ็บปวดไม่น้อย ทั้งที่ปลาอยู่บนเขียงแล้วแท้ๆ แต่กลับถูกปลาตัวนั้นเตะได้ ทันทีที่ถูกเตะ เสียงร้องโหยหวนอันน่าเวทนาก็ดังขึ้น จากนั้นเขาก็ใช้มือสองข้างกุมตรงนั้นแล้วงอตัวลงไป
เมื่อบ่าวรับใช้เห็นเช่นนั้นก็กระวนกระวาย ไม่สนใจเสวี่ยเจียเยว่อีกต่อไป เขาโยนสตรีร่างบอบบางไปข้างๆ แล้วรีบไปหาเซี่ยเทียนเฉิง พร้อมเอ่ยถามอย่างห่วงใย
“คุณชายใหญ่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
เสวี่ยเจียเยว่เห็นว่าไม่มีใครควบคุมตัวเธอแล้ว จึงรีบวิ่งไปที่ประตู
แต่เซี่ยเทียนเฉิงที่กำลังร้องโหยหวนเห็นเข้าพอดี จึงรีบคำรามออกไป “จับตัวนางกลับมาให้ข้า กล้าเตะตรงนี้ของข้า วันนี้ข้าจะให้นางได้เห็นดี”
บ่าวรับใช้ส่งเสียงตอบรับ แล้วรีบวิ่งตามเสวี่ยเจียเยว่ไปทันที
แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะวิ่งหนีอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดชีวิต แต่บ่าวรับใช้ของเซี่ยเทียนเฉิงเคยเรียนวรยุทธ์มาก่อน พริบตาเดียวเขาก็ตามเธอทัน ทำให้เสวี่ยเจียเยว่ตกใจจนร่างสั่นเทา
หรือว่าวันนี้เธอจะโชคร้ายหนีไปไม่พ้น เห็นได้ชัดว่าชีวิตแสนสงบสุขของเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งเพิ่งเริ่มต้นขึ้น แต่เพราะเหตุใด…
น้ำตาไหลพรากอาบแก้มของเสวี่ยเจียเยว่ขณะที่เธอวิ่งไปข้างหน้าไม่หยุด
แม้ความหวังจะริบหรี่ แต่เธอจะไม่ยอมแพ้