บทที่ 164 ความโกรธของพี่จิ้ง

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยหกสิบสี่

ความโกรธของพี่จิ้ง

บ่าวรับใช้ของเซี่ยเทียนเฉิงวิ่งไล่ตามเสวี่ยเจียเยว่พลางตะโกนเรียกเสียงดัง เมื่อเห็นว่ามือของเขากำลังจะจับตัวเธอได้ เธอพลันรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาทันที

ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงอู้อี้ดังขึ้น และเสียงบางอย่างหล่นกระแทกพื้นอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันมือของบ่าวรับใช้ที่ยามนี้จับแขนเธอได้แล้วกลับคลายออก

แม้ว่าจะตกใจ แต่เสวี่ยเจียเยว่ไม่คิดจะหยุดวิ่งหรือหันกลับไปมอง เธอเพียงวิ่งไปข้างหน้า เมื่อดึงกลอนไม้ขัดประตูใหญ่ออกแล้ว เธอก็วิ่งออกไปด้านนอกพลางเอี้ยวคอมองไปด้านหลัง และเห็นบ่าวรับใช้ของเซี่ยเทียนเฉิงนอนหมดสติอยู่ที่พื้น

เสวี่ยเจียเยว่ประหลาดใจมิใช่น้อย ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เธอหยุดฝีเท้าแต่ไม่ได้เดินกลับไปดู ในที่สุดก็ตัดสินใจจะวิ่งต่อไป

ตอนที่เธอกำลังจะวิ่งนั้นได้ยินเสียงถอดกลอนประตูใหญ่ของเรือนฝั่งตรงข้ามดังขึ้น หลังจากประตูเปิดออกแล้ว ตันหงอี้ก็เดินออกมาจากด้านใน

เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่ เขาก็เดินไปเอ่ยถาม “เมื่อครู่บ่าวรับใช้เฝ้าประตูเรือนของข้าได้ยินเสียงคนร้องตะโกนในเรือนเจ้า แม้ว่าข้าจะไม่อยากให้เสวี่ยหยวนจิ้งเข้าใจผิด กระนั้นก็ยังไม่สบายใจ จึงอยากจะมาดูเจ้าเสียหน่อย เจ้า…”

กล่าวยังไม่ทันจบดีนักชายหนุ่มพลันเห็นว่าพวงแก้มด้านซ้ายของเสวี่ยเจียเยว่บวมเป่ง มุมปากมีรอยช้ำ เสื้อผ้าก็ถูกฉีกขาดบางส่วน

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที และรีบเอ่ยถามเสียงต่ำ “ใครทำกับเจ้าเช่นนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งหรือ”

เสวี่ยเจียเยว่ส่ายหน้าทั้งที่น้ำตาไหลพราก ขณะที่เธอกำลังจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกดังมาจากตรอกแคบๆ

“เยว่เอ๋อร์”

เธอรู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร จึงรีบหันไปมอง ท่ามกลางความพร่ามัวเพราะม่านน้ำตา หญิงสาวเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งถือถุงข้าวสารเดินเข้ามา

เสวี่ยเจียเยว่ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว จึงวิ่งไปหาเขาอย่างรวดเร็ว

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นผมเผ้าของหญิงสาวกระเซอะกระเซิง แก้มข้างซ้ายบวมเป่ง เสื้อผ้าขาดวิ่น หัวใจเขาก็เต้นรัวอย่างรุนแรงในทันที ทั้งโกรธทั้งกระวนกระวาย เขาทิ้งถุงข้าวสารลงแล้วรีบวิ่งไปกอดเสวี่ยเจียเยว่ ก่อนจะถอดเสื้อคลุมของตนคลุมร่างของหญิงสาวเอาไว้

แม้ว่าเมื่อครู่นี้เสวี่ยเจียเยว่จะพยายามทำใจให้เข้มแข็ง แต่ยามนี้เมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของเสวี่ยหยวนจิ้ง เธอก็ไม่อาจอดกลั้นได้อีกแล้ว

เธอร้องไห้ทว่าเสียงนั้นไม่อาจลอดออกมาได้เมื่อซุกซบอยู่ในอ้อมกอดของเขา และสั่นเทาไปทั้งร่าง

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นหญิงสาวเป็นเช่นนี้ ก็รู้สึกราวกับมีมือที่มองไม่เห็นบีบหัวใจของเขาแน่น ทั้งเศร้าใจและเหมือนมีเปลวไฟกำลังลุกโชน อีกทั้งเลือดในกายยังเดือดพล่าน

พอเห็นตันหงอี้ยืนอยู่ไม่ไกล เขาก็อุ้มเสวี่ยเจียเยว่ขึ้นแล้วสาวเท้าไปหาอีกฝ่าย มองคุณชายเจ้าของเรือนฝั่งตรงข้ามด้วยแววตาเย็นชา เอ่ยถามเสียงเย็นราวกับใบมีดที่แช่อยู่ในหิมะ

“เจ้าทำเช่นนี้กับนางใช่หรือไม่”

ตันหงอี้เห็นเส้นเลือดปูดโปนอยู่บนหน้าผากของเสวี่ยหยวนจิ้ง ราวกับอีกไม่กี่ลมหายใจจะระเบิดออกมา หางตาของอีกฝ่ายแดงฉานเพราะความโกรธ ในใจตันหงอี้ไม่สงสัยเลยสักนิดว่าหากเขาพยักหน้า หรือกล่าวออกไปว่าใช่ เสวี่ยหยวนจิ้งจะสังหารเขาทันที

แต่ความจริงแล้วคนที่ทำร้ายเสวี่ยเจียเยว่ไม่ใช่เขา อีกทั้งตอนแรกเขายังสงสัยว่าเสวี่ยหยวนจิ้งทำเช่นนี้กับหญิงสาวหรือไม่ แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเพิ่งกลับมา ดังนั้นคนที่ลงมือทำจึงไม่ใช่เสวี่ยหยวนจิ้งอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นใครกันเล่าที่ทำเช่นนี้กับเสวี่ยเจียเยว่

ในใจของตันหงอี้เต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนเขาจะส่ายหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพลางเอ่ยตอบเสียงต่ำ “ไม่ใช่ข้า”

แม้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะไม่ชอบตันหงอี้ แต่เขาก็เชื่อเพราะรู้จักนิสัยของอีกฝ่าย คนที่ทำไม่มีทางเป็นคุณชายผู้นี้แน่ แต่เพราะเมื่อครู่นี้เขาเข้ามาในตรอกแล้วเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่กำลังยืนคุยกับตันหงอี้ และหญิงสาวก็มีสภาพเช่นนี้ ด้วยความเดือดดาลเขาจึงเอ่ยถามออกไป

เสวี่ยเจียเยว่กำชายเสื้อของเสวี่ยหยวนจิ้งเอาไว้แน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขาพลางเอ่ยด้วยเสียงปนสะอื้น

“ท่านพี่ ไม่ใช่เขาเจ้าค่ะ” เมื่อกล่าวจบเธอก็ชี้ไปที่เรือนของตน “เป็น… เป็นคนที่เราพบในวัดต้าเซียงกั๋วครานั้นเจ้าค่ะ”

บุตรชายของเซี่ยโส่วฝูน่ะหรือ เขาหาที่นี่พบได้อย่างไร

ดวงตาของเสวี่ยหยวนจิ้งหรี่เล็กลง จากนั้นก็อุ้มเสวี่ยเจียเยว่เดินเข้าไปในลานเรือน

เมื่อตันหงอี้เห็นเช่นนั้น จึงรีบเดินตามเข้าไปทันที

หลังจากเดินผ่านประตูลานเรือนเข้ามา พวกเขาเห็นคนที่แต่งชุดบ่าวรับใช้นอนหมดสติอยู่บนพื้น

สีหน้าของตันหงอี้เริ่มทะมึนลง เขาหันกลับไปปิดประตูทั้งสองบานและใช้กลอนไม้ขัดไว้ จากนั้นก็เดินตามเข้าไปในเรือนด้านใน

แม้ว่าเขากับเสวี่ยหยวนจิ้งและเสวี่ยเจียเยว่จะอยู่ในเรือนตรงข้ามกัน แต่เพราะกลัวว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะเข้าใจผิด ดังนั้นช่วงที่ผ่านมานี้ทั้งสองฝ่ายจึงไม่ได้ไปมาหาสู่กัน และเป็นครั้งแรกที่ตันหงอี้มาที่นี่

แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาดูการตกแต่งด้านใน เพราะเห็นบุรุษผู้หนึ่งนอนหมดสติอยู่ในเรือน

ชายผู้นั้นสวมชุดหรูหรา ที่ครอบผมทำมาจากทองแดง บนเอวยังมีจี้หยกขาวแขวนเอาไว้ ดูก็รู้ว่ามีค่ามาก ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ เตะเข้าที่หน้าอกของบุรุษผู้นั้นอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง น่าจะเป็นเสียงกระดูกหัก

บุรุษผู้นั้นฟื้นขึ้นมาพร้อมกับเสียงโอดครวญ ทั้งยังกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ เมื่อเขาเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งก็ใช้มือยันพื้นเพื่อพยุงตัวขึ้นพร้อมกับกล่าวออกมา “เจ้า…”

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่อยากจะพูดกับเขาแม้แต่คำเดียว และเตะเข้าที่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างรุนแรงอีกครั้ง

หลังจากได้ยินเสียงกระดูกหักดังขึ้นอีกหลายครั้ง คนที่เพิ่งถูกเสวี่ยหยวนจิ้งเตะจนฟื้นขึ้นมาเพราะความเจ็บปวดก็ทนไม่ไหวจึงสิ้นสติไปอีกครั้ง

ตันหงอี้ยืนตะลึงอยู่ข้างๆ แม้เขาจะรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนเย็นชา แต่ก็ไม่เคยเห็นความโหดเหี้ยมเช่นนี้มาก่อน เสวี่ยหยวนจิ้งไม่มีทางปล่อยคนบนพื้นไปเด็ดขาด ต่อให้คนผู้นั้นตายก็ถือว่าเป็นความเมตตาแล้ว

แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวไม่มีความเมตตาแม้แต่น้อย

เพราะเสวี่ยหยวนจิ้งกลัวว่าเสวี่ยเจียเยว่จะตกใจเมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา จึงพาหญิงสาวไปที่ห้องก่อน และปลอบโยนอีกเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับออกมา

ตันหงอี้ยืนคาดเดาฐานะของบุรุษที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น เมื่อเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับมาแล้ว เขาก็ชี้ไปยังบุรุษลึกลับแล้วเอ่ยถาม “เขาคือใคร”

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ตอบ แต่ถามกลับไป “ตอนที่เจ้าตีเขาจนสลบไปเมื่อครู่นี้ เหตุใดถึงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร”

ตันหงอี้มองอีกฝ่ายด้วยความงุนงงแล้วเอ่ยตอบทันที “ข้าไม่ได้ตีเขาจนสลบ หรือว่าคนที่ตีเขาจนสลบไม่ใช่เจ้า”

เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงงันทันที เขามองตันหงอี้ จากนั้นก็มองไปยังเซี่ยเทียนเฉิงที่นอนอยู่บนพื้น

เมื่อครู่นี้เขาอุ้มเสวี่ยเจียเยว่เข้าประตูลานเรือนมาด้วยความเดือดดาล พบคนที่แต่งชุดบ่าวรับใช้นอนหมดสติอยู่บนลานด้านนอก เมื่อเดินเข้ามาในเรือนก็พบบุรุษอีกคนนอนอยู่บนพื้น ทันทีที่รู้ว่าคนทั้งสองถูกผู้ที่มีวรยุทธ์ทุบเข้าที่ต้นคอจนหมดสติไป ความคิดเดียวในหัวเขาคือต้องเป็นฝีมือของตันหงอี้ แต่ตอนนี้ตันหงอี้กลับบอกว่าไม่ใช่ตัวเอง…

เสวี่ยหยวนจิ้งหมุนตัวเดินเข้าไปหาเสวี่ยเจียเยว่ที่อยู่ในห้องนอน แล้วสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้

พอได้ยินว่าเสวี่ยเจียเยว่ถูกเซี่ยเทียนเฉิงใช้กำลังบังคับ เขาก็กำมือทั้งสองข้างแน่น ดวงตาดำขลับคู่นั้นเต็มไปด้วยความโกรธที่ไม่อาจข่มกลั้นไว้ได้ เขาอยากจะฉีกเซี่ยเทียนเฉิงเป็นชิ้นๆ ทันที แต่เมื่อได้ยินว่าตอนที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังจะวิ่งออกไปจากประตูเรือน จู่ๆ ได้ยินเสียงโอดครวญของบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่าบ่าวรับใช้ผู้นั้นล้มลงกับพื้นไปแล้ว ด้วยความงุนงง เสวี่ยหยวนจิ้งจึงขมวดคิ้วเข้าหากัน

เมื่อไม่นานมานี้ ชายหนุ่มมักรู้สึกว่ามีคนเฝ้าดูเขากับเสวี่ยเจียเยว่ตลอดเวลา เขาแอบตรวจสอบอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติเลย จึงคิดว่าเป็นเพราะความหวาดระแวงของเขาเอง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ารอบๆ ตัวเขากับเสวี่ยเจียเยว่จะมีคนคอยเฝ้าดูอยู่ แต่อาจไม่ได้มาสอดแนมพวกเขา ทว่ามาปกป้องมากกว่า

หลังจากคิดไตร่ตรองดู ก็พบว่าในเมืองหลวงแห่งนี้เขากับเสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้จักคนมากนัก แต่คนที่สามารถหาคนมาคอยอยู่ข้างกายพวกเขาได้…

เสวี่ยหยวนจิ้งนึกถึงป้าโจวขึ้นมาทันที วันนั้นนางเรียกคนผู้หนึ่งเข้ามาหา และกำชับให้ทำตามคำสั่ง…

คนผู้นั้นคือใคร ไม่ต้องกล่าวก็รู้ได้อย่างชัดเจน

แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด แต่เสวี่ยหยวนจิ้งก็ยังเดือดดาลจนไม่อาจควบคุมจิตใจของตัวเองได้

เขาจะปล่อยให้เซี่ยเทียนเฉิงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้อีก

หลังจากเอ่ยปลอบใจเสวี่ยเจียเยว่ เขาก็สั่งห้ามหญิงสาวออกจากห้อง จากนั้นจึงเดินออกไปอีกครั้ง

ตันหงอี้ยืนขมวดคิ้วพลางคิดเรื่องบางอย่างอยู่ไม่ห่างจากบริเวณที่เซี่ยเทียนเฉิงนอนหมดสติ

เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเดินกลับมา เขาก็หันไปมองเพราะมีเรื่องมากมายที่อยากจะถาม แต่เห็นได้ชัดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่คิดอยากจะเอ่ยตอบเขา

“คนผู้นี้เป็นใครเจ้าอย่าถามจะดีกว่า หากเจ้ารู้ฐานะของเขาแล้ว มันจะไม่เป็นผลดีต่อเจ้า” เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าแค่อยากจะขอเจ้าเรื่องหนึ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เจ้าจงทำเป็นมองไม่เห็น และอย่าได้เอ่ยกับใครแม้แต่คำเดียว เจ้าทำได้หรือไม่”

ตันหงอี้รู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งแผ่ไอสังหารออกมาแล้ว แม้เขาจะรู้แล้วว่าเสวี่ยเจียเยว่ถูกคนผู้นั้นรังแก และในใจอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายไปเสีย แต่เมื่อเขาลองไตร่ตรองดูก็เอ่ยแนะนำเสวี่ยหยวนจิ้ง

“แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเขาคือใคร แต่ฐานะของเขาจะต้องร่ำรวยไม่น้อย ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง อยู่ใต้อำนาจของฮ่องเต้ มีกฎเข้มงวด หากเจ้าทำให้คนผู้นี้หายไป จะต้องมีคนมาพบเจ้าแน่ เมื่อถึงตอนนั้นเจ้ากับแม่นางเสวี่ยจะทำเช่นไร

“วันสอบต่อหน้าพระที่นั่ง ด้วยคะแนนสอบที่ผ่านมาของเจ้า หนึ่งในสามอันดับแรกอยู่ใกล้แค่เอื้อมอย่างแน่นอน หรือว่าเจ้าอยากจะทิ้งความก้าวหน้าในชีวิต แล้วพาแม่นางเสวี่ยหลบหนีตลอดไป พวกเจ้าจะต้องหลบหนีการจับกุมจากขุนนางไปทุกหนทุกแห่ง เจ้าอยากให้เป็นเช่นนั้นหรือ ตัวเจ้าเพียงลำพังนั้นยังไม่เท่าไร แต่แม่นางเสวี่ยจะมีชีวิตเช่นนั้นได้อย่างไร หรือว่าเจ้ามั่นใจมากพอว่าการหายไปของคนผู้นี้จะไม่มีใครรู้ว่ามันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้า”

เสวี่ยหยวนจิ้งมองเซี่ยเทียนเฉิงที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น แล้วแค่นเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็เงยหน้ามองตันหงอี้แล้วเอ่ยอย่างช้าๆ

“เจ้าอยากให้เขามีชีวิตต่อไปหรือ หากเขากลับไปแล้ว เขาจะปล่อยข้ากับเยว่เอ๋อร์ไปหรือไม่เล่า เกรงว่าเมื่อตอนนั้นมาถึงข้ากับเยว่เอ๋อร์คงต้องเผชิญหน้ากับการหลบหนีการไล่ล่าของขุนนางในราชสำนักไปตลอดชีวิต”