หนึ่งร้อยหกสิบห้า
ร่วมมือกันทำงาน
เมื่อครู่นี้เสวี่ยหยวนจิ้งใช้แรงเตะเซี่ยเทียนเฉิงไปถึงสิบส่วน ตอนนี้กระดูกตรงหน้าอกของอีกฝ่ายก็หักไปแล้ว อวัยวะภายในเสียหายอย่างหนัก แม้จะโชคดีที่ไม่ตาย แต่เกรงว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน หากปล่อยให้เซี่ยเทียนเฉิง กลับไป ก่อนตายเขาต้องบอกให้เซี่ยโส่วฝูรู้ว่าใครทำร้ายตนแน่นอน ด้วยความแค้นเพราะบุตรชายถูกสังหารคงอยู่ร่วมกันไม่ได้ เมื่อถึงตอนนั้นเซี่ยโส่วฝูจะไว้ชีวิตเขากับเสวี่ยเจียเยว่ได้อย่างไร
ไม่ว่าจะเดินไปทางใดตอนนี้ก็เท่ากับตายทั้งนั้น หากเป็นอย่างนี้แล้ว มิสู้จัดการเขาให้ตาย แล้วพวกเขาสองคนก็มีชีวิตรอดจะดีกว่า
คิดได้ดังนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งจึงชิงเอ่ยก่อนที่ตันหงอี้จะเกลี้ยกล่อมเขา “ถึงแม้ว่าเจ้ากับข้าจะมีเรื่องบาดหมางกัน แต่ข้าก็รู้ว่าเยว่เอ๋อร์มีความสำคัญในใจของเจ้า เจ้าทนเห็นคนที่กลั่นแกล้งรังแกนางมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ต่อให้เจ้าพยายามเกลี้ยกล่อมข้า ถึงอย่างไรข้าก็ไม่อาจอดทนได้ ส่วนเจ้า ข้ายังยืนยันคำเดิม เจ้าเดินกลับไปที่เรือนของเจ้าเสีย คิดเสียว่าวันนี้เจ้าไม่เห็นสิ่งใด เจ้าทำได้หรือไม่”
ตันหงอี้มองอีกฝ่ายโดยไม่กล่าวคำใด ขณะที่ยามนี้เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เหลือบมามองเขาสักนิด
ไม่นานนักตันหงอี้ก็เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “หากต้องรับโทษ ข้ายินดีจะแบกรับไปพร้อมกับเจ้า”
ดวงตาของเสวี่ยหยวนจิ้งวูบไหวทันที คิดไม่ถึงเลยว่าตันหงอี้จะกล่าวเช่นนี้ หากเป็นคนอื่นคงหันหลังจากไปนานแล้ว เพราะกลัวว่าตนจะเดือดร้อนไปด้วย
แต่ตันหงอี้…
“ไม่จำเป็น” เขาเอ่ยปาก น้ำเสียงอ่อนลงกว่าก่อนหน้านี้ “เจ้ายังมีครอบครัว”
แววตาของตันหงอี้มืดมนลง เสวี่ยหยวนจิ้งพูดถูก เขายังมีครอบครัว
เขาสามารถแบกรับความผิดไปพร้อมกับเสวี่ยหยวนจิ้งและเสวี่ยเจียเยว่ได้ แต่ไม่อาจให้เรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงครอบครัว
ด้วยเหตุนี้ตันหงอี้จึงไม่ได้กล่าวคำใดออกมาอีก เพียงพยักหน้าให้เสวี่ยหยวนจิ้ง จากนั้นเขาหมุนตัวเดินออกไปด้านนอก ไม่นานนักชายหนุ่มก็โยนถุงข้าวสารที่เสวี่ยหยวนจิ้งทิ้งไว้บนตรอกเข้าไปในลานเรือน
จะให้ใครเห็นร่องรอยของความน่าสงสัยไม่ได้
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นตันหงอี้เดินจากไปแล้ว เขาก็เดินไปปิดประตูลานเรือน ใช้กลอนไม้ขัดประตูให้เรียบร้อย ก่อนจะหันกลับไปมองบุรุษที่สวมชุดบ่าวรับใช้ซึ่งนอนหมดสติอยู่บนพื้น เขาย่อตัวลงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ใช้สองมือจับศีรษะของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะบิดอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดัง เมื่อคอของบ่าวรับใช้ผู้นั้นหักก็สิ้นลมในทันที
เสวี่ยหยวนจิ้งหิ้วศพบ่าวรับใช้ของเซี่ยเทียนเฉิงด้วยมือเดียว แล้วโยนเข้าไปในห้องว่างในเรือน จากนั้นก็เดินกลับไปหิ้วร่างของเซี่ยเทียนเฉิงเดินไปยังห้องว่างนั้นเช่นกัน
เซี่ยเทียนเฉิงฟื้นขึ้นมาเพราะความเจ็บปวด ราวกับอวัยวะภายในแตกเป็นเสี่ยงๆ ก็ไม่ปาน ทุกครั้งที่หายใจเหมือนมีเศษอวัยวะภายในหลุดออกมาด้วย กระดูกทุกชิ้นราวกับเป็นปลายดาบทิ่มแทงเขา ยิ่งดิ้นมากเท่าไร ก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น
แม้แต่คำว่าเจ็บปวดจนหัวใจแตกสลายยังบรรยายถึงความรู้สึกในยามนี้ไม่ได้
ไม่นานนักเขาก็พบว่าปากของตนถูกอุดด้วยผ้า แม้แต่เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดยังลอดออกมาไม่ได้ มือทั้งสองข้างถูกมัดไว้ด้านหลัง ข้อมือแสบร้อนดั่งไฟเผา คาดว่าผิวของเขาคงถลอกไม่น้อย
เขาดิ้นอยู่หลายครั้ง แต่ก็เหมือนกับแมลงตัวหนึ่งที่กำลังถูไถอยู่บนพื้น อยากจะร้องทว่ามีเพียงเสียงอู้อี้เท่านั้น
ชายหนุ่มมองไปรอบๆ ยังไม่ทันได้เห็นภาพภายในห้องชัดเจนนัก ก็เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างๆ กำลังหรี่ตามองมาที่เขา
เมื่อเซี่ยเทียนเฉิงเห็นสายตาของคนผู้นั้น ก็รู้สึกขนลุกขนชันไปทั้งตัว หัวใจเกือบจะหยุดเต้น
แม้ว่ามือกับเท้าของเขาจะถูกมัดไว้ แต่ชายหนุ่มก็พยายามอย่างมากเพื่อถอยห่างจากคนผู้นั้น
หลังจากอีกฝ่ายเห็นว่าเขาฟื้นแล้ว มุมปากพลันคว่ำลง จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นเหยียบหว่างขาของเขาอย่างรุนแรง
เซี่ยเทียนเฉิงได้ยินเสียงบางอย่างหักชัดเจน จากนั้นความเจ็บปวดที่เหมือนกัดกร่อนไปถึงกระดูกก็เกิดขึ้นตรงหว่างขา แล่นไปยังกระดูกทุกชิ้นบนแขนขาอย่างรวดเร็ว
เขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ปากกลับถูกผ้าอุดไว้อย่างแน่นหนา เขาอยากจะงอตัว แต่สองมือสองเท้าถูกมัดไว้ แม้แต่จะงอตัวยังทำไม่ได้
หัวใจของชายหนุ่มเต้นรัว เหงื่อแตกไปทั่วร่าง แม้แต่ความเจ็บปวดตอนที่กัดฟันกัดลิ้นตัวเองเขายังไม่รู้สึก ชั่วขณะนั้นเขาคิดว่าอยู่กับความเจ็บปวดเช่นนี้ มิสู้ตายไปเสียให้สิ้นเรื่อง
เสวี่ยหยวนจิ้งยืนมองเซี่ยเทียนเฉิงกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น จากนั้นเขาก็ลากเก้าอี้มานั่งอยู่ไม่ไกล หยิบตำราออกมาจากอกเสื้อหนึ่งเล่ม และเหลือบมองไปที่หน้าต่าง
เมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว เขาจึงวางตำราลง แล้วเดินไปหาเซี่ยเทียนเฉิงช้าๆ
ยามนี้ความเจ็บปวดของเซี่ยเทียนเฉิงทุเลาลงกว่าเมื่อครู่แล้ว ทว่าร่างกายยังเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ และใบหน้าของเขายังซีดเผือด เพราะถึงอย่างไรความเจ็บปวดที่ได้รับก็เหมือนกับกัดกร่อนเข้าไปถึงกระดูก โชคดีที่เขาสามารถนอนหอบหายใจอยู่บนพื้นได้เช่นนี้
แต่เพิ่งรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ก็เห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้อีกครั้ง
เมื่อครู่ที่เขากำลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมานั้น อีกฝ่ายกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ เซี่ยเทียนเฉิงคิดในใจว่าคนผู้นั้นเป็นปีศาจมาจากไหนกัน เขามีสภาพเช่นนี้แต่อีกฝ่ายยังอ่านตำราได้หรือ บุรุษผู้นั้นอยากทำอะไรกันแน่ หากอยากจะฆ่าเขา ก็ฆ่าเลยไม่ได้หรือ
เซี่ยเทียนเฉิงเห็นศพของบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ คอของอีกฝ่ายบิดไปข้างหนึ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าถูกใครหักคอ แต่บุรุษผู้นั้นเพียงแค่เตะส่วนนั้นของเขาจนแหลก ไม่ได้ฆ่าเขา คิดจะไว้ชีวิตแล้วปล่อยเขาไปอย่างนั้นหรือ เมื่อเขากลับถึงเรือน ความแค้นในวันนี้ต้องเอาคืนเป็นร้อยเป็นพันเท่า
ตอนนี้เขาเห็นอีกฝ่ายเดินมายืนอยู่ข้างๆ ยังคงหรี่ตามองลงมาเช่นเคย ไอเย็นชาแผ่ออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง เสียงที่เอ่ยขึ้นก็เย็นยะเยือกไปถึงกระดูก
“เจ็บพอหรือยัง”
แววตาของเซี่ยเทียนเฉิงที่มองเสวี่ยหยวนจิ้งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว คิดอยากจะเอ่ยปากขอร้องให้อีกฝ่ายปล่อยตนไป แต่ก็เห็นชายหนุ่มเชิดคางขึ้นเล็กน้อย เป็นเชิงบอกให้เขามองไปที่ศพของบ่าวรับใช้ผู้นั้น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เห็นหรือยัง นั่นคือวิธีตายของเจ้า”
หัวใจของเซี่ยเทียนเฉิงราวกับถูกบีบแน่น ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้น
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว อีกฝ่ายไม่คิดจะปล่อยเขาไป ที่ทำเมื่อครู่นี้ ความจริงแล้วก็เพื่อให้เขาได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็น จากนั้นเมื่อเขาเจ็บจนทนไม่ไหวค่อยลงมือสังหาร
กระทั่งบอกว่าวิธีการตายของเขาคืออะไร…
เซี่ยเทียนเฉิงคิดว่าอีกไม่นานตนก็ต้องถูกหักคอเหมือนบ่าวรับใช้คนนั้น ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างกระวนกระวาย ส่งเสียงอู้อี้ออกมาเพื่อให้อีกฝ่ายปล่อยตัวเขาไป
ทว่าบุรุษที่มีสีหน้าเย็นชานั่งลงตรงหน้าเขาอย่างช้าๆ จากนั้นก็ค่อยๆ ยื่นมือทั้งสองข้างมาใกล้ลำคอของเขาเรื่อยๆ
อีกฝ่ายต้องจงใจทำเช่นนั้นแน่ๆ ต้องการให้เขาได้สัมผัสกับความกลัวก่อนตาย
เซี่ยเทียนเฉิงส่งเสียงคำรามอยู่ในลำคอ ดิ้นทุรนทุรายโดยไม่สนใจสิ่งใด คิดจะหลบสองมือของบุรุษเลือดเย็นที่ยื่นเข้าใกล้คอเขาทุกที
ในที่สุดนิ้วมือเย็นเฉียบของอีกฝ่ายก็สัมผัสลำคอของเขาได้ จากนั้นเขาเห็นบุรุษผู้มีแววตาเย็นชาแผ่ไออำมหิตราวกับบ่อน้ำอันมืดมิด ทันใดนั้นเสียงกระดูกหักดังขึ้น แล้วเซี่ยเทียนเฉิงก็มองไม่เห็นสิ่งใดอีกเลย
เมื่อสำเร็จโทษเซี่ยเทียนเฉิงแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งก็ลุกขึ้นแล้วหันหลังจากไป
เขาไปตักน้ำมาล้างหน้าล้างมือ ก่อนจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อคลุมในห้องของตน แล้วเดินไปที่ห้องของเสวี่ยเจียเยว่
ก่อนหน้านี้เขาเห็นหญิงสาวเสียขวัญ สั่นเทาไปทั่วร่าง เสวี่ยหยวนจิ้งก็แทบทนไม่ไหว อีกทั้งยังไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาจัดการกับเซี่ยเทียนเฉิงอย่างไร จึงสะกดจุดให้หญิงสาวหลับไป ตอนนี้เมื่อเขาจัดการกับทุกอย่างเสร็จแล้วจึงเข้ามาดูอีกฝ่าย
เสวี่ยเจียเยว่ยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะหลับไม่สบายเท่าไรนัก เพราะคิ้วขมวดเป็นปม และกำมือแน่นจนปลายนิ้วเป็นสีขาว
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นแล้วปวดใจยิ่งนัก เพียงไม่กี่ก้าวเขาก็เดินไปถึงข้างเตียง ก่อนจะนั่งลงบนขอบเตียงแล้วเอื้อมมือไปจับมืออ่อนนุ่มของเสวี่ยเจียเยว่ โน้มตัวลงจูบหัวคิ้วของหญิงสาวพลางเอ่ยปลอบใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เยว่เอ๋อร์ ข้าอยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัว”
หลังจากเอ่ยปลอบใจอยู่นาน เขาเห็นว่าคิ้วของเสวี่ยเจียเยว่คลายออกเล็กน้อย แต่หญิงสาวยังคงหลับได้ไม่สบายนัก บางครั้งร้องไห้เสียงต่ำออกมา ฟังก็รู้ว่าในใจลึกๆ ยังคงหวาดกลัวมาก
เสวี่ยหยวนจิ้งฟังแล้วไม่กล้าเดินออกไปแม้แต่ก้าวเดียว เมื่อถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วก็เลิกชายผ้าห่มขึ้น ก่อนจะสอดตัวเข้าไป จากนั้นจึงคว้าร่างบางของเสวี่ยเจียเยว่เข้ามากอด เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ เขาก็รีบปลอบใจหญิงสาวทันที
ในใจของเขารู้สึกหวาดกลัว…
หากเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับเสวี่ยเจียเยว่ ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรลงไปบ้าง แม้ว่าตอนนี้เขาจะหักคอเซี่ยเทียนเฉิงด้วยมือตัวเอง ก็ยังไม่เพียงพอจะขจัดความโกรธของเขาออกไปได้
เมื่อนึกถึงคำพูดของเสวี่ยเจียเยว่ก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าฮูหยินคนนั้นของเซี่ยเทียนเฉิงยุยงให้ชายหนุ่มมาหาเสวี่ยเจียเยว่ในวันนี้ ก่อนจะนึกถึงวันที่เขาพบกับเฉินอ๋าวเหมยระหว่างทาง จากนั้นก็มีสาวใช้เดินตามเขาตลอดทางกลับเรือน
ฮูหยินของเซี่ยเทียนเฉิงคือใครไม่จำเป็นต้องพูดก็รู้ได้…
เสวี่ยเจียเยว่กับเฉินอ๋าวเหมยไม่ได้มีความแค้นต่อกัน เหตุใดนางถึงต้องลงมือเหี้ยมโหดเช่นนี้ เขาไม่มีทางไว้ชีวิตแม่นางผู้นั้นอย่างแน่นอน วันหน้าเขาจะทำให้นางตายทั้งเป็น
ส่วนเรื่องที่สังหารเซี่ยเทียนเฉิงในวันนี้… เสวี่ยหยวนจิ้งมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลงด้านนอก หัวใจของเขาหนักหน่วงยิ่งนัก ตอนนี้เขาทำได้เพียงลองเดิมพันสักครั้ง
หลังจากม่านรัตติกาลมาเยือน ฮ่องเต้หย่งหนิงประทับในตำหนักของตน ฟังรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้จากองครักษ์เงาที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า
“อ้อ เสวี่ยหยวนจิ้งผู้นั้นสังหารเซี่ยเทียนเฉิงอย่างนั้นหรือ” ฮ่องเต้หย่งหนิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมขมับ เอ่ยถามด้วยความสนใจ
“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เงาตอบ “พอเสวี่ยหยวนจิ้งผู้นั้นจากไป กระหม่อมก็เข้าไปตรวจสอบภายในห้องนั้น พบว่าเซี่ยเทียนเฉิงและบ่าวรับใช้ข้างกายเขาตายแล้ว อีกทั้งเซี่ยเทียนเฉิงยังได้รับโทษอย่างหนักก่อนตายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่แปลกใจเลย” ฮ่องเต้หย่งหนิงหัวเราะ “ตราบใดที่เป็นบุรุษ หากเห็นภรรยาของตนถูกชายอื่นคิดจะหมิ่นเกียรติ คนที่มีนิสัยใจร้อนก็คงทนไม่ได้ เซี่ยเทียนเฉิงผู้นั้นคิดว่าบิดาของตนเป็นโส่วฝู มีอาเป็นฮองเฮา คนที่ตายด้วยมือเขาก็มีเจ็ดถึงแปดชีวิตเห็นจะได้ สตรีที่ต้องแปดเปื้อนเพราะตัณหาของเขาก็มีไม่น้อย คนเช่นนี้สมควรตายเป็นร้อยๆ ครั้ง ตายไปแล้วก็นับว่าขจัดความอันตรายไปหนึ่ง”
องครักษ์เงาที่คุกเข่าอยู่เอ่ยเสียงตอบรับ
ฮ่องเต้หย่งหนิงเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วศพของเซี่ยเทียนเฉิงยังอยู่ในห้องนั้นหรือไม่”
องครักษ์เงาเอ่ยตอบ “พ่ะย่ะค่ะ ตอนที่กระหม่อมจากมา ศพของเซี่ยเทียนเฉิงยังไม่ถูกเคลื่อนย้ายไปที่ใด ไม่รู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งอาจจะรอให้ตกดึกก่อนค่อยจัดการหรือไม่”
‘รอให้ตกดึกก่อนค่อยนำศพของเซี่ยเทียนเฉิงไปจัดการเสียที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเขารอให้ข้าไปจัดการศพของเซี่ยเทียนเฉิงเอง’
ฮ่องเต้หย่งหนิงคลี่ยิ้มบาง ดวงตาของเขาเป็นประกาย