บทที่ 132 ต้นโซวูร้อยปี
วันอาทิตย์ เวลา 5:00 น.
ซูเย่เดินทางมายังภูเขาย่านชานเมืองอย่างเงียบเชียบ เขาเคยมาที่นี่เพื่อเก็บผลวอลนัทวิเศษมาแล้วครั้งหนึ่ง
ชายหนุ่มกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนเนินเขาสูง และจ้องมองลงไปที่ด้านล่าง
ไม่มีร่องรอยของตะขาบยักษ์
“หวังว่าสัญญาณที่เราเจอเมื่อวานนี้คงถูกต้องนะ” เศษหยกปราณธรรมชาติชิ้นนี้สามารถติดตามกันและกันได้ เหมือนอย่างที่เจ้าหน้าที่นักสืบสาวจูอวี่สามารถตามสะกดรอยจากการดมกลิ่นสิ่งของได้นั่นเอง
เขานำเศษหยกออกมาให้พวกมันลองตามหากันอีกครั้ง
กลิ่นหอมจาง ๆ ลอยขึ้นมาในอากาศ
แต่กลิ่นยังไม่ทันจะจางหายไป ซูเย่ก็พูดพึมพำขึ้นมาว่า
“เรากระตุ้นประสาทสัมผัสให้ตื่นตัวมากกว่านี้ดีกว่า”
ป่าแห่งนี้มีพลังปราณธรรมชาติหนาแน่น ประสาทการดมกลิ่น การได้ยินและการมองเห็นของชายหนุ่มจึงเพิ่มมากขึ้น
หลังลองติดตามการนำทางของเศษหยกบนฝ่ามืออยู่พักใหญ่ ซูเย่ก็ข้ามภูเขามาแล้วกว่าสามลูก ทันใดนั้น เขาก็หยุดชะงัก
ชายหนุ่มหันหน้ามองไปยังทิศทางหนึ่ง
รู้สึกได้ถึงพลังปราณที่แปลกประหลาด
มันเป็นพลังปราณธรรมชาติชนิดเดียวกับที่เขาเคยสัมผัสได้จากต้นวอลนัทวิเศษ
ซูเย่เดินตรงเข้าไปยังทิศทางนั้น
ในไม่ช้า เขาก็พบแหล่งที่มาของพลังปราณปริศนา
ถัดจากเนินเขาของผืนป่าแห่งนี้ตรงไปข้างหน้า ตั้งไว้ด้วยหุบเขาแห่งหนึ่ง
หมอกยามเช้ายังคงปกคลุมในอากาศ ทำให้ภาพที่เห็นไม่ต่างจากแดนสวรรค์
นับเป็นวิวทิวทัศน์ที่งดงาม
แต่ซูเย่ไม่ได้มาที่นี่เพื่อชมวิว
“ในหุบเขามีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่…”
ซูเย่ถึงกับชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพแวดล้อมของหุบเขาเบื้องหน้า
เพราะสภาพแวดล้อมเช่นนี้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของต้นโซวูร้อยปีเป็นอย่างยิ่ง!
ต้นโซวูร้อยปีมีรากหนาสีน้ำตาลเข้ม พบเห็นได้ตามเขตป่าลึกที่อุดมสมบูรณ์ และมักจะขึ้นอยู่ตามซอกหินบนพื้นดิน
“ดูเหมือนวันนี้เราจะโชคดีแล้วสินะ?”
ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเร็วมากขึ้น
เขาเดินมาถึงปากทางเข้าหุบเขา
ปากทางเข้ามีขนาดใหญ่โตกว้างขวาง เพียงยืนมองจากตรงนี้ ก็สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในหุบเขาได้เป็นบริเวณกว้าง แต่มันก็มีต้นไม้ขึ้นรกครึ้มหนาแน่นเป็นบางจุด สำหรับคนทั่วไปคงต้องก้มหัวเดินผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไม้ไปอย่างยากลำบาก
แต่ว่า
สำหรับซูเย่แล้ว กิ่งไม้กับเถาวัลย์เหล่านี้ไม่ใช่ปัญหา
ชายหนุ่มยื่นมือขวาออกไปจับกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง
จากนั้น เขาก็โคจรพลังลมปราณในร่างกายลงไปที่กิ่งไม้
ทันใดนั้น กิ่งไม้และพุ่มไม้ดกหนาก็แยกออกจากกันเป็นสองฝั่ง
เป็นเช่นนี้ไปตลอดทั่วหุบเขา
เมื่อมาถึงจุดที่เป็นต้นกำเนิดของพลังปราณปริศนา
ซูเย่ก็จำเป็นต้องสาวเท้าเดินอย่างระมัดระวัง ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็เห็นใบไม้สีเขียวสดรูปไข่งอกขึ้นมาจากซอกหินบนพื้นดิน ถ้ามองดูจากด้านข้าง ก็จะเห็นเป็นรูปหัวใจได้ไม่ยาก
“ต้นโซวู!”
“เปิดผนึกดวงตาที่สาม!”
ซูเย่ร้องออกมาด้วยความดีใจ ดวงตาเป็นประกายแวววาวด้วยความตื่นเต้น
กลางหน้าผากของชายหนุ่มพลันปรากฏแสงสว่างวิบวับ แล้วดวงตาที่สามของเขาก็เปิดออก!
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในระยะการมองเห็นเพิ่มความชัดเจนมากขึ้นอีกหลายเท่า
ต้นโซวูต้นนี้มีพลังปราณธรรมชาติลอยขึ้นมาอย่างชัดเจน!
“คิดอยู่แล้วว่าต้องใช่แน่” ดวงตาปกติของซูเย่เป็นประกายวาวโรจน์ ในขณะที่ดวงตาบนหน้าผากของเขาค่อย ๆ ปิดลง ชายหนุ่มย่อตัวลงไปและใช้จมูกสูดดมสมุนไพรอายุร้อยปี
นี่คือกลิ่นของตะขาบยักษ์ตัวนั้น หมายความว่ามันคงมีรังอยู่แถวนี้
“ว่าแต่ทำไมมันถึงไม่กินต้นโซวูต้นนี้นะ”
ซูเย่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย กำลังจะลงมือขุดรากต้นโซวูขึ้นมาจากพื้นดิน
“หืม…”
ทันใดนั้น มีสายลมพัดมาปะทะผิวกาย
ซูเย่หันหน้ากลับไปมองอย่างรวดเร็ว
พุ่มไม้ที่อยู่ด้านหลังเขาสั่นไหว ก่อนที่เงาดำทะมึนจะพุ่งกระโจนหลบหนีไปด้วยความว่องไว
“มีสัตว์ประหลาดอีกตัวคอยคุ้มกันอยู่งั้นหรือ?”
“ถ้าอย่างนั้น นี่ก็ต้องเป็นต้นโซวูร้อยปีไม่ผิดแน่!”
ซูเย่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ยกเลิกการขุดดินและลุกขึ้นยืน ก่อนจะทอดสายตามองไปยังพุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
ปรากฏใบหน้าเรียวยาวยื่นออกมาจากหลังพุ่มไม้นั่น มันมีดวงตากลมโตเหมือนลูกปิงปองสองดวง แต่ดวงตาทั้งสองดวงนั้นเป็นสีดำราวกับหยดหมึก
ซูเย่เบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
สิ่งที่เขากำลังพบเห็นอยู่นี้คือหนูยักษ์ตัวหนึ่ง
มันมีความสูงมากกว่าหนึ่งเมตร ร่างกายใหญ่โต ฟันคมกริบ มองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่าน่ากลัว
“จี๊ด”
หนูยักษ์ส่งเสียงขู่ ก่อนที่มันจะวิ่งเข้ามาหาซูเย่ด้วยความดุร้าย
แต่เมื่อมาถึงตรงหน้าเขาเท่านั้น
“ผลั่ก!”
ซูเย่เพียงยกมือดีดนิ้ว
ไม่ต่างจากผู้คนดีดก้นบุหรี่ลงถังขยะ
หนูยักษ์ลอยกระเด็นในอากาศ กระแทกเข้ากับต้นไม้ต้นหนึ่ง ก่อนที่ตัวของมันจะร่วงหล่นลงไปอยู่ด้านหลังพุ่มไม้ดกหนา
“วูบ”
จังหวะที่ตัวของมันตกกระทบพื้นดิน เจ้าหนูยักษ์ก็หันหลังกลับ วิ่งหนีไปเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่ง
“รู้ซะด้วยนะว่าควรหนีตอนไหน”
ซูเย่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนกลับมานั่งขุดดินต่ออีกครั้ง
ในไม่ช้า เขาก็ขุดรากต้นโซวูร้อยปีขึ้นมาได้สำเร็จ
ประเมินจากสายตาแล้ว มันน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 150 ปี!
ซูเย่สัมผัสได้ถึงพลังปราณธรรมชาติบริสุทธิ์จากรากของมัน
“ถึงจะสะสมพลังปราณไว้ไม่มากอย่างที่คิด แต่ก็คงพอแล้วล่ะนะ” เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ซูเย่ก็นำกระดาษหนังสือพิมพ์มาห่อรากต้นโซวูร้อยปีด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เสร็จแล้วจึงนำมาเก็บไว้ในกระเป๋าเป้ที่พกติดตัวมาด้วย
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน
เป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้บรรลุผลเรียบร้อย
ราบรื่นกว่าที่คิดเสียอีก
“ไม่รู้เหมือนกันนะว่าในป่านี้ยังมีของดีอยู่อีกไหม”
ซูเย่พูดเสียงแผ่วเบา จ้องมองไปยังผืนป่าที่อยู่ตรงหน้าขณะเดินออกมาจากหุบเขา
ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณตะขาบยักษ์ตัวนั้นจริง ๆ เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว เขาก็คงหาต้นโซวูร้อยปีเจอได้ไม่เร็วขนาดนี้
เมื่อเดินออกมาจากหุบเขา ซูเย่ก็ลองเดินตามกลิ่นของเจ้าตะขาบยักษ์ตัวนั้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงจุดสิ้นสุดซึ่งเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง
เขาใช้ฝ่ามือผลักก้อนหินก้อนนั้นออกไป
นั่นเอง ซูเย่จึงได้พบว่าเจ้าตะขาบยักษ์นอนอยู่ใต้ก้อนหิน บนแผ่นหลังของมันเต็มไปด้วยบาดแผลหลายตำแหน่ง บางจุดเห็นได้ชัดว่าเป็นบาดแผลใหม่หมาด ๆ
เมื่อที่ซ่อนตัวของมันถูกค้นพบ เจ้าตะขาบยักษ์ก็โกรธแค้นเป็นอย่างมาก แต่พอเห็นว่าผู้ที่พลิกก้อนหินเป็นซูเย่ มันก็เตรียมตัวบ่ายหน้าวิ่งหนีไปทันที
“เดี๋ยวก่อนสิ!”
ซูเย่กดฝ่ามือซ้ายของตนเองลงไป
พลังลมปราณในตัวเขาถ่ายทอดลงไปในตัวของตะขาบยักษ์ หลังจากนั้น เจ้าตะขาบก็ไม่ขยับตัวอีกเลย
“เพราะแบบนี้เองสินะ”
เมื่อเห็นบาดแผลบนแผ่นหลังตะขาบยักษ์ ซูเย่ก็เข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดมันถึงไม่กินต้นโซวูร้อยปี ปรากฏว่ามันต่อสู้กับหนูยักษ์ตัวนั้นและเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ บาดแผลที่อยู่บนแผ่นหลังตะขาบเกิดขึ้นจากกรงเล็บของหนูตัวนั้นนั่นเอง
“โชคดีนะที่แกเจอฉัน”
ซูเย่ยิ้มอบอุ่น ลำตัวของเจ้าตะขาบยักษ์เป็นประกายสว่างไสวเมื่อพลังลมปราณไหลรินเข้าไปในบาดแผลของมัน