ภาคที่ 1 บทที่ 133 อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกเป็นใคร!

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 133 อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกเป็นใคร!

ตะขาบยักษ์ตัวสั่นเทา แต่เมื่อความเจ็บปวดหายไป มันก็หยุดเคลื่อนไหว

เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากซูเย่ อาการบาดเจ็บของมันก็ทุเลาขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้แต่บาดแผลที่ไม่สามารถรักษาหายได้ ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกแล้ว

จังหวะที่กำลังจะดึงมือขึ้นมาจากตัวของตะขาบ ซูเย่พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาใช้มือขวาหยิบก้อนหินเล็ก ๆ ขึ้นมากำหนึ่ง

เจ้าตะขาบหันหน้ากลับมามองเขาด้วยความพิศวง

ต่อจากนั้น ชายหนุ่มก็นำก้อนหินมาเรียงรอบกายตะขาบยักษ์

สร้างเป็นค่ายอาคมสำหรับรวบรวมปราณธรรมชาติ

พลัน ปราณธรรมชาติที่ลอยอยู่ในอากาศรอบตัว ก็ถูกดูดซับลงมาที่ตะขาบยักษ์ตัวนี้หมดสิ้น

“ถือว่าฉันตอบแทนบุญคุณแกแล้วนะ”

ซูเย่พูดพร้อมกับปล่อยมือออกจากตัวเจ้าตะขาบ

เมื่อสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย เจ้าตะขาบก็กลิ้งไปบนพื้นดินอย่างมีความสุข

มันหันหัวกลับมาดุนเท้าของซูเย่ก่อนจะวิ่งตรงไปยังทิศทางของป่าลึกด้วยความรวดเร็ว

เมื่อมันวิ่งออกไปได้ประมาณสิบเมตร เจ้าตะขาบก็หยุดชะงัก และหันกลับมามองซูเย่พร้อมกับกวัดแกว่งหางไปมา

“อยากให้ฉันตามไปด้วยหรือไง?”

ซูเย่หรี่ตาลงเล็กน้อย

ชายหนุ่มลองเดินตามไปสองก้าวแล้วหยุด

เห็นดังนั้น เจ้าตะขาบที่นำทางก็หยุดชะงักและหันกลับมามองหน้าซูเย่อีกครั้ง

“ต้องใช่แน่ ๆ”

ซูเย่จึงตัดสินใจเดินตามมันเข้าไปในป่าลึก

ตลอดเวลาที่เดินไป เจ้าตะขาบจะคอยหันมามองตลอดว่าชายหนุ่มเดินตามมาหรือไม่

มันนำทางซูเย่ข้ามเขาไปอีกสองลูก

“แกจะพาฉันไปที่ไหนกันแน่เนี่ย?”

ยิ่งเดินตามเจ้าตะขาบยักษ์มากเท่าไหร่ ซูเย่ก็ยิ่งมีความสงสัยมากขึ้นเท่านั้น

ไม่กี่อึดใจต่อมา

ตะขาบยักษ์ก็พาชายหนุ่มมาที่ลำธารสายหนึ่ง

ลำธารสายนี้เป็นต้นน้ำของภูเขา ในน้ำและริมฝั่งมีก้อนหินอยู่มากมาย

“เอ๋?”

เพิ่งจะหยุดเท้าชั่วคราวเท่านั้น ซูเย่ก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณธรรมชาติอย่างชัดเจน

เมื่อจ้องมองไปยังอีกฝั่งหนึ่งของลำธาร เขาก็เห็นพุ่มไม้และต้นสมุนไพรขึ้นอยู่เต็มไปหมด

แต่สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตามากที่สุดก็คือ

“หญ้าเฉาก๊วย!”

ซูเย่มีดวงตาเป็นประกายแวววาวขึ้นมาทันที

พลังปราณธรรมชาติที่เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนนั้น มาจากหญ้าเฉาก๊วยเหล่านี้นี่เอง

พวกมันต้องเป็นสมุนไพรชั้นดีแน่นอน!

“อีกไม่นานคงกลับมาเก็บได้แล้วสินะ”

ชายหนุ่มสำรวจดูด้วยความพินิจพิเคราะห์

เขาไม่ได้เดินข้ามลำธารไปที่อีกฝั่งหนึ่ง แต่ใช้สายตาสำรวจดูก็พบว่าบริเวณรอบ ๆ หญ้าเฉาก๊วยเหล่านั้น มีใครบางคนได้นำก้อนหินมาจัดวางสร้างเป็นค่ายอาคมเอาไว้

หมายความว่ามีคนอื่นค้นพบที่นี่ก่อนแล้ว

นอกจากนั้น บนก้อนหินที่ใหญ่ที่สุดยังมีคางคกยักษ์ตัวหนึ่งนอนหลับใหล มันมีขนาดตัวใหญ่มากกว่าคางคกทั่วไปหลายสิบเท่า

“สัตว์ประหลาดคุ้มกันอีกตัวสิท่า”

ซูเย่ก้มหน้ามองไปที่เจ้าตะขาบยักษ์ผู้นำทาง แต่เขาก็พบว่าตะขาบยักษ์หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

มันแค่อยากพาเขามาดูหญ้าเฉาก๊วยพวกนี้เท่านั้น

เมื่อมาถึง ก็หมดหน้าที่ของมันแล้ว

“คงอีกประมาณสิบวันถึงจะสามารถเก็บได้”

ชายหนุ่มหมุนตัวเดินกลับออกมาอย่างไม่รีบร้อน ซูเย่มั่นใจว่าเมื่อหญ้าเฉาก๊วยเหล่านี้โตเต็มที่ พวกมันก็ไม่มีทางหลุดมือเขาไปได้แน่นอน

ตอนที่กลับมาถึงในเมือง ก็เป็นเวลา 15:00 น. แล้ว

ชายหนุ่มดูเวลาจากโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะนั่งรถตรงไปยังร้านขายยาจีนที่ใหญ่ที่สุดในตัวเมือง

ตอนนี้เขามีต้นโซวูร้อยปีกับผลวอลนัทวิเศษแล้วก็จริง แต่ก็ยังขาดเม็ดบัว เก๋ากี้และเมล็ดลูกหม่อนคุณภาพสูง

วัตถุดิบทั้งสามอย่างนี้ไม่จำเป็นต้องมีพลังปราณธรรมชาติ แต่จะใช้ของที่สามารถหาซื้อตามท้องตลาดทั่วไปไม่ได้เด็ดขาด

เมื่อเถ้าแก่ร้านขายยานำเม็ดบัว เก๋ากี้และเมล็ดลูกหม่อนออกมาให้ดู ซูเย่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“มีอันที่ดีกว่านี้ไหมครับ?”

“ไม่มีแล้วพ่อหนุ่ม ฉันรับรองเลยว่าในเมืองจี้หยาง ไม่มีร้านขายยาที่ไหนจะมีของดีมากเท่ากับพวกเราอีกแล้ว” เถ้าแก่ตอบกลับมาพร้อมกับยิ้มกว้าง

ซูเย่ผงกศีรษะรับทราบ แต่ก็เดินกลับออกมา เพื่อไปสำรวจร้านขายยาจีนร้านอื่น ๆ อยู่ดี

เถ้าแก่ร้านขายยาจีนคนเมื่อสักครู่นี้พูดได้ถูกต้อง ไม่มีร้านไหนจะมีวัตถุดิบดีไปกว่าร้านของเขาอีกแล้ว

แต่ประเด็นสำคัญก็คือการหลอมโอสถที่ซูเย่กำลังจะลงมือทำ เขาจะใช้วัตถุดิบธรรมดาทั่วไปไม่ได้ เพราะมิฉะนั้นแล้ว การหลอมโอสถอาจจะล้มเหลวไม่เป็นท่า

“คงต้องขอความช่วยเหลือจากอาจารย์หลี่แล้วสิ”

เมื่อซูเย่เดินออกมาจากร้านขายยาจีนร้านที่สิบ เขาก็กดโทรศัพท์โทรไปหาหลี่เคอหมิง

“อาจารย์หลี่ครับ ผมอยากได้สมุนไพรคุณภาพสูง แต่นี่ผมมาหาดูในท้องตลาดจนทั่วเมืองแล้ว ยังไม่เจอสมุนไพรที่มีคุณภาพอย่างที่ผมต้องการเลย อาจารย์พอจะรู้จักใครที่ขายสมุนไพรพวกนี้บ้างไหมครับ?”

ซูเย่พูดเข้าประเด็นทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลา

“สมุนไพรคุณภาพสูง…”

หลี่เคอหมิงลังเลอยู่เล็กน้อย ก็ตอบว่า “ตอนนี้ฉันกำลังประชุมอยู่ เธอรอสักหน่อยได้ไหม เดี๋ยวฉันจัดการเรื่องทางมหาลัยเสร็จเมื่อไหร่จะรีบติดต่อให้ เอาเป็นประมาณพุธหน้าดีไหม? เพราะวันนั้นเธอต้องมาเรียนพิเศษกับฉันพอดี”

“นานเกินไปครับอาจารย์”

ซูเย่ตอบ เขาจำเป็นต้องนำสมุนไพรทุกอย่างมาดูดซับพลังปราณธรรมชาติเพิ่มเติมอีกสักนิด เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว การหลอมโอสถของเขาอาจจะล้มเหลวก็เป็นได้

“งั้นไม่เป็นไร เอาเป็นว่าพุธนี้เธอลาหยุดไว้เลยนะ ฉันจะพาเธอไปหาใครบางคนที่น่าจะมีของที่เธอต้องการ”

หลี่เคอหมิงกล่าว

“ได้เลยครับอาจารย์หลี่ ขอบคุณมากนะครับ”

ค่ำคืน

ความมืด

สายลมพัดผ่านหุบเขาและป่าลึก

“หุบเขาข้างหน้านี่แหละ…”

“หลังจากมาสำรวจครั้งที่แล้ว มีหนูยักษ์ตัวหนึ่งคอยเฝ้าอยู่ ถ้าครั้งนี้แกโผล่มาอีก รับรองว่าแกตายแน่!”

“ฉันจะจับแกมาตุ๋นกินแกล้มกับขาแกะย่างซะเลย!”

ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งกระซิบกระซาบกับตัวเองขณะเดินผ่านผืนป่าในความมืด

ร่างของเขาปรากฏขึ้นอย่างแช่มช้า

ชายฉกรรจ์มีร่างกายสูงใหญ่กว่า 190 เซนติเมตร ลำตัวอุดมด้วยกล้ามเนื้อบึกบึน เขาเงยหน้ามองไปข้างหน้าด้วยดวงตาที่เป็นรูปทรงสามเหลี่ยม

บริเวณปากทางเข้าหุบเขาที่เคยมีต้นไม้และพุ่มไม้ขึ้นดกหนา ตอนนี้กลับโล่งกว้างเหมือนมีคนแหวกพวกมันออกเป็นสองฝั่ง

ฝีเท้าของชายฉกรรจ์หยุดลงโดยทันที

“เวรแล้วไง!”

เขาสบถออกมาด้วยความเดือดดาล

ไม่นานต่อมา

ชายฉกรรจ์วิ่งเข้าไปในหุบเขาด้วยความร้อนรน

“ใครกันนะ?”

“มันเป็นใคร?”

เมื่อชายคนนั้นวิ่งมาถึงตำแหน่งที่ต้นโซวูร้อยปีถูกขุดขึ้นไป เขาก็ระเบิดเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธจัด

ครั้งที่แล้วก็มีคนมาเก็บผลวอลนัทวิเศษตัดหน้าเขา ครั้งนี้ก็มีคนมาขุดต้นโซวูร้อยปีตัดหน้าไปอีก!

ชายคนนั้นเฝ้ารอต้นโซวูต้นนี้มาเนิ่นนาน เขารอให้มันเติบโตจนได้ที่ รอจนมันสามารถดูดซับพลังปราณธรรมชาติได้ครบถ้วนที่สุด ถึงเดินทางเข้าป่าเพื่อมาเก็บมัน

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าการรอคอยของเขาจะสูญเปล่า เพราะสมุนไพรหายากที่ชายฉกรรจ์หมายตากลับถูกแย่งชิงไปอีกครั้ง!

“อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกเป็นใคร! ไม่งั้นล่ะก็ แกไม่มีทางได้ตายดีแน่!!!”

“แล้วหญ้าเฉาก๊วยพวกนั้นยังอยู่ดีหรือเปล่านะ?”

ชายฉกรรจ์หัวใจกระตุกวูบ สีหน้าแปรเปลี่ยนไป รีบหมุนตัวกลับโดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม ก่อนวิ่งหายเข้าไปในป่าลึกด้วยความรวดเร็ว