คนที่เดินเข้ามาในสถานที่จัดการประมูลคนเดียวเป็นชายหนุ่มรูปงามร่างสูงใหญ่
ชายคนนั้นหันไปมองรอบๆ ห้อง ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างในด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย
แตกต่างจากตอนที่เห็นคนจากสองตระกูลชื่อดังทักทายกันและกัน ผู้คนภายในห้องไม่ได้กระตือรือร้นอะไรนัก
แต่ผิดคาดที่มีปฏิกิริยาไม่คาดคิดดังขึ้นมา
และมันยังดังมาจากคนของอังเกนัสกับลอมบาร์เดียเสียด้วย
“มะ…ไม่สิ!”
“เจ้าทำไมถึง…”
“เครย์ลีบัน เพลเลส?”
เครย์ลีบันนิ่งสงบต่างจากทั้งสามคนที่สะดุ้งตกใจจนนั่งไม่ติดที่
เครย์ลีบันเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการทักทาย ก่อนที่จะก้าวขาเดินตรงไปยังที่นั่งตรงกลางที่ไม่มีใครนั่งอยู่แถวนั้น
“เฮ้อ…”
โดยเฉพาะโรมาเชีย ดิลลาร์ด เขาตกใจกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของบุตรชายมากเสียจนทรงตัวแทบไม่อยู่
หัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักกับเวสตินที่ลอบส่งสัญญาณทางสายตาโดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่งเองก็ขมวดคิ้วแน่นจนหน้าผากยับย่นเป็นริ้ว
“ถะ…ถ้าเช่นนั้น จะเริ่มการประมูลแล้วนะครับ”
เจ้าหน้าที่ทำการประมูลลอบสังเกตทุกคน หลังจากตรวจเช็กเวลาจนแน่ใจ ก็ประกาศด้วยเสียงสั่นเทา
“ราคาเริ่มประมูลอยู่ที่เจ็ดร้อยเหรียญทองครับ”
ซองและกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่งถูกแจกจ่ายให้กับผู้เข้าร่วมการประมูลคนละหนึ่งชุด
วิธีการง่ายๆ แค่เขียนยอดที่ตัวเองต้องการประมูลลงกระดาษ ใส่ซองปิดผนึกให้เรียบร้อย หลังจากเจ้าหน้าที่ประมูลตรวจสอบเสร็จ ก็จะทำการประกาศผลให้ทราบว่า ใครเป็นผู้เขียนราคาสูงสุดและชนะการประมูล
ทั้งกลุ่มการค้าดิวรัก ทั้งลอมบาร์เดีย ทั้งเครย์ลีบัน ไม่มีใครลังเลว่าควรที่จะเขียนราคาประมูลลงไปเท่าไหร่
ทันทีที่ได้รับกระดาษกับปากกา พวกเขาก็เขียนตัวเลขลงไป ปิดผนึกซองในทันที
อังเกนัสและคนจากลอมบาร์เดียโดยเฉพาะเวสตินเอาแต่เหลือบมองเครย์ลีบัน แต่ตัวคนถูกมองกลับเพียงแค่มองตรงไปข้างหน้าอย่างสันโดษเท่านั้น
ไม่นานหลังจากนั้น
เจ้าหน้าที่ก็ได้เก็บซองจากทุกคน
มีเพียงเสียงกรอบแกรบจากการเปิดผนึกซองเท่านั้นที่ดังขึ้น ภายในห้องจัดงานประมูลมีเพียงแค่ความเงียบอันแสนตึงเครียดไหลเวียนอยู่เท่านั้น
“จะประกาศ…ผลการประมูลนะครับ”
เจ้าหน้าที่ทำการประกาศราคาประมูลที่สูงสุดที่สุดสามอันดับแรกตามระเบียบขั้นตอน
“ท่านแรก กลุ่มการค้าดิวรัก… สองพันเหรียญทอง”
เวสตินเหล่ตามองหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักด้วยใบหน้าที่ยังคงยิ้มแย้มเหมือนเดิม
ทั้งๆ ที่เขาบอกไว้แล้วแท้ๆ ว่าแค่หนึ่งพันแปดร้อยเหรียญทองก็มากพอแล้ว
ดูเหมือนว่าหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักที่ทึ่มทื่อคนนั้นไม่เชื่อใจในตัวเวสตินถึงได้เขียนเพิ่มลงไปอีกสองร้อยเหรียญทองอย่างไร้ค่า
“และท่านที่สอง กลุ่มการค้าลอมบาร์เดียหนึ่งพันหกร้อยเหรียญทอง”
ภายในห้องจัดงานประมูลเกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นอังเกนัสก็ชนะหรือ”
“ใช่สิ ก็เขียนมากกว่าสี่ร้อยเหรียญทองนี่หว่า”
“ลอมบาร์เดียโดนอังเกนัสแย่งประมูลไปได้หรือเนี่ย…!”
เพราะไม่มีใครไม่ทราบเรื่องความสัมพันธ์ที่เป็นศัตรูกันระหว่างลอมบาร์เดียกับอังเกนัส เสียงฮือฮาจึงยิ่งดังมากขึ้นไปอีก
โรมาเชีย ดิลลาร์ดหันไปมองเวสตินด้วยใบหน้าแดงก่ำ เอ่ยถามอีกฝ่ายเสียงค่อย
“นี่มันเรื่องอะไรกันครับ ท่านเวสติน”
“ไม่ทราบเลยครับ…”
เวสตินส่ายหน้า แสร้งทำเป็นว่าตัวเองก็หนักใจเหมือนกัน เพราะไม่อาจรู้สาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นนี่ได้ เขาแสดงละครได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“ไหนว่าแค่หนึ่งพันหกร้อยเหรียญทองก็มากเหลือเฟือ…”
“ไว้ค่อยคุยกันเถอะครับ”
โรมาเชีย ดิลลาร์ดโมโหมากจริงๆ แต่เพราะอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย เขาถึงได้อดกลั้นความโกรธที่เดือดพล่านไว้ข้างใน
“การประกาศผลยังไม่จบครับ ท่านสุดท้าย…”
เจ้าหน้าที่พูดเสียงดัง
“ท่านสุดท้าย ร้านค้าเพลเลส”
เจ้าหน้าที่กลืนน้ำหลายเสียงดังอึกหลังจากที่มองตัวเลขที่ถูกเขียนไว้บนกระดาษ
“ร้านค้าเพลเลส…สองพันห้าสิบเหรียญทอง”
ทั่วงานประมูลตกอยู่ในความเงียบและความตกตะลึง
“พะ…เพราะฉะนั้นขอประกาศว่า เหมืองแร่ลีลาร์ตกเป็นของ…ร้านค้าเพลเลสครับ”
ปัง ปัง!
เสียงค้อนทุบเป็นการปิดประมูลดังก้องไปทั่ว แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยสักคน
ราวกับเวลาถูกหยุดนิ่งเอาไว้เช่นนั้น
“นะ…นี่มัน…”
โดยเฉพาะหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักจากอังเกนัส เขาได้แค่อ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาทองที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำด้วยความช็อก
ครืด
ในตอนนั้นเองเครย์ลีบันก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง เก้าอี้ครูดกับพื้นห้องจนเกิดเสียง
เวสตินที่กำลังตกใจ หัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรัก แม้แต่บิดาอย่างโรมาเชีย ดิลลาร์ด นัยน์ตาของทุกคนจับจ้องอยู่ที่เครย์ลีบันอย่างพร้อมเพรียง
เครย์ลีบันลุกขึ้นจากที่นั่ง จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยด้วยใบหน้าไม่แยแส แล้วจึงค่อยหันหน้ากลับไปมองสบตาพวกนั้น
มุมปากข้างหนึ่งของชายหนุ่มกระตุกยิ้ม
“ขอตัว”
เครย์ลีบันผงกศีรษะลงเล็กน้อย ขาเพรียวยาวขยับก้าวเดินออกไปจากห้องจัดงานประมูล
“ไม่!”
หัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักขยุ้มผมตัวเองแน่น ในขณะที่กรีดร้องเสียงดังลั่น
จนกระทั่งเจ้าหน้าที่หอบหิ้วเอกสารวิ่งตามหลังเครย์ลีบันตรงไปยังห้องทำงาน ก็ไม่มีใครลุกออกไปจากที่นั่งในห้องนั้นเลยแม้แต่คนเดียว
กิจการอัญมณีดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น
เพียงแค่สองเดือนหลังจากประมูลเหมืองลีลาร์มาได้ แร่อัญมณีชิ้นแรกก็ถูกเผยโฉมสู่โลกภายนอก
เครย์ลีบันนำมันไปหาโครอิลลี่จาก <ไอบัน> ด้วยตัวเอง และเมื่อช่างฝีมือได้เห็น ‘แร่อัญมณีที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา’ อย่างที่ฟีเรนเทียเคยพูดไว้ เขาก็คุกเข่าอ้อนวอนขอร้องว่า ‘ได้โปรดมอบให้ข้าเป็นผู้เจียระไนมันด้วยเถอะ’
แต่การเจียระไนมันไม่ได้ง่ายเลย
ความแข็งของอัญมณีชนิดนี้มันสูงมาก
เครื่องมือที่โครอิลลี่เคยใช้ทำงานมาโดยตลอด เมื่ออยู่ต่อหน้าแร่อัญมณีชนิดใหม่ มันกลับกลายเป็นของไร้ประโยชน์
ยิ่งกลายเป็นเช่นนั้น ความหลงใหลอยากเอาชนะของช่างฝีมือก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นตามไปด้วย
และสองเดือนต่อมาหลังจากนั้น
ร้านอัญมณีของร้านค้าเพลเลสก็เปิดกิจการขึ้นที่ย่านการค้าเซดาคิวนาร์
“อัญมณียังไม่มีชื่อเลย เอาชื่ออะไรดีคะ ท่านฟีเรนเทีย”
เธอตอบไวโอเล็ตที่ถามเธอเช่นนั้น
“เพชร ต่อไปเรียกมันว่าเพชร”
แน่นอนว่า ทันทีที่เปิดตัวเพชร มันก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
ถึงแม้ราคามันจะแพงกว่าอัญมณีทั่วไปเป็นสิบเท่า แต่ยอดจองสั่งซื้อล่วงหน้าก็ยาวเหยียดจนโครอิลลี่ทำงานแทบไม่ทันเลยทีเดียว
มันก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วละ
เพราะความสวยงามของเพชรน่ะ มันเป็นสิ่งที่ในโลกนี้ไม่เคยมีมาก่อนยังไงล่ะ
เพชรเม็ดที่ใหญ่ที่สุดและงดงามที่สุดในบรรดาอัญมณีที่โครอิลลี่เจียระไนเสร็จเป็นครั้งแรกได้ถูกถวายให้แก่องค์จักรพรรดิ
เสียงหัวเราะของโยบาเนสที่ได้รับเพรชเม็ดนั้นดังลั่นจนได้ยินไปถึงนอกวังส่วนกลางเลยทีเดียว
“อ๊า ดีจัง”
ได้นั่งอ่านรายงานยอดขายเพชรไปพลางดูดน้ำผลไม้เย็นสดชื่นไปพลางแบบนี้ สวรรค์จะอยู่ที่ไหนได้ถ้าไม่ใช่ที่นี่
เพราะแย่งชิงของของพวกอังเกนัสมาหรือเปล่านะ ชัยชนะถึงได้มีรสชาติหอมหวานมากกว่าที่ควร
ฟีเรนเทียวางแก้วน้ำผลไม้ที่ดื่มหมดแล้วลงด้วยความเสียดาย เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างในขณะพึมพำกับตัวเอง
“ถ้างั้นตอนนี้ก็มาลองสืบเรื่องเวสตินดูหน่อยดีมั้ย”
คนที่รักชานาเนสมากที่สุดในโลก พ่อที่แสนอบอุ่นของสองแฝด กับคนทรยศที่บีบไหล่ของเธอจนแทบหัก หักหลังลอมบาร์เดียด้วยใบหน้าน่าเกลียดนั่น
ใบหน้าไหนกันแน่ที่เป็นตัวตนที่แท้จริงระหว่างสองตัวตนนั่น มันถึงเวลาที่จะเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาได้แล้ว