ตอนที่196 ราชินีออกโรง
กฎเหล็กข้อหนึ่งที่ควรทราบก็คือ ห้ามไปมีเรื่องกับบุคคลที่เป็นหมอโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหมอจีน เพราะหมอย่อมมีกลวิธีมากมายร้อยแปดที่จะทำให้อีกฝ่ายต้องทรมานยิ่งกว่าตายเสียอีก
เมื่อคังฟานเห็นฉีเล่ยเดินตรงเข้ามาหา ภายในใจกลับไม่ได้นึกกังวลเท่าที่ควร เพียงแค่ต้องระมัดระวังอีกฝ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
เพราะไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง ตัวของเขาก็ค่อนข้างสูงใหญ่กว่าฉีเล่ย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังฝึกฮับกีโดจนอยู่ขั้น3 แล้ว และที่ผ่านมาในสมัยที่ยังอยู่อเมริกา เขาก็ฟิตร่างกายให้แข็งแรงอยู่ตลอดเวลาเพื่อจะได้ทำงานที่นั่น สิ่งหนึ่งที่ควรรู้ไว้ก็คือ ชาวตะวันตกใส่ใจกับเรื่องความฟิตของร่ายกายมาก ไม่เหมือนคนจีนที่ชอบปล่อยให้พุงห้อยเป็นตาแก่
เวลานี้สมองของคังฟานกำลังวางแผนว่า จะทำให้ชายหนุ่มที่แสนจะหยิ่งผยองคนนี้ ต้องอับอายขายหน้าท่ามกลางสาธารณชนนี้ได้ยังไง?
แม้ว่าแผนการนี้จะไม่ค่อยสอดคล้องกับจุดประสงค์เดิมของตนเองสักเท่าไหร่นักก็ตาม เพราะถึงอย่างไร เขาก็ยังคงต้องพึ่งพาผู้ชายคนนี้ และตั้งใจจะดึงตัวเข้ามาร่วมงานในธุรกิจของตนเอง นั่นเพราะการเปิดบริษัทยาจีนของเขาจำเป็นต้องพึ่งพาฉีเลย
แต่น่าเสียดายที่ผู้ชายคนนี้หัวดื้อหัวรั้นกว่าที่เขาคิดไว้มาก ดังนั้นเขาจึงจำเป็นจะต้องใช้ไม้แข็งเพื่อลดอาการพยศของฉีเล่ยลงเสียก่อน จากนั้นค่อยใช้ไม้อ่อนดึงตัวเข้ามาร่วมงานด้วยกันทีหลัง
คังฟานจึงต้องการใช้โอกาสนี้กระชับความสัมพันธ์กับฉีเล่ยเสียหน่อย แม้จะเป็นการกระชับความสัมพันธ์ที่ต้องใช้กำปั้นก็ตามที
แต่ในเวลานั้นเอง จู่ๆเหวินเจียนก็เป็นฝ่ายเสนอตัวอาสาออกมาจัดการกับฉีเล่ยเอง
“ปล่อยให้ฉันจัดการกับหมอนั่นเองดีกว่า”
เขาเอื้อมมือไปตบไหล่น้องสาวที่ตอนนี้ใบหน้าเปียกโชกไปด้วยน้ำตา ก่อนจะเรียกให้เธอเดินออกไปจากวงฝูงชนบริเวณนี้ แต่ในระหว่างที่ซินซินกำลังจะเดินออกไปนั้น เธอก็ได้เหลือบมองเหอจือด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นใจ
เหวินเจียนเป็นนายตำรวจชั้นนายพันที่เลือดร้อนในระดับหนึ่ง ยิ่งได้มาเห็นน้องสาวตัวเองเป็นฝ่ายโดนกระทำแบบนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าปล่อยไว้ไม่ได้ เและต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้กับน้องสาวตัวเอง
และเขาเองก็ไม่เชื่อว่า สาวน้อยตัวเล็กๆแบบนี้จะมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งขนาดอะไรมากมายนัก?
แม้เวลานี้เหวินเจียนจะอยู่ในชุดสูทสั่งตัดสไตล์เรียบหรู แต่ก็ยังยากที่จะปกปิดกระบวนท่าเตรียมต่อสู้ในแบบตำรวจไว้ได้ สีหน้าของเขาเรียบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก แขนทั้งสองข้างยกขึ้นตั้งการ์ด พร้อมกับเต้นฟุตเวอร์คไปมาในแบบที่พร้อมจะออกศึกเต็มที่ สายตาทั้งคู่จับจ้องอยู่ที่ร่างของฉีเล่ยเขม็ง
เมื่อเห็นชายหนุ่มที่แข็งแกร่งประดุจเหล็กกล้ากำลังยืนอยู่ตรงหน้า บรรดาสาวสวยทั้งหลายก็ถึงกับใจละลายขึ้นมาทันที
“เขาเป็นใครกันน่ะ? ดูทรงแล้วเหมือนพวกตำรวจหรือไม่ก็ทหารเลยนะ”
“ภูมิฐานเป๊ะเวอร์ นี่แหละสเป็คฉันเลย”
“ดีกว่าไอ้ผู้ชายหน้าขาวนั่น ก่อนหน้านี้เอาแต่หลบอยู่หลังผู้หญิง เฮ้ออ… ต้องแบบนี้สิถึงจะเรียกว่าลูกผู้ชายตัวจริง…”
บรรดาสาวๆที่อยู่รอบๆ ต่างก็พากันจับกลุ่มซุบซินกันไม่หยุด แต่เมื่อเหวินเจียนที่ดูเหมือนจะได้ยินเสียงซุบซิบ และส่งสายตาคมกริบดุดันให้ พวกเธอก็รีบปิดปากเงียบทันที ก่อนจะแอบซุบซิบกันต่อเพื่อชื่นชมความหล่อเหลาของเขาแทน
เหวินเจียนยืนประจันหน้ากับฉีเล่ย เขาคำรามออกไปด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำดุดัน
“แกต่างหากที่ควรขอโทษนะ”
ฉีเล่ยยิ้มและเอ่ยถามกลับไปว่า
“อะไรที่ทำให้คุณคิดว่าผมควรเป็นฝ่ายขอโทษ? คุณรู้ไหมว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
“ฉันไม่รู้และไม่จำเป็นต้องรู้ แต่ฉันรู้แค่ว่า แกทำให้น้องสาวของฉันต้องร้องไห้!”
“ถ้าอย่างนั้น ก็เสียใจด้วยครับที่จะต้องบอกว่า น้องสาวของคุณเป็นฝ่ายเริ่มก่อน”
“ถ้าแกจะพูดแค่นี้ ก็หุบปากของแกไปเถอะ!”
ทันทีที่พูดพบเหวินเจียนก็โถมตัวพุ่งเข้าไปคว้าไหล่ของฉีเล่ยไว้ทันที
นี่เป็นหนึ่งในกระบวนท่าที่พวกตำรวจและทหารนิยมใช้กัน นั่นเพราะโดยธรรมชาติแล้ว หากคนเราถูกใครจู่โจมเข้าจับไหล่อย่างไร้เหตุผล ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาก็คือจะรีบยื่นมือขึ้นมาจับมือของอีกฝ่ายไว้อย่างลืมตัว และในจังหวะนี้ล่ะ ที่เหวินเจียนตั้งใจจะคว้าแขนของฉีเล่ยไว้ แล้วจับทุ่มลงกับพื้นเพื่อปิดฉากศัตรูของตนเอง
ความเร็วในการเคลื่อนไหวของเหวินเจียนนั้นจัดว่าสูงมากทีเดียว และดูเหมือนว่ามันจะรวดเร็วจนกระทั่งอีกฝ่ายได้แต่ยืนงุนงงไม่รู้จะหลบอย่างไร
ด้วยเหตุนี้ ฉีเล่ยจึงถูกอีกฝ่ายคว้าหัวไหล่ไว้ได้อย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำเขายังยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาจับมือของเหวินเจียนไว้อีกด้วย
ขั้นตอนแรกสำเร็จเรียบร้อยแล้ว! ขั้นตอนที่เหลือต่อจากนี้ ก็แค่จับมืออีกฝ่ายไว้ แล้วออกแรงแบกร่างขึ้นบนบ่า จากนั้นก็จับทุ่มลงไปกับพื้นโดยใช้น้ำหนักตัวเป็นส่วนเสริมเพิ่มความรุนแรง
หมับ!
เหวินเจียนใช้มืออีกข้างจับมือของฉีเล่ยไว้แน่น พร้อมกับใช้พละกำลังทั้งหมดยกร่างของฉีเล่ยทุ่มลงกับพื้นทันที!
แต่…
นิ่ง…
ร่างของฉีเล่ยไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย…
ภายใต้โคมไฟระย้าคริสตัลหรูหราที่แสนเจิดจรัสกลางงานปาร์ตี้คืนนี้ ฉีเล่ยยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคงประหนึ่งรูปปั้นหินขนาดมหึมา และไม่ว่าเหวินเจียนจะพยายามออกแรงทุ่มมากเพียงใด ก็ไม่สามารถทำให้ร่างของอีกฝ่ายขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย
เสี้ยวอึดใจต่อมา เหวินเจียนถึงกับดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจและตกใจ เพราะจู่ๆก็มีคมเข็มสีทองเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของฉีเล่ย คล้ายกับว่าได้เตรียมไว้พร้อมก่อนหน้านี้แล้วแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เพียงพริบตาเดียวหลังจากนั้น พลันปรากฏแสงสะท้อนจากตัวเข็มสว่างสวาบพุ่งเข้าใส่ตนเอง
แขนข้างซ้ายของเหวินเจียนที่สัมผัสอยู่บนไหล่ของฉีเล่ย จู่ๆก็พลันอ่อนยวบลงอย่างไม่ทันตั้งตัวจนเกือบล้ม ทั้งแขนซ้ายของเขาเองจู่ๆก็เกิดไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ปฏิกิริยาสุดท้ายที่เขารู้สึกได้จากแขนซ้ายก็คือ เหมือนถูกเข็มแทงเข้าใส่
นอกจากนี้แล้ว เหวินเจียนยังค้นพบว่า ตัวเขาในปัจจุบันไม่สามารภยกแขนซ้ายขึ้นได้อีกแล้ว และไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนก็ตาม กระทั่งจะกำหมัดยังไม่สามารถทำได้ด้วยซ้ำไป!
จู่ๆ เหวินเจียนก็มีสภาพราวกับคนเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบขึ้นมาอย่างฉับพลัน ที่เมื่อเป็นก็จะไม่สามารถควบคุมแขนขาของตัวเองได้ชั่วขณะ
เหวินเจียนยกมือขวาขึ้นกุมแขนซ้ายของตัวเองไว้แน่น พร้อมกับเงยหน้าขาวซีดนั้นจ้องมองฉีเล่ย สีหน้าของเขาคล้ายกำลังหวาดวิตกอย่างหนัก พร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“กะ-เกิด…เกิดอะไรขึ้นกับแขนของฉัน! แก…นี่แกทำอะไรกับฉันกันแน่!?”
ซินซินที่หลบไปอยู่ด้านหลังฝูงชน เมื่อเห็นท่าไม่ดีเข้าก็ถึงกับรีบวิ่งออกมาพร้อมกับร้องตะโกนด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
“พี่! พี่เจียน! พี่เป็นอะไรไปน่ะ!?”
เพราะจู่ๆเหวินเจียนก็หยุดโจมตีอีกฝ่ายไปเฉยๆ มิหนำซ้ำแขนซ้ายของเขายังห้อยต่องแต่งราวกับคนพิการอีก้วย ไม่ว่าพี่ชายของเธอจะพยายามขยับแขนซ้ายแค่ไหน ก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
ท้ายที่สุดแล้ว แม้จะคับแค้นใจมากแค่ไหน แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับความปลอดภัยของพี่ชายตัวเอง
หลู่หยานรีบวิ่งเข้ามาถามเช่นกัน
“เจียน นี่นายไม่เป็นไรใช่ไหม?!”
คังฟานกังวลว่า ฉีเล่ยจะใช้โอกาสนี้เคลื่อนไหวจู่โจมใส่อีกครั้ง เขาจึงรีบวิ่งตรงเข้าไปใช้ร่างกายเป็นขวางกั้นเป็นที่กำบังให้กับเหวินเจียนทันที ก่อนจะร้องถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
“เจียน ทำใจดีๆไว้ก่อน บอกมาว่าเกิดอะไรขึ้น!”
“แขนซ้าย…จู่ๆแขนซ้ายของฉันก็ขยับไม่ได้”
ว้าว!
ทันใดนั้นเองท่ามกลางฝูงชนพลันเกิดความโกลาหลขึ้นทันที
ก่อนหน้านี้ไม่มีใครมองฉีเล่ยในแง่ดีเลยสักคน และคิดว่าชายหนุ่มที่ชื่อเหวินเจียนคงจะต้องอัดเขาจนน่วมอย่างแน่นอน
จะให้ทำยังไงได้? ในเมื่อรูปทรงของอีกฝ่ายนั้นถ้าไม่ใช่ตำรวจก็ต้องเป็นทหารอย่างแน่นอน และได้รับการฝึกทักษะด้านการต่อสู้มาเป็นอย่างดี ส่วนฉีเล่ยที่อยู่ในชุดสูทนั้น ดูยังไงก็แค่ผู้ชายหน้าหล่อคนหนึ่งที่ไม่น่าจะสู้คนเป็น จึงไม่แปลกที่ทุกคนจะคิดแบบนั้นกัน
แต่ถึงอย่างนั้น ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ก็นับว่าเหนือความคาดหมายของทุกคนมากจริงๆ!
เพียงเสี้ยวพริบตาเดียวเท่านั้น แขนซ้ายของเหวินเจียนก็กลายเป็นอัมพาตไปเรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่านั้นก็คือ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็จับตามองการต่อสู้ตรงหน้าอย่าไม่ละสายตา แต่กลับไม่มีใครว่าฉีเล่ยเคลื่อนไหวอะไรเลย
ไม่สิ…ควรจะต้องพูดว่า มันเกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่มีใครเห็นว่าฉีเล่ยเคลื่อนไหวยังไงน่าจะถูกต้องกว่า…
ฉีเล่ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าสงบเรียบเฉย
“ไม่ต้องห่วง คุณไม่เป็นอะไรหรอกครับ แค่เป็นอัมพาตไปชั่วขณะเท่านั้น น่าจะสักประมาณครึ่งชั่วโมงได้ หลังจากนั้นก็จะกลับเป็นปกติเอง”
หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็ปรายตามองไปทางคังฟานอีกครั้ง พร้อมกับแสยะยิ้มมุมปากและพูดขึ้นว่า
“อยากจะลองดูอีกคนไหมครับ?”
ฉีเล่ยไม่รู้ว่า เป็นเพราะเขาได้รับอิทธิพลมาจากหลี่ถงซีหรือเปล่า ทำให้เขาไม่มีความเห็นใจหรือมีความปราณีต่อเหวินเจียนเลยสักนิด เขาแค่รู้สึกว่า ผู้ชายคนนี้ไร้เหตุผลจนเกินไป คุณในฐานะพี่ชายควรจะต้องรักน้องสาวให้ถูกทาง ไม่ใช่เอาแต่ตามใจจนเสียนิสัยแบบนี้ และสำหรับคังฟาน ฉีเล่ยเชื่อว่าเขาน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากหลี่ถงซีเต็มๆ เพราะเขารู้สึกเกลียดอีกฝ่ายจากก้นบึ้งของหัวใจเลยทีเดียว
“ลองดูก่อนก็ดีนะครับ”
คังฟานยิ้มพร้อมกับพยักหน้ารับคำท้า
เขาเป็นเพียงไม่กี่คนในที่นี้ที่ได้เห็นกระบวนการเคลื่อนไหวของฉีเล่ยอย่างชัดเจน และเขายังรู้อีกด้วยว่า ทั้งหมดเป็นเพราะคมเข็มสีทองในมือของฉีเล่ยนั่นเอง จึงทำให้แขนซ้ายของเพื่อนเขาต้องกลายเป็นอัมพาตชั่วขณะไป
คังฟานคิดในใจว่า หากเขาชิงขโมยเข็มทองในมือของฉีเล่ยมาได้ อีกฝ่ายก็จะไร้ซึ่งพิษสงทำอะไรเขาไม่ได้อีก
แต่…คังฟานกลับไม่รู้เลยสักนิดว่า การที่ฉีเล่ยเลือกใช้เข็มทองในการต่อสู้ ทั้งหมดเป็นเพราะเขาไม่อยากพลั้งมือฆ่าคนเท่านั้นเอง เพราะถ้าเขาเผลอใช้มือต่อสู้ขึ้นมา ไม่แน่ว่าผลลัพธ์อาจจะไม่ใช่เพียงแค่นี้แน่
แต่ขณะที่ทั้งสองกำลังจะเริ่มเคลื่อนไหวนั้น สุ้มเสียงหวานไพเราะฟังลื่นหูก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังฝูงชน
“คุณสุภาพบุรุษทั้งสองคนกรุณาหยุดก่อนค่ะ แล้วช่วยหันมาคุยกับเจ้าภาพงานอย่างหรู่หยานคนนี้ก่อนจะได้ไหมคะ?”
ฝูงชนแยกกันออกเป็นสองฝั่งเปิดเป็นทางเดินทอดยาวให้สามารถเดินเข้าไปได้ แต่ละคนต่างหันขวับเหลียวกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ ภาพที่ทุกคนเห็นปรากฏเป็นผู้หญิงในชุดราตรีสีแดงเพลิงกำลังเดินลากปลายชุดยาวฝ่าฝูงชนเข้ามาอย่างสง่างาม ราวกับราชินีเสด็จมาเยี่ยมกองทัพ
ดวงตาทรงโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวคว่ำ เก็บซ่อนนัยน์ตาสีเหลืองมณีอำพัน ริมฝีปากแดงระเรื่อระคนกลิ่นหอมหวานของเชอรี่อ่อนๆ
เมื่อผู้หญิงคนนี้เดินมาถึง สายตาของทุกคนต่างก็หยุดนิ่งจับจ้องอยู่ที่เรือนร่างของเธอราวกับต้องมนต์สะกด ใบหน้าสวยงามนั้นแม้จะดูมีอายุเล็กน้อย แต่นั่นก็ยังงดงามจนสาวแรกรุ่นยังต้องอาย นับเป็นหญิงงามที่ยากจะหาตัวจับได้อีกแล้ว
เหอจื่อเหลือบผู้หญิงตรงหน้าด้วยความระแวดระวัง พร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า
“คุณเป็นใคร?”
ผู้หญิงที่ครอบครองความงดงามเกินตัวมักอันตรายเสมอ
แน่นอน นี่ไม่ได้หมายความว่า ไม่อนุญาตให้คุณสวย แต่โปรดอย่าได้แสดงมันออกมาจนเกินขอบเขต
ฮั่วหรู่หยานหันไปยิ้มหวานให้กับเหอจือพร้อมสีหน้าหยอกเย้าเล็กน้อย และตอบกลับไปว่า
“สาวน้อย เธอล่ะชื่ออะไรเหรอจ๊ะ?”
“เหอจื่อ”
ฮั่วหรู่หยานยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ที่แท้ก็คุณหนูสกุลเหอนี่เอง เธอเป็นคนน่าสนใจดีนะ”
เหอจือหันไปมองฉีเล่ยพลางยักไหล่ให้ คล้ายจะบอกเป็นนัยๆว่า ‘เห็นรึยัง?’