บทที่ 176 ของใช้ยามว่างของชนชั้นสูง

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

“ทำไมหรือ? ปกติข้าไปโลกเผ่ามารก็แต่งตัวแบบนี้” ปู้จื้อโหยวก้มหน้าลงมองตนเอง รู้สึกไม่เห็นเป็นอะไร จึงเอ่ยอย่างงุนงง

เต๋อสี่จึงด่าต่อ “ยังบอกไม่มีปัญหาอีก ทำไมเจ้าถึงปลอมตัวเป็นชนชั้นสูง คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ลวดลายบนร่างก็วาดได้ถูกต้อง!”

“นี่คือชนชั้นสูงของเผ่ามาร?” จินเฟยเหยากอดอกมองเขา แต่งตัวไม่เหมือนนางจริงๆ ด้วย

ปู้จื้อโหยวแก้เปียออกหมดแล้ว โชคดีที่เขามือไม้คล่องแคล่ว เปียเล็กๆ มากมายปานนั้นถ้าให้จินเฟยเหยาแก้คงใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม เส้นผมสีดำที่แก้ออกเนื่องจากมัดเป็นเปียจึงม้วนเล็กน้อย

บนศีรษะของเขามีเขาผอมบางยาวสองฝ่ามือสองข้าง จินเฟยเหยาอดลูบเขาของตนเองไม่ได้ ยาวเพียงหนึ่งฝ่ามือ ทั้งยังหักไปข้างหนึ่ง นี่คือช่องว่างระหว่างคนธรรมดากับชนชั้นสูง

ชุดยาวแบบจีนที่งดงาม ไม่เหมือนเสื้อผ้าคนธรรมดาที่เผยให้เห็นขาของจินเฟยเหยา เขาเผยเพียงแขนออกมา บนแขนยังมีลวดลายรูปหงส์ฟ้อนมังกรเหิน คนตาบอดก็ดูออกว่าฐานะไม่ต่ำต้อย ที่น่าโมโหที่สุดคือบนเขายังสวมห่วง กระดิ่งเล็กๆ สีเงินคู่หนึ่งแขวนอยู่บนปลายเขา ขยับตัวเดินก็จะสั่นเบาๆ ส่งเสียงใสกังวาน

บนคอสวมสร้อยห้าสีสัน บนข้อมือก็สวมปลอกข้อมือที่งดงามสะดุดตา อีกทั้งยามนี้ในมือขวาของเขายังถือกล้องยาสูบ บนนั้นยังแขวนถุงยาสูบสีม่วงลวดลายสีเงินใบหนึ่ง

“สิ่งนี้คืออะไร?” กล้องยาสูบกระดูกหยกขาวฝังลวดลายสีเงินดึงดูดสายตาของจินเฟยเหยาอย่างยิ่ง

ปู้จื้อโหยวนำกล้องยาสูบใส่ลงไปในถุงยา แล้วนำออกมาสูบหลายครั้ง บนก้านยาสูบก็จุดขึ้นเองโดยไร้ไฟ เขาพ่นควันสีขาวออกจากปาก จากนั้นใช้กล้องยาสูบเคาะศีรษะจินเฟยเหยาอย่างสง่างามแล้วเอ่ย “นี่คือกล้องยาสูบที่ชนชั้นสูงเผ่ามารใช้ คนธรรมดาไม่มีสิทธิ์ใช้กล้องยาสูบ”

จินเฟยเหยามองกล้องยาสูบอันนี้อย่างลุ่มหลง ไม่รู้เพราะเหตุใด นางรู้สึกว่าของสิ่งนี้มีมาดอย่างยิ่ง ในสมองปรากฏภาพนางนอนสูบยาเบาๆ อย่างเกียจคร้านและเอ้อระเหยภายใต้แสงจันทร์ ข้างกายมีต้านิวกำลังทุบขาและโต๊ะเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยขนมและผลไม้

นี่แหละ! กล้องยาสูบที่มีมาดและเป็นอาวุธชั้นเยี่ยมที่สุดของชีวิตเอ้อระเหยและเกียจคร้าน

นางถูมือติดตามด้านหลังของปู้จื้อโหยว เอ่ยด้วยใบหน้าประจบประแจง “เสี่ยวปู้ กล้องยาสูบแบบนี้เจ้ายังมีอีกหรือไม่ ขายให้ข้าสักชิ้นได้หรือไม่ แล้วยาสูบเหล่านั้นมีรสชาติอย่างไร คงหอมมากสินะ?”

“เจ้าลองดูสักคำไหม?” ปู้จื้อโหยวเห็นนางดูเหมือนจะชอบของสิ่งนี้ จึงยื่นกล้องยาสูบให้นางอย่างชั่วร้าย

“ขอบคุณ” จินเฟยเหยาก็ไม่เกรงใจ แย้มยิ้มรับกล้องยาสูบมา แล้วดูดอย่างแรง

“แค่กๆ…แค่ก…” แค่คำเดียว จินเฟยเหยาก็สำลักจนน้ำตาไหล

เห็นท่าทางอเนจอนาถของนาง ปู้จื้อโหยวก็นำกล้องยาสูบกลับมาแล้วหัวเราะลั่น “เจ้าจะสูบของสิ่งนี้ได้อย่างไร อีกทั้งโลกเผ่ามนุษย์ก็ไม่มียาสูบ ที่โลกเผ่ามารก็ขายราคาแพงมาก ถ้าเจ้าสูบเป็นแล้วอาจต้องใช้เงินก้อนใหญ่ อีกทั้งสวมชุดแบบเจ้าถ้าสูบยาในโลกเผ่ามารจะถูกคนธรรมดาทุบตีจนตาย”

“ใครบอกว่าข้าซื้อไม่ไหว อย่างมากข้าก็ซื้อกล้องยาสูบอันหนึ่งเอาไว้เล่นไม่ต้องสูบก็ได้” จินเฟยเหยาเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาตอนสำลัก เอ่ยอย่างมีโทสะ

เต๋อสี่ทนดูต่อไปไม่ไหว รีบไปลากปู้จื้อโหยวมาบอกว่า “พี่ปู้ ท่านทำแบบนี้ไม่ได้ ถ้าท่านปลอมตัวเป็นชนชั้นสูงเผ่ามารแล้วถูกดูออก พวกเราจะถูกต้มเป็นน้ำแกงกินจนเกลี้ยงนะ”

“เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจหรอก คนธรรมดาไหนเลยจะรู้ว่าชนชั้นสูงมีลักษณะอย่างไร ข้าใช้รูปลักษณ์นี้เข้าโลกเผ่ามารทุกครั้ง ไม่ถูกขัดขวางเลยสักนิด เส้นทางที่ข้าเดินคือทางหลวง ไม่เหมือนกับเส้นทางในป่าเขาของเจ้า รวดเร็วมากกว่าหลายเท่านัก วางใจเถอะ ต้องไม่มีปัญหาแน่นอน” ปู้จื้อโหยวตบบ่าปลอบใจเต๋อสี่ด้วยสีหน้าเชื่อมั่น

เต๋อสี่จนปัญญา ได้แต่ปล่อยให้เขาแต่งตัวแบบนี้ แล้วย้อมผมจินเฟยเหยาต่อจนเสร็จ

จัดการทุกอย่างเรียบร้อย คนทั้งสามก็เตรียมทะลวงเขตป้องกันแอบข้ามไปโลกเผ่ามาร ทว่าก่อนออกเดินทาง ปู้จื้อโหยวกลับเอ่ยด้วยสีหน้าชั่วร้าย “ลักษณะของพวกเจ้าสองคนอนาถจนทนดูไม่ได้ ตั้งแต่นี้ไป พวกเจ้าคือทาสของข้า เฟยเหยา เจ้าคือเจ้าใบ้ที่เคยถูกผู้บำเพ็ญเซียนเดรัจฉานเผ่ามนุษย์ทรมานอย่างที่เจ้าบอก เต๋อสี่คือทาสที่ช่วยข้าจัดการธุระจิปาถะ”

เต๋อสี่ยังไม่ทันมีความเห็น จินเฟยเหยาก็ถามอย่างไม่พอใจ “ทำไมข้าต้องเป็นคนใบ้ แถมยังเป็นทาสด้วย! ไม่ให้เป็นชนชั้นสูงก็ช่างเถอะ เป็นสาวใช้ก็พอกระมัง คิดไม่ถึงว่าจะให้เป็นทาส!”

ปู้จื้อโหยวใช้กล้องยาสูบชี้นางด้วยท่วงท่าสูงศักดิ์แล้วเอ่ย “เจ้าไม่เป็นใบ้แล้วเจ้าพูดภาษามารเป็นหรือ?”

“…ไม่เป็น” จินเฟยเหยาพลันพบเรื่องร้ายแรง ตนเองพูดภาษามารไม่เป็นสักประโยคเดียว พูดไม่ได้และอ่านไม่ได้ ไปโลกเผ่ามารถูกคนขายยังไม่รู้ตัว

“พูดไม่เป็นก็เป็นทาสใบ้แต่โดยดี ถ้ามีคนให้เจ้าพูด เจ้าทำหน้าทึ่มๆ ก็พอ จริงสิ เลียนแบบสายตาพั่งจื่อตอนมันไม่ขยับตัวนั่นแหละ” ปู้จื้อโหยวแอบหัวเราะ

ปู้จื้อโหยวไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ จินเฟยเหยาก็เกือบจะลืมไปแล้ว ว่าตนเองได้หนังมนุษย์แผ่นหนึ่งมาจากจอมมารหลง บนนั้นบันทึกเคล็ดวิชาสร้างร่างมารไว้ และตนเองยังอ่านไม่ออกสักตัว ตอนนี้ไปโลกเผ่ามารจะได้เรียนภาษามารพอดี ไม่เช่นนั้นคงเรียนเคล็ดวิชาสร้างร่างมารฉบับนี้ไม่ได้ไปชั่วชีวิต

“ปู้จื้อโหยว ภาษามารเรียนยากหรือไม่ มีสถานที่สอนโดยเฉพาะหรือไม่?” นึกถึงเรื่องนี้ จินเฟยเหยาจึงเอ่ยถามปู้จื้อโหยว

ปู้จื้อโหยวชี้เต๋อสี่พลางเอ่ย “เจ้าไปเรียนกับเขา ระหว่างทางเรียนคำพูดที่ใช้เป็นประจำนิดหน่อยน่าจะเพียงพอ พูดได้ไม่ยาก”

“อ้อ” จินเฟยเหยาพยักหน้า ติดตามข้างกายเต๋อสี่ไปอย่างร่าเริง เอ่ยด้วยรอยยิ้มแฉ่ง “สหายเซียนเต๋อ รบกวนเจ้าสอนภาษามารให้ข้าหน่อย”

“ให้เจ้า นี่เป็นตำราที่ข้าเขียนไว้ตอนเรียนภาษามารช่วงแรกๆ เจ้าเรียนตามในนั้น เดี๋ยวก็เป็น” เต๋อสี่ไม่ได้ปฏิเสธ ล้วงตำราที่พลิกอ่านจนมุมเปื่อยยุ่ยออกมาจากถุงเฉียนคุนแล้วยื่นให้นางอย่างปลอดโปร่ง

“ขอบคุณ” จินเฟยเหยารับตำรามาอย่างยินดี หลังเอ่ยขอบคุณก็พลิกดูพลางติดตามด้านหลังพวกเขาสองคนเตรียมทะลวงเขตป้องกัน

“แม่ของเจ้าให้อาหารข้ากิน…ชิดในหน่อย…ปอกเปลือกกิน?” จินเฟยเหยาพลิกดู ในตำราเขียนอักษรไว้เต็มไปหมด ด้านขวาเป็นภาษามาร ตรงกลางเป็นคำอธิบาย ด้านซ้ายคือการออกเสียงน่าสงสัยซึ่งบันทึกด้วยภาษาเผ่ามนุษย์

จินเฟยเหยาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง นี่คืออะไร? เพราะเหตุใดสวัสดีของภาษามารจึงอ่านว่าชิดในหน่อย? นางได้แต่ถือตำราเอ่ยถาม “สหายเซียนเต๋อ นี่ไม่ได้คัดลอกผิดนะ?”

เต๋อสี่เอียงศีรษะมองดูแวบหนึ่ง จากนั้นพยักหน้าอย่างหนักแน่นแล้วเอ่ยว่า “ไม่ผิดหรอก ตอนนั้นข้าก็เรียนแบบนี้แหละ ข้าเขียนการออกเสียงเผ่ามนุษย์ลงไปในนั้นเองทั้งหมด เจ้าตั้งใจเรียนเถอะ นี่ง่ายดายยิ่ง”

“…” จินเฟยเหยาหมดคำพูด นี่ถือว่าเป็นการเรียนภาษาแขนงหนึ่ง ขอเพียงข้าอ่านเคล็ดวิชาสร้างร่างมารออกได้ก็พอ เรื่องอื่นๆ ไม่เป็นไร ถึงตอนนั้นหาอักษรมารที่คล้ายกับบนหนังมนุษย์ออกมา แล้วเทียบกันน่าจะได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง หลังจินเฟยเหยาหมดวาจาก็คิดอย่างมองโลกในแง่ดี ไม่กลัวว่าแปลสุ่มสี่สุ่มห้าฝึกแล้วจะธาตุไฟเข้าแทรก

นางกำลังพลิกดูภาษามารที่ออกเสียงประหลาดอยู่ทางนี้ เต๋อสี่ก็กำลังหาเส้นทาง เส้นทางที่พวกเขาต้องแอบข้ามไปโลกเผ่ามารอยู่ในพุ่มไม้นี้

เต๋อสี่ค้นหาในพุ่มไม้ไปมา ในที่สุดก็ปาดเหงื่อกวักมือเรียกพลางตะโกนเสียงดัง “อยู่ตรงนี้ รีบมาเร็ว”

“ข้าเป็นถึงชนชั้นสูง คิดไม่ถึงว่าต้องแอบๆ ซ่อนๆ เดินเข้าไปตามทางสายน้อย เสียศักดิ์ศรีจริงๆ” ปู้จื้อโหยวแสร้งทำเป็นถอนหายใจ ส่ายศีรษะด้วยสีหน้าอ้างว้าง

จินเฟยเหยาใช้มือผลักเขาอย่างแรง “เดินเร็วหน่อย ยังไม่เจอคนเผ่ามารก็ขึ้นแสดงเสียแล้วเหน็ดเหนื่อยหรือไม่ ถ้าเจ้ารังเกียจว่าที่นี่จะทำให้เสียศักดิ์ศรีชนชั้นสูงอย่างเจ้า ทำไมจึงไม่พาข้าไปเส้นทางที่เจ้าเข้าโลกเผ่ามาร”

“ไม่ใช่ข้าไม่อยากพาเจ้าไป แต่ไปแล้วเจ้าก็เข้าไปไม่ได้” ปู้จื้อโหยวมองนางอย่างเสียใจ เหมือนที่เขาไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งหมดเป็นเพราะจินเฟยเหยา

“เพราะเหตุใดข้าจึงเข้าไปไม่ได้?”

“เจ้าไม่ใช่ชนชั้นสูง”

“ขี้โม้ พูดเหลวไหลไร้สาระรังแกข้าตลอด”

จินเฟยเหยายกขาคิดจะเตะเขา ปู้จื้อโหยวรีบหัวเราะพลางวิ่งหนี

ทั้งสองคนมาถึงข้างเต๋อสี่ บนพื้นมีถ้ำมืดมิดแห่งหนึ่ง เดิมทีถูกพุ่มไม้มากมายโอบล้อมไว้ ตอนนี้ถูกเต๋อสี่แหวกออกมาให้เห็น ปากถ้ำผ่านได้แค่คนเดียว ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนขุดขึ้นมา

“นี่คือถ้ำสัตว์สินะ?” จินเฟยเหยาชี้ถ้ำพลางเอ่ยถาม บอกตามตรงนางไม่คิดจะมุดถ้ำมืดๆ อีก อีกทั้งถ้ำนี้ดูแล้วเล็กนิดเดียว ลงไปด้านในต้องปีนแน่

“แค่หนึ่งจั้งตรงนี้เป็นถ้ำสัตว์ ขอเพียงกระโดดลงไปก็เพียงพอให้คนยืนได้” เต๋อสี่อธิบาย จากนั้นกระโดดลงไปก่อน

“ไปเถอะ เจ้าลงไปก่อน ข้าปิดท้าย” ปู้จื้อโหยวยืนอยู่ด้านหลังจินเฟยเหยา ให้นางลงไปก่อน

“เจ้าอย่าทำให้ทางถอยของข้าถูกตัดขาดจริงๆ เสียล่ะ” จินเฟยเหยาด่ายิ้มๆ แล้วกระโดดลงไป

ถ้ำนี้นำไปสู่ด้านล่าง สถานที่รอบกายกว้างเพียงหนึ่งจั้ง พอผ่านหนึ่งจั้งก็ร่วงมาถึงในถ้ำที่สูงเท่าสองตัวคน ปู้จื้อโหยวเองก็กระโดดตามหลังมาติดๆ ส่วนเต๋อสี่นำท่อนไม้ที่ฝังหินแสงราตรีเจ็ดแปดเม็ดออกมาส่องสว่างรอบด้านนานแล้ว

ภายใต้แสงสว่าง จินเฟยเหยาเพิ่งพบว่ารอบด้านถึงกับมีทางแยกเจ็ดสายและมืดสนิท ไม่รู้ว่านำไปสู่สถานที่ใด

เต๋อสี่ถือไม้แสงราตรีส่องปากถ้ำของทางแยกแต่ละสาย แล้วชี้เส้นทางหนึ่งในจำนวนนั้นพลางเอ่ย “ไปทางนี้”

ทั้งสามคนเดินไปตามอุโมงค์ทางสายนี้ เดินไปได้ไม่ไกลก็ปรากฏทางแยกสามสายอีก เต๋อสี่มองปากถ้ำแต่ละสายเหมือนเดิมก็หาเส้นทางที่ถูกต้องพบ ตลอดทางเดินลดเลี้ยวซ้ายขวาอยู่ครึ่งชั่วยาม

ตอนนั้นพุ่มไม้อยู่ไม่ไกลจากเขตป้องกันนัก ในขณะที่จินเฟยเหยากำลังสงสัย เบื้องหน้านางพลันปรากฏแสงสว่าง ม่านแสงสายหนึ่งปรากฏขึ้นในอุโมงค์เบื้องหน้า

บนพื้นอุโมงค์มีกรอบไม้ที่วาดวงเวทอยู่เต็มไปหมดตั้งอยู่ด้านล่างม่านแสงพอดี สถานที่อื่นๆ ล้วนถูกม่านแสงปกคลุมหมด ทว่าภายในกรอบไม้กลับไม่มีม่านแสง ม่านแสงถูกกรอบไม้ที่วาดวงเวทสกัดกั้นไว้กลายเป็นความว่างเปล่า

“พวกเรารีบข้ามไป ไม่รู้ว่าวงเวทจะถูกเขตป้องกันทับทำลายเมื่อใด ตอนนี้เวลาที่เขตป้องกันทำลายประตูวงเวทยิ่งไม่แน่นอนมากขึ้นทุกที” เต๋อสี่เรียกทุกคนให้รีบผ่านม่านแสง