บทที่ 177 อานุภาพแห่งชนชั้นสูง

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

ผ่านม่านแสงไป เบื้องหน้ายังเป็นทางสายแล้วสายเล่าดังเดิม ถ้าเต๋อสี่ไม่ได้นำทางอยู่เบื้องหน้า จินเฟยเหยาสงสัยว่าถ้าให้นางเดินคนเดียวชาตินี้คงออกไปไม่ได้ แต่ถ้าไม่รู้จักทางใครจะโง่งมเดินแบบนี้ไปทั้งชาติ ย่อมต้องเจาะทะลวงดินเหนือศีรษะออกไปจากที่นี่

เดินมาเกือบครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็เห็นเต๋อสี่พยายามหาอะไรบางอย่างเหนือศีรษะ จากนั้นเห็นแสงสายหนึ่งส่องลงมา ด้านบนปรากฏปากถ้ำที่ไม่ถือว่าใหญ่นัก เขามุดนำออกไปก่อนครู่หนึ่งจึงเรียกพวกเขาตามขึ้นไป

จินเฟยเหยามุดออกมาจากปากถ้ำจึงพบว่าด้านนอกคือพุ่มไม้อีกแห่งหนึ่ง สถานที่ซึ่งตนเองมุดออกมาคือถ้ำที่ถูกหญ้าปกคลุมไว้บนกองหิน ทิวทัศน์รอบด้านไม่แตกต่างอะไรกับทางด้านโลกวิญญาณเป่ยเฉิน ถึงอย่างไรก็เป็นภูเขาลูกเดียวกัน แค่ถูกกั้นไว้เท่านั้น

หลังคนทั้งสามออกมา เต๋อสี่ก็ปลอมแปลงปากถ้ำอีก ทอดสายตามองไปก็ดูไม่ออกว่าที่นี่เป็นปากถ้ำที่ใช้แอบข้ามมา

พอจินเฟยเหยาหันมาก็เห็นม่านแสงอยู่ห่างจากตนเองสิบกว่าจั้ง กลายเป็นว่าเดินมาเกือบหนึ่งชั่วยาม ก็เพียงแค่เดินวนไปมาในอุโมงค์ด้านล่าง ไม่ได้เดินออกไปไกลมากนัก

“ใกล้มากนะ ข้านึกว่าคงมองไม่เห็นม่านแสงแล้ว” จินเฟยเหยาจ้องมองม่านแสงด้านหลัง เอ่ยอย่างท้อแท้อยู่บ้าง

บนร่างของปู้จื้อโหยวไม่มีเศษดินสักนิด เขาถือกล้องยาสูบอย่างสง่างามเอ่ยยิ้มๆ “ฝันไปเถอะ ม่านแสงนี้ถึงเดินหนึ่งวันก็ยังเห็นอยู่”

“พี่ปู้ ตอนนี้จะไปอย่างไร เดินถนนหลวงโดยตรงหรือ?” เต๋อสี่ปัดดินบนร่างพลางเอ่ยถาม

“ใช่ พวกเราขึ้นถนนหลวงก่อนเถอะ เดินอยู่ในป่านานแล้วทั้งยังมีอันตราย พวกเราเดินเส้นทางสายหลักโดยตรง ระหว่างทางพวกเจ้าพูดจาน้อยๆ หน่อย ดูการวางตัวของข้าก็พอ” ปู้จื้อโหยวพ่นควันออกมา จินเฟยเหยาชมดูจนคันในหัวใจ ถ้าไม่ใช่สูบแล้วสำลัก นางยังคิดจะลองดูอีกครั้ง

เต๋อสี่คุ้นเคยกับแถบนี้มากกว่าปู้จื้อโหยวจึงให้เขาเดินนำไปยังถนนเส้นหลัก

จากคำสนทนาของพวกเขา จินเฟยเหยานึกว่าเส้นทางหลักอยู่ไม่ไกล ผู้ใดจะรู้ว่าเดินคราหนึ่งกินเวลาสิบกว่าวัน พวกเขาเดินลึกเข้าไป หลายวันก่อนก็ออกจากเทือกเขาอูกู่แล้ว ตอนนี้เหยียบย่างเข้าสู่ป่าทึบผืนหนึ่ง

ภายในป่าทึบร้อนอบอ้าวสุดเปรียบปาน บนพื้นเต็มไปด้วยใบไม้เน่าหนาเตอะ มีต้นไม้สูงห้าหกจั้งตั้งตระหง่านในป่า กิ่งไม้และใบไม้เหนือศีรษะบดบังแสงอาทิตย์ส่วนใหญ่ มีเพียงแสงสว่างเล็ดลอดลงมาเล็กน้อย สาดส่องผ่านรอยแยกของกิ่งไม้และใบไม้ลงบนใบไม้เน่าเป็นดวงเล็กๆ

ขณะที่พวกเขาเดินข้ามป่าทึบ บนกิ่งไม้เหนือศีรษะมักจะมีเสียงร้องของสัตว์ปิศาจดังมา ระหว่างพุ่มไม้บนพื้น บางครั้งยังมีสัตว์ปิศาจบางชนิดถูกความเคลื่อนไหวของพวกเขาทำให้ตกใจจนส่งเสียงร้องแล้วหนีไป ยังไม่ได้เผชิญหน้ากันด้วยซ้ำ

“สหายเซียนเต๋อ เจ้าหลงทางใช่หรือไม่ เหตุใดยิ่งเดินยิ่งเข้าไปยังส่วนลึกของป่า?” จินเฟยเหยาถือใบไม้ใบใหญ่โบกพัดไม่หยุด คิดจะขับไล่ความร้อนอบอ้าวรอบด้าน พั่งจื่อทนอากาศร้อนอบอ้าวที่นี่ไม่ไหว จึงเข้าไปหลบในอ่างมายาจิ่งเทียน

เดิมทีนางคิดจะใช้เวทมนตร์เล็กน้อยลดอุณหภูมิ ทว่ากลับถูกเต๋อสี่และปู้จื้อโหยวห้ามปราม สาเหตุฟังดูแล้วประหลาดยิ่ง พวกเขาบอกว่าถ้าใช้พลังวิญญาณจะเรียกแมลงกินวิญญาณในป่าทึบมา พวกมันมีปริมาณมหาศาล ขอเพียงปรากฏตัวจะปกคลุมไปทั่วทุกแห่ง อีกทั้งยังมีขนาดเล็กจนแทบใช้ตาเนื้อมองดูไม่เห็น จะแส่หาความยุ่งยากมาโดยไม่จำเป็น

ทว่าเต๋อสี่รับรองว่า ขอเพียงออกจากป่าทึบที่เรียกเขตเน่าเปื่อยผืนนี้ก็จะไม่มีแมลงกินวิญญาณ และอากาศจะไม่ร้อนอบอ้าวขนาดนี้ ถ้าขึ้นทางหลวงจะมีคนเผ่ามารมากมายยิ่งไม่อาจใช้พลังวิญญาณตามใจชอบได้

เต๋อสี่ถือดาบเก้าห่วงทลายภูผากำลังเบิกทางอยู่ด้านหน้า เห็นได้ชัดว่าเป็นของวิเศษชั้นล่าง ทว่าตอนนี้กลับใช้แทนมีดพร้า เต๋อสี่ได้ยินคำถามของนางก็เช็ดเหงื่อแล้วเอ่ยว่า “ไม่ได้หลงทางหรอกสหายเซียนจิน ป่าทึบเขตเน่าเปื่อยผืนนี้กว้างใหญ่ยิ่ง พวกเราต้องเดินยี่สิบกว่าวันจึงออกไปได้”

“พวกเจ้าบอกว่าใช้พลังวิญญาณไม่ได้ หรือว่าพวกเราจะใช้เวทมนตร์ในโลกเผ่ามารไม่ได้เลยสักนิด? ถ้าพบอันตรายเข้าจะทำอย่างไร รอความตายหรือ?” เรื่องนี้นางอยากถามมานานแล้ว ถ้าเหยียบของวิเศษบินได้ ตอนนี้คงออกจากป่าทึบนานแล้ว

ปู้จื้อโหยวสูบยาอยู่ด้านหลังอย่างเอ้อระเหยราวกับไม่ร้อนเลยสักนิด พลางเอ่ย “ในตัวคนสีเทาล้วนพกพาน้ำเต้าบรรจุควันมารนิลกาฬหลายใบ ถ้าเผชิญอันตราย ขณะใช้พลังวิญญาณก็จะปล่อยควันมารนิลกาฬออกมา ก็จะสามารถสะกดกลิ่นอายพลังวิญญาณได้ เพียงแต่มีปริมาณจำกัดบวกกับควบคุมยาก ถ้าประหยัดได้ก็ประหยัด”

“ทำอาชีพนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ หาศิลาวิญญาณมาได้อย่างยากลำบาก พวกเรานัดกันไปปล้นชิงผู้บำเพ็ญเซียนดีกว่า การค้านี้เติบโตรวดเร็ว” จินเฟยเหยาชิงชังความรู้สึกหดมือหดเท้าแบบนี้ จึงพูดเหมือนล้อเล่นออกมา

หลังจากเข้าโลกเผ่ามารมาเห็นปู้จื้อโหยวสูบยาอย่างต่อเนื่อง นางครุ่นคิดจากนั้นเอ่ยว่า “เจ้านี่ดีนะ ใช้ควันรมแมลงมาตลอดทาง ไม่เหมือนข้ากับเต๋อสี่ได้แต่ถูกยุงกัด”

เต๋อสี่ได้ยินคำพูดของนางจึงหันมาเอ่ย “เอ๋? เจ้าไม่ได้ใช้กลิ่นหอมกำจัดแมลงที่ข้าให้หรือ?”

“กลิ่นหอมกำจัดแมลงอะไร?”

เต๋อสี่ชี้ถุงเครื่องหอมเล็กๆ ที่แขวนอยู่บนเอวตนเอง “ถุงนี้อย่างไรเล่า ใช้สำหรับไล่แมลงโดยเฉพาะ ไม่เช่นนั้นแมลงในป่าทึบเขตเน่าเปื่อยมีมากมาย เจ้าคงมิได้ไม่ใช้ปล่อยให้หลายสิบวันมานี้ถูกแมลงกัดหรอกนะ”

จินเฟยเหยาจึงพบว่าบนร่างของเขากับปู้จื้อโหยวต่างแขวนถุงหอมเล็กๆ แบบเดียวกัน ดูเหมือนตนเองจะมีความทรงจำเรื่องของสิ่งนี้อยู่เล็กน้อย คิดถึงตรงนี้ นางก็มีโทสะ หักกิ่งไม้ขนาดเท่าข้อมือกิ่งหนึ่งข้างกายอย่างแข็งทื่อ

แค้นนัก นางไม่รู้ว่าต้องแค้นใครดี มีเพียงตนเองที่ถูกแมลงกัดอยู่ตั้งนาน แต่สองคนนี้ไม่เป็นอะไรเลย อีกทั้งเห็นตนเองตบแมลงตามตัว คิดไม่ถึงว่าจะไม่เอ่ยเตือนตนเองสักคำ นางโยนกิ่งไม้หักในมือทิ้งอย่างแรง จึงค้นพบถุงหอมเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาใบหนึ่งจากในกำไลข้อมือเฉียนคุน ถุงหอมใบนี้เล็กเกินไป มีขนาดใหญ่กว่านิ้วหัวแม่มือนิดเดียว ตอนเต๋อสี่ยื่นให้นาง ดูเหมือนนางกำลังหลงใหลกล้องยาสูบอันนั้นจึงได้ยินคำพูดของเต๋อสี่ไม่ชัด ทำตัวเองแท้ๆ

หลังจากจินเฟยเหยาแขวนถุงหอมบนเอว แมลงเล็กๆ ที่พัวพันนางมาตลอดสิบกว่าวัน ในที่สุดก็บินไปจากร่างนาง เสียงหึ่งๆ น่ารำคาญแทบตายหายไปทำให้หูของนางโล่งขึ้น

เมื่อพบว่าถุงหอมมีประสิทธิภาพขนาดนี้ นางก็ชี้ปู้จื้อโหยวแล้วกล่าวโทษอย่างมีโทสะ “เสี่ยวปู้! เจ้าร้ายกาจเกินไปแล้ว เจ้าตามอยู่ด้านหลังข้าเห็นข้าถูกแมลงกัดอยู่สิบกว่าวันโดยไม่เอ่ยเตือนให้ข้าใช้ถุงหอม”

ปู้จื้อโหยวมีสีหน้าผู้บริสุทธิ์ยักไหล่เอ่ยว่า “เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ถึงข้าจะเห็นเจ้าตบแมลงมาตลอดทาง ยังนึกว่าถุงเครื่องหอมใช้ไม่ได้ผลกับสตรี ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าไม่ได้แขวนไว้ ตนเองสะเพร่าไม่ฟังคำพูดของเต๋อสี่ ยังมาโทษข้าอีก”

“น่าโมโหจริงๆ!” จินเฟยเหยาคำรามอย่างเดือดดาล คิดจะบันดาลโทสะ

ทันใดนั้นปู้จื้อโหยวเก็บรอยยิ้ม ตวาดเสียงเย็นชา “ระวัง มีบางอย่างพุ่งมา!”

เต๋อสี่และจินเฟยเหยาระแวดระวังขึ้นมาทันที สิ่งที่พบเจอมาตลอดทางเห็นพวกเขาก็วิ่งหนี ครั้งนี้ถึงกับพุ่งเข้าใส่พวกเขา ถ้าไม่ใช่คนเผ่ามารคงเป็นสัตว์ปิศาจขั้นสูง จะให้พวกเขาสองคนไม่ตึงเครียดได้อย่างไร

ครืน!

ในป่าทึบเบื้องหน้ามีเสียงวุ่นวายดังมา มีบางอย่างพุ่งมาหาพวกเขา อีกทั้งฟังดูแล้วยังมีปริมาณไม่น้อย ชั่วพริบตา กลุ่มก้อนสีดำขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า คิดไม่ถึงว่าจะเป็นวัวเป้าลี่ขั้นสามที่บนหัวมีเขายาวฝูงหนึ่ง ถึงระดับขั้นไม่สูงนัก แต่มากันเป็นฝูงมีถึงยี่สิบสามสิบตัว นี่คือทะเลวัวผืนหนึ่ง

ในยามนี้เอง ในแมกไม้ด้านหลังฝูงวัวก็ปรากฏเงาร่างเล็กๆ เห็นเบื้องหน้ามีคนสามคนโผล่ขึ้นมากะทันหัน จึงร้องตะโกนอย่างลนลาน “คนด้านหน้ารีบหลบไป ฝูงวัวมาแล้ว!”

เสียงดังกังวาน น่าเสียดายที่จินเฟยเหยาได้ยินแล้วไม่เข้าใจความหมายเลยสักนิดราวกับเป็นคัมภีร์สวรรค์ ฝูงวัวดวงตาแดงก่ำพอเห็นก็รู้ว่าถูกยั่วโทสะมา พวกมันชนต้นไม้ที่ขวางทางเบื้องหน้าลอยไป พริบตาก็พุ่งมาถึงเบื้องหน้าพวกเขาสามคน

“ปิศาจราตรี!” ในขณะที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ปู้จื้อโหยวหายร่างไปปรากฏที่เบื้องหน้า

ไม่เหมือนกับวงเวทศรในตอนนั้น เขาถือกล้องยาสูบชี้เบื้องหน้าเบาๆ ไอมารกลุ่มหนึ่งทะลักออกมาจากร่างเขา รวมตัวกันเป็นเงาร่างสีดำที่สูงสองจั้งกว่า เงาดำถือเคียวเล่มหนึ่งฟันขวางกลางอากาศใส่วัวเป้าลี่ที่อารมณ์เดือดพล่านเบื้องหน้า

วัวเป้าลี่ที่ถูกเงาดำกวาดผ่านขาดสะบั้นกลายเป็นสองส่วน ถึงแม้ร่างด้านบนจะร่วงลงมา แต่ร่างด้านล่างยังวิ่งได้หลายก้าวค่อยล้มลง การฟันครั้งนี้ฝูงวัวเป้าลี่นอนทอดร่างเป็นซากศพเกลื่อนพื้นในชั่วพริบตา

คมกริบยิ่งนัก!

จินเฟยเหยามองไอมารที่พุ่งทะยานกลายร่างเป็นเงาดำ หลังฟันฉับเดียวก็หดกลับเข้าไป เหลือเพียงปู้จื้อโหยวที่สูบยาอย่างสงบนิ่ง พ่นควันออกมาเป็นสายยาวเบาๆ

เจ้าหมอนี่ร้ายกาจกว่าข้ามากนัก นั่นเรียกว่าฟันวัวที่ไหน หั่นผักต่างหาก อีกทั้งไอมารที่พุ่งทะยานออกมาเมื่อครู่มันเรื่องอะไรกัน จินเฟยเหยาจ้องมองเขา สงสัยฐานะของเจ้าหมอนี่อย่างรุนแรง แต่คนเผ่ามารคนหนึ่งจะพาตนเองมาทำอะไรที่โลกเผ่ามาร ตนเองไม่มีอะไรให้เขาวางแผนเอาเปรียบได้เลยสักนิด

เต๋อสี่ก็เพิ่งเคยเห็นปู้จื้อโหยวใช้สิ่งอื่นนอกจากวงเวทศรเป็นครั้งแรก หลังตกตะลึงก็ได้สติคืนมา ก่อนหน้านี้ล้วนเห็นเขาลงมือในโลกวิญญาณ ตอนนี้อยู่ที่โลกเผ่ามารไม่อาจใช้วงเวทศรที่แผ่พลังวิญญาณไปโดยรอบได้ กระบวนท่าเมื่อครู่ของหมอนี่น่ากลัวเกินไปแล้ว ถึงจะรู้ว่าปิศาจราตรีของเขาร้ายกาจยิ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นของวิเศษแบบนี้ ใช้คราหนึ่งสิ้นเปลืองควันมารนิลกาฬไปมากมาย ต่อไปคงไม่มีปัญหานะ?

เงาร่างที่ไล่กวดวัวเป้าลี่มาด้านหลังผู้นั้น เห็นปู้จื้อโหยวลงมือกระบวนท่าเดียวก็กำจัดวัวเป้าลี่จนเกลี้ยง พอเห็นการแต่งกายของเขาชัดเจนก็หายร่างพุ่งลงมาจากกิ่งไม้คุกเข่าลงเบื้องหน้าปู้จื้อโหยว

“คารวะใต้เท้า! ผู้น้อยไม่รู้ว่าใต้เท้าอยู่ที่นี่จึงทำให้ใต้เท้าตกใจ ใต้เท้าโปรดยกโทษให้ด้วย!” คนผู้นี้เป็นสตรีเผ่ามารขั้นสร้างฐานช่วงต้น ยามนี้คุกเข่าก้มหน้าลงอย่างตื่นตระหนกและไม่สบายใจ เส้นผมยาวสีเขียวใช้เอ็นสัตว์ร้อยไข่มุกมัดเป็นหางม้า บนหน้าผากคาดเชือกสีสันสดใสเส้นหนึ่ง

สวมเสื้อผ้าคนเผ่ามารลายตารางสีเขียวใบไม้ธรรมดาแบบเดียวกับบนร่างของจินเฟยเหยา เพียงแต่สีและลวดลายแตกต่างกัน นางก้มหน้าจึงมองเห็นหน้าตาไม่ชัด ทว่ามองเห็นลวดลายที่วาดอยู่เต็มแขนสองข้างของนางได้อย่างชัดเจน ด้านหลังยังสะพายคันธนูยาว

นางคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าปู้จื้อโหยว ปากเรียกเขาว่าใต้เท้าอย่างเคารพนบนอบผิดปกติตลอดเวลา ปู้จื้อโหยวไม่เอ่ยปาก นางก็ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า

…………………………………………